ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 101 พูดจาแทะโลมก่อนสักครั้ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง ข้าคือหงส์พันปี ตอนที่ 101 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เฉินเสียนเหล่มองชายผู้อยู่ใต้เสียงเทียน เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดเรียบร้อย ใบหน้าโดดเด่น เสื้อผ้าสีเข้มภายใต้เสียงเทียนปรากฏขึ้นเป็นสีม่วงทึบ

ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง งดงามยากหาใดเปรียบ

เฉินเสียนกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าดูแล้วไม่คิดว่าท่านจะอายเลยสักนิด”

ซูเจ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ท่านท่านจับได้อีกแล้ว”

“ท่านเรียกข้ามาไม่เพียงแค่มามีปากเสียงกับข้าหรอกใช่หรือไม่? ”

“แน่นอนว่า ข้าอยากให้พระองค์อยู่กับข้าสักประเดี๋ยว” ซูเจ๋อกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ

เฉินเสียนอยากจะต่อยหน้าเขาเสียจริง

เฉินเสียนยิ้มเย้ย “ช่างเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลมาก ท่านบอกมาสิว่าจะทำอย่างไรให้ข้าอยู่เป็นเพื่อน? ”

ซูเจ๋อยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก ปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ “ข้ายังไงก็ได้ ตามที่พระองค์พึงพอใจ”

เฉินเสียนมองเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของเขา ที่ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จึงกล่าวขึ้นอย่างหัวร้อนว่า “เช่นนี้ข้าจะต้องถูกท่านพูดจาแทะโลมไปอย่างนี้หรือ? ”

ซูเจ๋อกล่าว “ข้าก็เคยถูกท่านพูดจาแทะโลมเช่นกัน”

“เมื่อไหร่? ” เฉินเสียนไม่พอใจ “ข้าเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง!”

นิ้วมือที่ปรากฏข้อต่อกระดูกชัดเจนของซูเจ๋อเคาะลงบนซี่กรงหน้าต่าง เขาเอนกายสบายๆ พิงหน้าต่าง แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “แต่พระองค์เคยบอกว่าจะซื้อข้ามาเป็นนายบำเรอของพระองค์ เอ่ยวาจาแทะโลมกันก่อนเช่นนี้ ยิ่งสมควรละอายใจ”

“พูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ด้วยท่าทางนิ่งสงบเช่นนั้นได้อย่างไร ซูเจ๋อท่านนี่สุดยอดจริงๆ ข้านับถือท่านเลย”

ซูเจ๋อหัวเราะเบาๆ ชี้ออกไปนอกหน้าต่าง นัยน์ตาครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีดำของยามราตรี ลึกล้ำไร้ขอบเขต “ท่านมาดู ที่นั้นมีเรื่องน่าสนุก”

เฉินเสียนก้าวเข้ามาหาหลังจากที่ได้ยิน มองออกไปด้านนอก แต่กลับไม่พบอะไร

ถูกชายผู้นี้หลอกเสียแล้ว

ซูเจ๋อก้มตัวลงทันที นิ้วขาวชี้ไปที่ใต้ต้นหวู่ถง ลมหายใจอบอุ่นของเขาอยู่ข้างๆ ใบหูของเธอ “หากข้าจำไม่ผิด ก็คือตรงนั้น ที่ท่านผิวปากให้ข้า”

เฉินเสียนชะงักงัน

ความใกล้ชิดอย่างทันทีทันใดของเขา กลิ่นหอมของไม้กฤษณาค่อยๆ ซึมซาบเข้าจมูก

ลมหายใจของเขาทำให้ใบหูของเธอร้อนผ่าวอย่างบรรยายไม่ถูก

“อาจารย์ที่สอนอยู่ที่นี่วันนั้นคือท่าน? ”

มิน่าล่ะ ที่เธอรู้สึกคุ้นเคย มองดูความสง่างามของแผ่นหลังนั้น มาพร้อมกับใบหน้างดงามไม่มีใครเทียบของซูเจ๋อเสียจริงๆ

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนประหลาดใจ “เช่นนั้นท่านก็เป็นบัณฑิต? ”

ซูเจ๋อหรี่ตา “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนหันกลับมา ริมฝีปากเกือบสัมผัสกับใบหน้าด้านข้างของเขา

เธอจึงเอนตัวไปด้านหลัง “ท่านเป็นขุนนาง ท่านหลอกข้ารึ? ”

“เหตุใดข้าถึงเป็นขุนนางไม่ได้งั้นหรือ” ซูเจ๋อชื่นชมกับปฏิกิริยาเธอ พลางเอ่ยถาม

“ท่านบุกเข้าไปในรังโจรด้วยตนเองและมีเพียงดาบเล่มเดียว สังหารคนได้โดยไม่กะพริบตา และยังมีฝีมือในการรักษา ท่านบอกว่าท่านเป็นขุนนาง และยังเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน!”

“ท่านคิดว่าไม่ดีได้หรือ? ”

“ดี ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ ท่านเป็นผู้รอบรู้ในกิจการฝ่ายพลเรือนและการทหาร เป็นเสาหลักของราชวงศ์ เมื่อได้เป็นบัณฑิตเช่นนี้จักได้แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่”

ซูเจ๋อยิ้มจางๆ “ในสายตาของผู้อื่น ข้าไม่รู้วิชาการต่อสู้ และไม่รู้วิธีการรักษา ทำได้เพียงแค่สอนหนังสือ เมื่อท่านออกไปแล้วอย่าพูดถึงมันอีก”

เฉินเสียนยักไหล่แล้วกล่าวว่า “เรื่องส่วนตัวของท่านข้าไม่สนใจ ท่านอยากหาคนอยู่เป็นเพื่อนก็ไปหาผู้อื่นเถิด ข้ายังอยากกลับไปดูการแสดงอีกสักสองฉาก ไม่ใช่มาคอยรับใช้ผู้ใด”

คิดไม่ถึงเมื่อหันหลัง ข้อมือของเฉินเสียนจะถูกเขาจับไว้

สัมผัสนั้นแตกต่างจากฉินหรูเหลียง จิตใจผ่อนคลายราวกับยาเย็นที่ทำให้ชุ่มชื้น

หัวใจของเฉินเสียนเต้นแรง เมื่อหันหลังกลับเห็นซูเจ๋อกำลังก้มมองฝ่ามือตนเอง

เขาเอ่ยถามขึ้นมาทันใดอย่างเรียบเฉย “แผลที่ฝ่ามือท่านดีขึ้นหรือยัง? ”

เฉินเสียนเอ่ย “ท่านไม่เห็นหรือไง ตกสะเก็ดไปหมดแล้ว”

ซูเจ๋อเอ่ยอะไรที่เข้าใจยากขึ้นมา “วันนั้นข้าเห็นเขาจูงมือท่าน ชอบถูกเขาจูงหรือ? ”

“ผู้ใด? เจ้าหมายถึงฉินหรูเหลียงงั้นรึ? ” เฉินเสี่ยนยิ้มเยาะ “หลังจากกลับไปข้าล้างมือจนหนังแถบถลอกออกไปเป็นชั้นๆ”

ซูเจ๋อหัวเราะออกมาเบาๆ จ้องมองไปที่เสื้อผ้าของเฉินเสียน แววตามืดมนลงเล็กน้อย “วันนั้นท่านก็สวมเสื้อผ้าเช่นนี้ ดูเหมาะสมกับเขาดี”

เฉินเสียนลูบท้องตนเองเบาๆ สงบจิตสงบใจ “ข้ากับเขาไปด้วยกันไม่ได้ ท้ายที่สุดหลังจากนี้ข้าต้องเลี้ยงดูด้วยตนเอง

ซูเจ๋อหรี่ตาลง “ถ้าเช่นนั้นข้าข้อเสนอให้พวกท่านรักษาระยะห่างไว้ให้ดี หลีกเลี่ยงที่ต้องพัวพันกันอีก ดีที่สุด แม้แต่จับมือก็ห้ามจับ”

เฉินเสียนกัดริมฝีปากตนเอง “ซูเจ๋อ ข้าคิดว่าท่านกำลังถ่วงเวลาอยู่ ท่านกำลังทำอะไรกันแน่? ”

ซูเจ๋อกล่าว “ถูกท่านจับได้แล้ว แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการให้ท่านกลับไปที่อุทยานอวี้ฮัวในตอนนี้”

“เพราะเหตุใด? ”

“คืนนี้ที่นั่นไม่สงบ ผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้ายไม่ใช่เรื่องดี”

บางครั้งเขาก็เหมือนจะจริงจังแต่กลับไม่จริงจัง บางครั้งก็ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม

เฉินเสียนแยกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ที่เขาจริงจัง หรือเมื่อไหร่ที่เขาล้อเล่น

แต่คราวนี้ซูเจ๋อไม่ได้ล้อนางเล่น

ราวกับลางสังหรณ์เป็นจริง สิ้นคำพูดของซูเจ๋อ เฉินเสียนได้ยินเสียงความโกลาหลวุ่นวายมาจากทางอุทยานอวี้ฮัวห่างจากต้นหวู่ถงออกไป

เฉินเสียนมองลึกเข้าไปในดวงตาของซูเจ๋อ “ท่านเตรียมการไว้? ”

ซูเจ๋อ “ข้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์”

เฉินเสียนกลอกตาไปมา “ได้ยินเช่นนั้นแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าท่านกลับกลอกนัก”

ซู่เจ๋อยิ้ม “ความจงรักภักดีของแต่ละคนแตกต่างกัน ข้าภักดีต่อนายของข้าผู้เดียว”

อีกนานหลังจากนี้ เฉินเสียนก็ค่อยๆเข้าใจซูเจ๋อผู้นี้

กษัตริย์ของเขา มีเพียงคนเดียวเสมอ

เสียงโกลาหลวุ่นวายในอุทยานอวี้ฮัวดุจดั่งเขวี้ยงหินลงในทะเลสาบ ล่องลอยออกไปทั่วทุกสารทิศ เฉินเสียนได้ยินเสียงคนตะโกน “มีผู้ลอบสังหาร อย่าให้หนีไปได้ รีบตามไป!”

เฉินเสียนขมวดคิ้ว “ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ข้าต้องไปก่อน”

หาไม่แล้วรอให้องครักษ์วังหลวงมาค้นหามือสังหารที่นี่ จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น

ซูเจ๋อเอ่ยขึ้นว่า “ท่านออกไปตอนนี้ ไม่เกรงว่าจะถูกปฏิบัติราวกับมือสังหารที่สร้างความโกลาหลหรือไร? ”

“ข้าเป็นหญิงท้องแก่นะ!”

ซูเจ๋อเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉะนั้น ยิ่งปล่อยให้ท่านออกไปเสี่ยงภัยไม่ได้”

คำพูดชะงักไป เขาจดจ่ออยู่กับการฟังเสียงฝีเท้าที่วิ่งกันไปมาจากอุทยานอวี้ฮัวมายังโรงเรียนไท่แห่งนี้ ท่าทีเคร่งขรึม เขาปิดหน้าต่างและดับแสงเทียน

ทันใดนั้นโรงเรียนว่างเปล่าก็ตกอยู่ในความมืด

เฉินเสียนกะพริบตา ซูเจ๋อกุมมือเธอในความมืด เขาพาเธอเดินเข้าในไปห้องเรียน พลางกระซิบเบาๆ “ต้องขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ เราต้องซ่อนตัวก่อน หากโชคไม่ดี เราจะถูกจับได้ว่าแอบลักลอบเป็นชู้กัน”

เฉินเสียนโกรธจนอยากสาปแช่ง แต่จะไม่ไปกับเขาก็ไม่ได้

ขณะนี้องครักษ์วังหลวงได้เข้าไปค้นหาในโรงเรียนไท่แล้ว

เธอกัดฟัน “ท่านพูดพล่อยๆ เห็นได้ชัดว่าข้ากับท่านเป็นผู้บริสุทธิ์!”

ซูเจ๋อก้มหน้าลง “ผู้บริสุทธิ์งั้นหรือ? ข้าจะรับผิดชอบท่านเอง”

ไม่ยอมให้เธอปฏิเสธได้โดยง่าย ตอนนี้เธอทำได้เพียงแค่ทำตามซูเจ๋อไปเพียงเท่านั้น

ซูเจ๋อคุ้นเคยกับโรงเรียนไท่แห่งนี้ เพียงแต่หวังว่าทั้งสองจะรอดพ้นจากองครักษ์เหล่านี้ไปได้ เฉินเสียนกล่าวอย่างมั่นใจ “เมื่อถึงยามวิกฤตท่านต้องคุ้มครองข้า จะปล่อยให้ข้าถูกจับไม่ได้ หรือไม่ท่านก็ต้องล่อพวกเขาออกไป”

“ท่านต้องการให้ข้าสละชีพงั้นหรือ?”

“อืม ท่านอัปยศผู้เดียวดีกว่าเราต้องอัปยศไปด้วยกันทั้งคู่”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด