ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 138: จิตใจไม่ดี!
เฉินเสียนกลอกตาไปมา “นั้นก็เพราะข้ารู้ว่าคนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา และท่านจิตใจไม่ดี!”
ซูเจ๋อกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “ข้าคิดว่าข้าใสซื่อนะ”
“ใสซื่อ กล่าวไปเรื่อยไม่มีหลักฐาน”
ในขณะที่เฉินเสียนนั้นมีความคิดที่อยากดูซูเจ๋อไปเกี้ยวหญิง ซูเจ๋อจึงใช้กลอุบายเดียวกันนี้กับเธอ หญิงสาวที่อยู่ในการละเล่นบทกวีเห็นหมดแล้ว และยังคิดว่าพวกเขากำลังเกี้ยวพาราสีกันอีก
น่าเบื่อหน่ายจริงๆ
เฉินเสียนกล่าวอีกครั้ง “จากนี้อย่าหวังว่าข้าจะสอนเคล็ดลับการเกี้ยวสาวให้ท่านอีก หรือท่านไม่อยากไปทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ท่านไม่สละโสดข้าละเสียดายแทนท่านเสียจริง”
ซูเจ๋อพยักหน้า “อืม ท่านพูดถูก”
ทั้งสองเดินไปตามริมตลิ่งอีกสักพัก ห่างจากการละเล่นบทกวีที่เฉิดฉายงดงามนั้น มาที่ซุ้มขายของด้านหน้า
อาหารมื้อค่ำในนั้นมีมากมาย คนที่หิวระหว่างเดินเล่นริมแม่น้ำก็สั่งอาหารที่เดินผ่านไปมารับประทานได้
เฉินเสียนได้กลิ่นหอมลอยมา เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่รอให้เธอได้เอ่ยปาก ซูเจ๋อก็ชิงกล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ข้าหิวแล้ว เราไปทานบะหมี่กันเถิด”
เขาพาเฉินเสียนเดินไปที่ซุ้มขายบะหมี่
ตอนที่เฉินเสียนเดินเข้าไปในเพิง เห็นป้ายตั้งอยู่ที่หน้าประตูซุ้ม——บะหมี่ใจเดียวกัน
เธอยังคงงุนงง เพียงแค่เข้ามาทานบะหมี่ในเพิงจำเป็นต้องหรูหราขนาดนี้เชียวหรือ?
เมื่อก้าวเข้าไปนั่ง เฉินเสียนก็พบว่า ที่นั่งทานบะหมี่อยู่ในที่นี้มีเพียงคู่ชายหญิง
เป็นเวลาเดียวกันที่เถ้าแก่เข้ามาถาม “ท่านทั้งสองต้องการบะหมี่ใจเดียวกันหรือไม่ขอรับ? ”
เฉินเสียนถาม “อะไรคือบะหมี่ใจเดียวกัน? ”
เถ้าแก่ยิ้มอย่างมีความหมาย “ก็คือใช้ตะเกียบทานบะหมี่รวมกัน”
เฉินเสียนมองดูผู้คนที่กำลังทานบะหมี่อยู่ใกล้ๆ พบว่าตะเกียบในมือของชายหญิงเชื่อมกันด้วยด้ายสีแดง
ระยะห่างของเส้นด้ายสีแดงมีจำกัด ดังนั้นชายหญิงทั้งสองจึงไม่อาจอยู่ห่างกันได้ จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกันเพื่อใช้ตะเกียบทานบะหมี่ในชามตนเอง
เฉินเสียนขมวดคิ้ว
แค่ทานบะหมี่ เหตุใดต้องอยู่ใกล้กันถึงเพียงนั้น? เหตุใดต้องยักคิ้วหลิ่วตา เล่นหูเล่นตาให้โบยบินไปทั่วเพิง?
นางสัมผัสได้ถึงฟองอากาศสีชมพูที่โผล่ขึ้นมาจากชามบะหมี่ !
ทุกคนนั่งทานบะหมี่อย่างปกติไม่ได้หรือไง?
จะให้นางกับซูเจ๋อทานบะหมี่ใจเดียวเช่นนี้งั้นหรือ?
ซูเจ๋อหยั่งเชิงดู “งั้นมาทานบะหมี่ใจเดียวกันเถิด”
เฉินเสียนเหลือบมองเขา “บ้าหรือ”
เถ้าแก่กล่าวเสริม “คืนนี้ทางร้านมีข้อเสนอพิเศษ เพียงแค่ท่านทั้งสองทานบะหมี่ใจเดียวกัน จะคิดเงินเพียงแค่ชามเดียว”
ซูเจ๋อพยักหน้า “อืม เป็นการต่อรองที่คุ้มค่าจริงๆ ”
“คุ้มค่ากับศีรษะท่านนะสิ เราเปลี่ยนร้านทานมื้อดึกกันเถิด”
ซูเจ๋อกล่าว “แต่ที่นี่ราคาถูก ข้าไม่มีเงินติดตัวมามากนัก ท่านมีเงินหรือไม่? ”
เฉินเสียนคลำดู ปรากฏว่าที่เอวของตนเองว่างเปล่า เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตนไม่ได้พกเงินมาด้วย กระเป๋าเงินที่พกติดตัวทั้งหมดเอาไว้กับอวี้เยี่ยน
ซูเจ๋อยิ้ม แล้วเอ่ยถามเถ้าแก่ “เถ้าแก่ บะหมี่ชามนี้เท่าไหร่?”
เถ้าแก่ “เพียงแค่ห้าเหรียญ”
เฉินเสียนถามอีกครั้ง “เช่นนั้นขอเป็นตะเกียบธรรมดาสองคู่ได้หรือไม่? ”
เถ้าแก่ “หากแขกไม่อยากใช้ตะเกียบใจเดียวกัน ย่อมได้แน่นอน เพียงแต่เช่นนี้จะไม่ได้ส่วนลด ต้องจ่ายสองชามเท่าเดิมขอรับ ทั้งหมดก็สิบเหรียญ”
อีกเพียงแค่ห้าเหรียญ เธอจะได้ไม่ต้องถูกเอารับเอาเปรียบ
เธอพูดกับซูเจ๋อ “ท่านไม่ได้พกเงินมามาก แต่แค่สิบเหรียญมีพอใช่ไหม เพื่อจ่ายค่าบะหมี่”
ซูเจ๋อหยิบกระเป๋าใส่เงินออกมา หยิบเหรียญกษาปณ์ทองแดงออกมานับทีละเหรียญ
เฉินเสียนมองเขาราวกับพ่อค้าหน้าเลือด ลูกตาแทบถลนออกมา
ในที่สุดเขาก็นับเสร็จ เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “อ่า มีเพียงแค่หกเหรียญ” เขายื่นเงินห้าเหรียญให้เถ้าแก่อย่างคล้อยตามกันไป ด้วยปลายนิ้วสะอาดเกลี้ยงเกลา แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เช่นนั้นเรามาทานบะหมี่ใจเดียวกันเถิด เหลืออีกหนึ่งเหรียญใส่ไข่ให้นาง”
“ขอรับ”
เฉินเสียนเกือบพลิกตัวล้มลงจากม้านั่ง
ซูเจ๋อกล่าวอย่างห่วงใย “ระวัง อย่าตก”
เฉินเสียนลุกจากโต๊ะ จ้องมองไปที่ซูเจ๋อ “ท่านจงใจ”
ซูเจ๋อลูบที่ชายเสื้อ “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้? ”
“ท่านจะบอกว่าท่านออกมาเที่ยวเล่น แล้วนำเงินมาเพียงแค่หกเหรียญหรือ ผู้ใดจะเชื่อ? ”
ซูเจ๋อ “แต่เมื่อครู่ท่านก็เห็น กระเป๋าข้าว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีสักเหรียญเดียว”
เขากล่าวอย่างไร้เดียงสา “เดิมทีข้านำมาเยอะ แต่ข้าซื้อหน้ากากไปแล้ว แล้วก็ไปซื้อโคมไฟอีกตั้งหลายดวงให้ท่านปล่อย หน้ากากก็ราคาสิบเหรียญไปแล้ว ไหนจะยังต้องจ่ายอีกสิบสองเหรียญต่อค่าโคมไฟแต่ละดวงอีก”
เฉินเสียนเยาะเย้ย “ถึงกระนั้น รวมๆ แล้วก็ยังไม่ถึงร้อยเหรียญด้วยซ้ำ”
ซูเจ๋อยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า “ประทานโทษขอรับ หมู่นี้ข้าขัดสนเหลือเกิน”
เฉินเสียนตบโต๊ะพลางหัวเราะร่า “ท่านขัดสนแน่หรือ? หากข้าจำไม่ผิด ท่านเป็นบัณฑิตผู้สง่างามไม่ใช่รึ? ”
ซูเจ๋อกล่าว “เงินเดือนของบัณฑิตน้อยมาก นอกจากเป็นอาจารย์แล้ว ก็แทบไม่ได้อะไรเลย คงจะดีหากมีเงินเดือนมากพอมาจุนเจือครอบครัวได้”
“แต่บนเตียงในเรือนท่าน เต็มไปด้วยผ้าแพรทั้งชุด ราคาสูงยิ่งนัก ตอนนี้ท่านจะว่าจนก็ไม่สายเกินไปแล้วหรือ? ”
“นั้นผู้อื่นส่งมา”
“เช่นนั้นท่านต้องได้รับสิ่งของดีๆ มากมายแน่ ท่านยากจนกระไร แน่นอนว่าต้องมีเงินมากกว่าข้า”
“ข้าซื่อสัตย์ ไม่รับของสุ่มสี่สุ่มห้า” ซูเจ๋อยิ้มจางๆ “วันนั้นเหลียนชิงโจวมอบผ้าแพรให้ข้า เขามั่งคงที่สุดแล้ว”
ซูเจ๋อขว้างหม้อใส่เหลียนชิงโจวได้สำเร็จ
เฉินเสียนอยากจะตบเขาคาโต๊ะเสียจริง แต่สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นอย่างประนีประนอม “ลืมมันไปเสียเถิด หกเหรียญก็เงินเช่นกัน ดีกว่าไม่มีเลย หากมั่วคิดเล็กคิดน้อยกับท่าน คาดว่าคงถูกท่านทำให้เป็นบ้าตาย”
“ท่านคิดได้เช่นนี้ก็ดี”
เฉินเสียนรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “อ่า เหตุใดข้าต้องออกมาเดินเล่นกับท่านด้วยนะ ท่านนี่น่าเบื่อหน่ายเสียจริง”
หลังจากนั้นเฉินเสียนคิดว่า อย่างไรเสียก็เป็นเงินของซูเจ๋อ นางได้รับประทานฟรี เพียงอดทนกับมันไว้
บรรยากาศคลุมเครือระหว่างชายหญิงนั้น จะมองข้ามก็มองข้ามได้ แต่ไม่อาจละเลยตอนที่รับประทานบะหมี่ได้
อย่างไรเสียก็เพื่อส่วนลด หกเหรียญได้รับประทานบะหมี่ตั้งสองชามก็ไม่เลว หากออกไปจากที่นี่ ด้วยเงินเพียงน้อยนิดเท่านี้ หาอาหารมื้อค่ำที่ถูกใจได้เช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้
หากเธอไม่รับประทาน รอจนกลับไปที่จวนแม่ทัพคงหิวโซ ประณามว่าเป็นคนหิวและช่างโง่เขลา
โชคดีที่เพียงแค่รับประทานบะหมี่จากตะเกียบใจเดียวกัน ยังไม่ได้สติฟันเฟืองถึงขั้นต้องรับประทานบะหมี่ชามเดียวสองคน
ไม่นาน บะหมี่ร้อนก็ถูกยกมา
เฉินเสียนได้กลิ่นหอมของเส้นบะหมี่ เดิมทีเธอที่ไม่อยากอาหารมาหลายวัน เริ่มอยากอาหารขึ้นมาทันที
โรยต้นหอมสองสามหยิบมือลงบนเส้นบะหมี่ ชามบะหมี่ของเธอมีไข่ต้มที่เพิ่งต้มออกมาหนึ่งฟอง
เฉินเสียนเหลือบมองดูชามของซูเจ๋อ ของเขาไม่มีไข่
แม้จะเป็นคนน่าเบื่อหน่าย พอเห็นว่าเขารับตะเกียบขึ้นมาอย่างสบายใจ ความกลัดกลุ้มของเฉินเสียนก่อนหน้านี้ก็ถูกกวาดออกไปจนหมดเกลี้ยง
รอบข้างวุ่นวาย เขายังคงสงบ
เหรียญกษาปณ์ทองแดงที่เหลือเพียงเหรียญเดียวมอบไข่ไก่ให้แก่เธอ
ตะเกียบใจเดียวกันของทั้งสอง เชื่อมกันด้วยด้ายสีแดงตรงกลาง ซูเจ๋อส่งตะเกียบอีกคู่ให้เธอ แล้วกวักมือ “เข้ามาอีกสักหน่อย ไม่เช่นนั้นเราจะทานไม่ได้”
เฉินเสียนกล่าวอย่างหดหู่ “ท่านซักถามราคามาก่อนจากนั้นค่อยนำเหรียญออกมานับแน่ๆ ”
ปากก็พูดไปเช่นนั้น เฉินเสียนยังคงนั่งอยู่ที่มุมโต๊ะเช่นเดิม ซูเจ๋อนั่งลงแล้วค่อยๆ เข้าไปใกล้
น้ำเสียงของซูเจ๋ออ่อนโยน ราวกับว่ากำลังหัวเราะ “ท่านปรักปรำข้าอีกแล้ว”
คอมเม้นต์