ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 105 ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะเจ้า!
เมื่อเฉินเสียนขยับริมฝีปากอ้อนวอนขอความเมตตา อาจได้รับชื่อเสียงที่ดีและไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามไม่มีทางเสียเปรียบ
ทว่านางเพียงขอความเมตตาเพื่อฉินหรูเหลียง แต่ไม่ได้ขอร้องให้กับหลิ่วเหมยอู่
ผลสุดท้ายองค์จักรพรรดิก็กล่าวว่า: “ในเมื่อจิ้งเสียนขอร้องเพื่อเจ้า นางอนุผู้นี้ไม่ต้องประหารแต่ต้องถูกลงโทษ สามสิบไม้พลอง ถ้าแม่ทัพฉินยืนกรานที่จะรับโทษแทนนางก็หกสิบไม้พลอง ทั้งที่เจ้ารู้มาก่อนแต่กลับไม่แจ้งให้รู้ คืนนี้การไล่ล่ามือสังหารไม่ราบรื่นไปด้วยดี เจ้าทำให้วันพระบรมราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนีต้องโกลาหลวุ่นวาย โบยอีกห้าสิบไม้พลอง ลงโทษที่ประตูหานอู่”
มือทั้งสองของฉินหรูเหลียงดันกับพื้นที่โน้มศีรษะติดกับพื้น เอ่ยชัดทุกถ้อยคำว่า: “กระหม่อม ขอขอบพระทัยที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
บอกได้เลยว่าความจริงแล้วจักรพรรดิได้บรรลุผลตามที่เขาต้องการแล้ว อย่างน้อยในเวลานี้ แม้ว่าฉินหรูเหลียงได้รับโทษแล้ว เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณจักรพรรดิอยู่ดี
หลังจากจักรพรรดิออกจากท้องพระโรง บรรดาญาติพี่น้องของภรรยาและขุนนางฝ่ายต่างๆ ที่ดูละครจบก็ทยอยออกจากพระราชวังกัน
เดิมทีงานเลี้ยงในวังนั้นคึกคัก แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นความหดหู่และเงียบเหงา
เสียงร้องไห้ที่เจ็บจนถึงขั้วหัวใจของหลิ่วเหมยอู่ดังขึ้นรั้งท้ายจากท้องพระโรงที่ว่างเปล่า
ฉินหรูเหลียงยืนขึ้น แผ่นหลังเหยียดตรงที่ไม่มีใครเหลียวแล บนใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ และหันมามององครักษ์ที่ติดตามไปประตูหารอู่ด้วยกัน
ประตูหานอู่คือประตูทางเข้าแรกที่เข้าสู่พระราชวัง หน้าประตูมีสนามจัตุรัสที่กว้างขวาง สิ่งก่อสร้างอันวิจิตรตระการตา ในค่ำคืนที่มีความงดงามเย็นยะเยือก
ทุกคนค่อยๆ เดินไปจนหมด เฉินเสียนเดินเยื้องย่างอยู่ด้านหลังเนื่องด้วยถูกนางในส่งตัวออกจากวัง
ตอนนี้อวี้เยี่ยนได้มาถึงประตูพระราชวังเร็วกว่าปกติ
ตอนเดินผ่านประตูหานอู่ อวี้เยี่ยนได้รับอนุญาตเข้าประตูวังได้เป็นกรณีพิเศษเพื่อเข้ามารับช่วงดูแลเฉินเสียน
ตอนเธอประคองแขนของเฉินเสียนก็เกือบจะร้องไห้ออกมา เธอเอ่ย: “องค์หญิงเพคะ บ่าวเห็นคนอื่นๆ ออกจากวังไปนานแล้ว ก็รออยู่นานไม่เห็นพระองค์ บ่าวก็คิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
“เรื่องน่ะเกิดแล้ว” เฉินเสียนเอ่ยเรียบๆ “แต่แค่ไม่ได้เกิดกับข้า”
บนสนามจัตุรัสที่ใหญ่อย่างนี้ แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมามันสื่อถึงความอ้างว้างและเยือกเย็น จนเท้าที่เหยียบลงบนพื้นถนนรู้สึกชา
ประตูหานอู่ตั้งสูงตระหง่านไม่ไหวติง เฉินเสียนเงยหน้าหรี่ตาจ้องมองแสงจันทร์สลัวดวงนั้น ร่างสูงใหญ่และเคร่งขรึมของฉินหรูเหลียงคุกเข่าลงอย่างช้าๆ เสื้อผ้าคว้านกว้างลึกลงเผยให้เห็นกายท่อนบนที่แข็งแรง
อวี้เยี่ยนเฝ้าดูเฉินเสียนอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า: “คนที่ถูกลงโทษด้านนั้น……คือท่านแม่ทัพหรือเพคะ? ”
“ใช่”
เฉินเสียนค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าว
เสียงไม้พลองฟาดบนตัวเขาส่งเสียงดังอื้ออึงออกมา ราวกับการเต้นของหัวใจมนุษย์ ทีละครั้งทีละครั้ง มันเชื่องช้าและเป็นจังหวะ
จนกระทั่งเฉินเสียนยืนอยู่ข้างเขา หลุบตามองเหตุการณ์ที่เขาถูกลงโทษ
ผมสลวยดั่งเส้นไหมลู่ลงบนไหล่ของเขา เขาเม้มริมฝีปากหอบหายใจแรงโดยไม่เปล่งเสียงออกมาสักนิด มีรอยปริแตกของผิวหนังไปทั่วทั้งกาย กระนั้นแล้วไม้พลองยังฟาดลงบนกายเขาและยังทิ้งรอยแดงไว้อย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้แข็งแกร่ง แต่กระดูกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าไม้พลองนี้
องครักษ์ทำการลงโทษอย่างเที่ยงธรรมโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น นี้เป็นพระราชโองการของจักรพรรดิ พวกเขาไม่กล้าอ่อนข้อให้
เฉินเสียนมองอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารอยแผลเป็นภายใต้แสงจันทร์ของฉินหรูเหลียงนั้น พลันมีส่วนคล้ายความเศร้าอึมครึมและหนาวเย็นในยามค่ำคืน
ยังไม่ถึงหกสิบไม้พลอง ฉินหรูเหลียงก็ไม่แกร่งได้เหมือนตอนแรกเริ่มแล้ว
ฉินเสียนตาวาวเมื่อเห็นทั้งแผ่นหลังของเขามันมีรอยเลือดสีแดงก่ำซึมออกมา
รอจนโบยครบหกสิบไม้พลองก็ยังเหลืออีกห้าสิบโบยถึงจะครบบทลงโทษที่เขาจะได้รับ
ขณะนั้นมีร่างหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซอยู่ที่สนามจัตุรัส กระโปรงบางพลิ้วไหวไปตามสายลมราวกับผีเสื้อที่กำลังกางปีก
นางทั้งวิ่งทั้งร้องไห้
เฉินเสียนหันไปมอง คนที่วิ่งมาในตอนที่สายแล้วคือหลิ่วเหมยอู่
ก่อนหน้านั้นนางคุกเข่าอยู่ที่ท้องพระโรงจนหมดสติ ฉินหรูเหลียงไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือนาง เขามุ่งตรงมารับการลงโทษเลย ตอนนี้นางมาได้ถูกเวลาพอดี ทันพอที่จะได้เห็นสถานการณ์ที่เวทนาที่สุดของฉินหรูเหลียง
เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ กับฉินหรูเหลียงว่า: “แม่ทัพฉิน เหมยอู่คนดีของท่านมาหาท่านแล้ว”
ร่างของฉินหรูเหลียงสั่นไหว เขากำหมัดแน่นราวกับกำลังอดทนอยู่
หลิ่วเหมยอู่ตัวอ่อนล้มลงกับลานจัตุรัสเป็นครั้งที่สองและยังลุกขึ้นมาแล้ววิ่งต่ออีก เธอร้องไห้อยู่กับพื้นอยากจะเข้าไปใกล้ฉินหรูเหลียงก็ถูกองครักษ์ด้านข้างดึงออกไปอย่างไร้ความปรานี
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้อย่างกับดอกไม้จะไม่บานอีก ใบหน้ายุ่งเหยิงไปหมด ทั้งดิ้นรนทั้งมองดูร่างของฉินหรูเหลียงถูกโบยอย่างทุกข์ทรมานและได้เอ่ยวิงวอนขอร้องว่า: “หยุดโบยเถอะ……ข้าขอร้อง พวกท่านอย่างโบยเลย…..”
หากแต่ไม่มีใครฟังนางพูดสักคำ
สายตาฉินหรูเหลียงมองตรงไปยังประตูหานอู่ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อเสียงร้องไห้ของนาง
เสียงร้องไห้ของหลิ่วเหมยอู่ฟังแล้วเหมือนเสียงร้องไห้โหยหวนของผีและหมาป่าที่อยู่ท่ามกลางสนามจตุรัส
เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ : “เจ้าต้องให้ทุกคนบนโลกรู้ว่าสามีของเจ้ากำลังถูกลงโทษใช่หรือไม่? ทั้งไม่ใช่การลงโทษที่โหดร้ายอย่างกับขูดรีดเนื้ออะไร แค่เป็นไม้พลองกับแส้ ถ้าแค่นี้เขาทนไม่ไหวจะดูเป็นผู้ชายแบบไหนกัน? ”
หลิ่วเหมยอู่ชะงักไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเฉินเสียน ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและสายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
สายลมผัดผ่านมา สายตาเธอนั้นทำให้กระดูกสันหลังของคนอื่นเสียววูบ
แต่เฉินเสียนไม่กลัวสักนิด เผชิญกับสายตาของหลิ่วเหมยอู่โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและเอ่ยว่า: “เจ้าเอาแต่ร้องไห้อย่างเอาแต่ใจตัวเอง ไม่คำนึงถึงว่าชีวิตคนอื่นจะตายอย่างไร มันก่อกวนความเงียบสงบของพระราชวัง หรือไม่พอใจที่เขาได้รับโทษเบาเกินไป? ”
หลิ่วเหมยอู่ถึงกับจุกอยู่ในลำคอ น้ำตาที่ไหลอย่างกับสายฝนและไม่นานเธอก็ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน ฉวยโอกาสให้หลุดพ้นจากองครักษ์ที่กำลังเผลออยู่ กระโจนตรงไปที่เฉินเสียนแล้วโถมตัวเข้าใส่เฉินเสียนจากข้างหลัง
อวี้เยี่ยนอุทานอย่างตกใจและยังดึงไว้ทันพอดี ถึงอย่างนั้นก็ยังเดินเซไปสองสามก้าวกว่าจะตั้งหลักได้
หลิ่วเหมยอู่ถูกองครักษ์จับกุมไว้ทันทีและไม่อาจกระโจนเข้าใส่ได้อีก เธอทำได้เพียงชี้นิ้วใส่เฉินเสียนและกร่นด่า: “เพราะเจ้า! ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะเจ้า! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ท่านแม่ทัพก็คงไม่กลายเป็นเช่นนี้ เจ้าเป็นหญิงที่มีจิตใจร้ายกาจอย่างกับงูพิษ เจ้าอยากฆ่าพวกเราให้ตายทั้งหมด! ข้าขอสาปแช่งเจ้า สาปเจ้าและเด็กในท้องเจ้า……”
ฉินหรูเหลียงที่เงียบอยู่ตลอด กำหมัดแน่นจนเส้นเลือกที่แขนกระตุก ทันใดนั้นก็เอ่ยขัดหลิ่วเหมยอู่ทั้งที่เลือกยังเต็มปากอยู่: “เหมยอู่ หุบปาก”
หลิ่วเหมยอู่ตกตะลึง เมื่อได้สติก็ได้มองฉินหรูเหลียงอย่างเจ็บปวด
อวี้เยี่ยนเอ่ยด้วยความห่วงใย: “องค์หญิงเพคะ พระองค์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ เป็นอะไรตรงไหนหรือเปล่า? ”
เฉินเสียนออกคำสั่งกับองครักษ์โดยตรงว่า: “นางอนุคนนี้พูดจาสามหาวกับองค์หญิง ตบปากให้ข้าซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หากในยามปกติ ฉินหรูเหลียงจะรีบยืนขึ้นมาขัดขวางเป็นอย่างแรกแน่นอน แต่ตอนนี้เข้าไม่แม้แต่จะดูแลตัวเองได้
คำพูดของหลิ่วเหมยอู่ทุกคำนั้นมันเลวร้ายและเขาได้ยินมันชัดเจน
ที่นี่คือพระราชวังไม่ใช่ที่เรือน เธอจะพูดตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไร
ฉินหรูเหลียงไม่ได้ขัดขว้าง
โดยธรรมชาติแล้วองครักษ์จะเชื่อฟังทำตามคำสั่งขององค์หญิงและตบปากหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย
องครักษ์มัดมือหลิ่วเหมยอู่ไว้ทันทีและตบปากทั้งซ้ายและขวา
ในตอนแรกหลิ่วเหมยอู่ยังก่นด่าได้หมดจนแยกคำไม่ออกไปอีกสองประโยค แต่หลังจากนั้นเธอก็มีเลือดที่มุมปากและแม้แต่พูดสักคำก็พูดไม่ออก
มวยผมของเธอยุ่งเหยิงและไม่มีแรงต่อต้านราวกับหญิงบ้าที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ
ฉินหรูเหลียงถูกโบยจนครบหกสิบที องครักษ์ที่ลงโทษเปลี่ยนมาเป็นแส้ พอดึงแส้ออกมายิ่งทำให้เขาส่งเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ คราบเลือดสีเข้มบนแผ่นหลังเขา
กายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อและหอบหายใจแรงมากขึ้น
แต่เมื่อหลิ่วเหมยอู่ถูกตบปากจนนิ่งไปเขายังเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า: “องค์หญิงจิ้งเสียน ข้าขอร้องเจ้าล่ะ อภัยให้นางในครั้งนี้ด้วยเถอะ”
คอมเม้นต์