ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 160 ซูเจ๋อ วันนี้ท่านดูดีมาก
เฉินเสียนหันไปตามเสียงเรียกและเห็นชายผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดดำอันคุ้นตายืนอยู่อย่างสงบที่ริมถนน
คนปกติที่เห็นการก่อเรื่องวิวาทเช่นนี้ต่างพากันหลบไม่เข้ามายุ่ง มีเพียงเขาที่ยังคงอยู่ในความสงบ
เพียงแต่ว่าเขาสวมหน้ากากลวดลายแปลกที่ไม่ค่อยมีให้เห็นที่ไหน เป็นหน้ากากที่มีสีสันสวยงามและดูแปลกตา ทว่าปกปิดใบหน้าของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เหลือให้เห็นแค่เพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้น
ถึงแม้เฉินเสียนจะมองไม่เห็นหน้า แต่มองแวบแรกเธอก็จำได้ทันทีว่าเขาคือซูเจ๋อ
เขายืนอยู่คนเดียวและสวมชุดดำอันคุ้นเคย เส้นผมบางส่วนระอยู่บริเวณไหล่ ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น ทั้งหมดนั้นเธอรู้จักเป็นอย่างดี
ไม่มีใครเรียกเธอว่า “อาเสียน” นอกจากเขา น้ำเสียงของเขาละมุนและอบอุ่นราวกับหยก ฟังไพเราะจับใจ
เฉินเสียนไม่คิดว่าเธอจะเจอเขาที่นี่
กลุ่มคนพวกนั้นยกพวกโจมตีเฉินเสียน เฉินเสียนรีบวิ่งไปที่ริมถนนทันทีและลากซูเจ๋อเลี้ยวหนีไปตรงทางแยก
แม้จะรับมือกับคนจำนวนมากขนาดนั้นไม่ไหว แต่ตอนนี้มีซูเจ๋ออยู่ด้วย เมื่อสองคนร่วมมือกัน ชัยชนะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ซูเจ๋อไม่ควรใช้กำลังกับผู้อื่นตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ดังนั้นเฉินเสียนจึงล่อคนพวกนั้นจนมาถึงทางตันที่ไม่มีใครเหยียบย่างเข้ามา
คนกลุ่มนั้นเคาะกระบองที่ถืออยู่ในมือและประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เอ่ยอย่างมุ่งหวังว่าจะเอาชนะ “ดูสิว่าคราวนี้จะหนีไปไหนได้อีก!”
เฉินเสียนผลักซูเจ๋อออกไปและพูดว่า “ช่วยข้าจัดการพวกมันเร็วเข้า! ถ้าชนะข้าจะตอบแทนท่าน!”
ทันทีที่คนของอีกฝ่ายพุ่งตรงเข้ามา ซูเจ๋อก็พลิกฝ่ามือชิงกระบองของมันมาได้และถีบอีกฝ่ายจนกระเด็นออกไปอย่างง่ายดายราวกับไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย
พวกที่เหลือเห็นดังนั้นจึงกรูเข้ามาพร้อมกัน
เฉินเสียนก็ไม่ได้นิ่งเฉย เธอชิงกระบองท่อนหนึ่งและร่วมมือกับซูเจ๋อต่อสู้กับพวกนั้น ใช้เวลาไม่นานเจ้าพวกนั้นก็เริ่มกระเจิดกระเจิง
พวกมันถูกจัดการทีละคนๆ จนไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาอีก
เมื่อซูเจ๋อก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบหนึ่งก้าว พวกมันก็ถอยหลังไปอย่างหวั่นๆ หนึ่งก้าว
เมื่อซูเจ๋ออยู่นิ่งๆ ไม่รบกวนผู้ใด เขาดูอ่อนโยน ไม่เป็นอันตราย สุภาพและมีสง่า แต่เมื่อเขาเริ่มลงมือเข้าจริง พลังโจมตีของเขาก็ระเบิดออกมา
เฉินเสียนมองแผ่นหลังของเขา ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน
ซูเจ๋อเดินไปข้างหน้าห้าหกก้าวด้วยสีหน้าที่ยังเรียบเฉย เจ้าคนพวกนั้นเดินโซซัดโซเซถอยหลังไปด้วยความกลัว ท้ายที่สุดก็หันหลังและวิ่งเตลิดไปด้วยความคับแค้นใจ
ซูเจ๋อหันกลับมามองเฉินเสียน นัยน์ตาเรียวยาวหรี่ลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรงโดยธรรมชาติ
เฉินเสียนสาบานว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าซูเจ๋อจริงจังมาก…
เธอยิ้มแหยๆ และกล่าวว่า “ซูเจ๋อ วันนี้ท่านดูดีมาก”
ความเคร่งขรึมในดวงตาของซูเจ๋อหายวับไปทันที แต่เมื่อนิ้วขาวสะอาดถอดหน้ากากออกมาจึงเห็นว่าแววตาที่อ่อนโยนนั้นหรี่แสงลง เขาเลิกคิ้วและถามว่า “ข้าสวมหน้ากากอยู่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ข้าดูดี”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าจะวันไหนท่านก็ดูดี โดยเฉพาะวันนี้ยิ่งดูดีเป็นพิเศษ จริงๆ นะ ถ้าข้าโกหกขอให้ข้าเป็นหมาเลยเอ้า!”
“ท่านไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ความจริงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เฉินเสียนเขี่ยจมูกตัวเองและบอกไปส่งๆ ว่า “น่าจะเป็นเพราะข้าเดินเปะปะอยู่ พวกนั้นคงเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาก็เลยคิดจะหาเรื่องข้า”
ซูเจ๋อปัดแขนเสื้อของตนเองอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะเลื่อนไปปัดชายเสื้อ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าก็เดินเปะปะอยู่นานแล้ว เหตุใดจึงไม่เจอคนกลุ่มใหญ่คิดจะเล่นงานเช่นนี้บ้างล่ะ”
เฉินเสียนเหลือบมองเขาและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าท่านแตกต่างจากคนอื่นนะสิ ท่านหน้าตาดีขนาดนี้ ใครจะไปอยากเป็นศัตรูกับท่าน แม้แต่ศัตรูเองยังลังเลเลยที่จะจัดการท่านเลย”
ซูเจ๋อหัวเราะและพูดว่า “ท่านคิดว่าแค่พูดจารื่นหูแค่ไม่กี่คำแล้วเรื่องจะจบหรือ ถ้าท่านไม่คิดจะบอกข้า งั้นข้าจะบอกให้ท่านฟังเอง”
“ได้ยินมาว่าท่านปล่อยเงินกู้อยู่ที่ตลาดฝั่งตรงข้ามบ่อนพนันเชียนจิน โดยเฉพาะปล่อยกู้ให้กับคนในบ่อนการพนัน”
“คนที่ยังหาเงินมาคืนไม่ได้จะถูกส่งไปทำงานที่ท่าเรือ การที่คนต่างไปกู้เงินจากท่านทำให้บ่อนสูญเสียลูกค้าไปจำนวนมาก”
“บ่อนพนันเชียนจินเป็นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง มีคนใหญ่คนโตหนุนหลังเถ้าแก่ของที่นี่ ท่านยังกล้ายุ่งกับมันอีกหรือ”
เฉินเสียนถูกซูเจ๋อขวางไว้ตรงมุมกำแพง เขาใช้ความได้เปรียบจากความสูงสกัดเธอไว้
กลิ่นอายของไม้กฤษณาโชยมา ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกว่าพื้นที่เริ่มคับแคบลง
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านรู้อยู่แล้วแล้วมาถามข้าทำไม”
แปลก… ทำไมอยู่ๆ เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอขึ้นมาเสียเฉยๆ หรือจะเป็นเพราะส่วนสูงของร่างกายที่ทำให้เธอประสาทหลอนเช่นนี้
ซูเจ๋อลดเสียงลงราวกับกระซิบ “ถ้าข้าไม่มองท่านอยู่ ท่านไม่เจาะท้องฟ้าจนเป็นโพรงไปแล้วหรือ หือ?”
เฉินเสียนอธิบายกับเขาว่า “ท้องฟ้าเมืองหลวงทั้งสูงทั้งกว้างใหญ่ไพศาล หากข้าเจาะจนเป็นโพรงได้จริง ข้าจะมาดิ้นรนอยู่ที่ตลาดนี่หรือ
ซูเจ๋อ อย่าทำเป็นตื่นเต้นไปหน่อยเลยน่า มันก็แค่การทำให้คนพวกนั้นแค้นและไม่พอใจนิดหน่อยไม่ใช่หรือ เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย ถ้าอยากเห็นท้องทะเลและผืนฟ้ากว้างต้องเสี่ยงกันหน่อย”
“หลายวันมานี้ทำกำไรมาได้เท่าไหร่” ซูเจ๋อถาม
เฉินเสียนตอบว่า “ไม่กี่ร้อยตำลึง ยังห่างไกลจากเป้าหมายอีกเยอะ”
“ท่านขาดเงินขนาดนั้นเลยหรือ”
เฉินเสียนเหลือบมองเขา “ท่านไม่มีลูกชายต้องเลี้ยงท่านไม่รู้หรอกว่ามันผลาญเงินขนาดไหน นมของเอ้อร์เหนียงก็ไม่รู้ว่าหมดเมื่อไหร่ ต้องเสียเงินซื้อนมผงอีก พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าเรือน… นี่ยังไม่ได้พูดถึงตอนขอสาวแต่งงานในอนาคตอีกนะ แถมข้าเองก็จะหาใครสักคนมาเป็นคู่ก็ยังต้องใช้เงินอีก”
ซูเจ๋อขมวดคิ้วและเอ่ยอย่างขบขันว่า “ค่านม ค่าเล่าเรียน ค่าเรือน ใครบอกว่าท่านต้องทำงานแลก? ถ้านมของเอ้อร์เหนียงไม่พอก็หาแม่นมใหม่ ถ้าอยากเรียน คนที่อยู่ตรงหน้าท่านไม่ใช่คนที่พร้อมจะสอนหนังสือหรอกหรือ? ส่วนเรือน ถ้าเบื่อที่จะอยู่ในจวนแม่ทัพ รอจนเมื่อสถานการณ์ตอนนี้สิ้นสุดลง จวนอีกหลังก็จะถูกสร้างขึ้น”
เขาโน้มศีรษะลงมาเล็กน้อยและกระซิบที่ข้างๆ หูเธอว่า “ที่เหลือก็มีแค่ปัญหาส่วนตัวของท่าน ท่านยังอายุน้อย ค่อยๆ หาเงินก็ได้ ในอนาคตหากอยากมาเป็นอิสระอยู่ข้างนอก อย่าใช้ลูกชายมาเป็นข้ออ้างอีก”
เฉินเสียนชะงักไปนิดหนึ่งกับสิ่งที่เขาพูด เธอชายตาขึ้นเพื่อมองใบหน้าอันไร้ที่ติของเขา
ทั้งสองสบตากันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วซูเจ๋อก็เสริมขึ้นมาว่า “ลูกชายของท่าน”
เฉินเสียนกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ข้ารู้ว่าท่านหมายถึงลูกขายของข้า”
“โชคดีที่วันนี้ข้าผ่านมาพอดี หากวันข้างหน้าท่านไม่มีใครคอยช่วยอยู่เคียงข้าง หากเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้อีกจะทำอย่างไร”
เฉินเสียนพยายามเบี่ยงประเด็น “ท่านแค่ผ่านมาพอดี? เป็นไปไม่ได้หรอก อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น”
ซูเจ๋อรู้ทุกอย่างว่าหลายวันมานี้เธอทำอะไรไปบ้าง เขายังจะกล้าบอกว่าแค่ผ่านมาเฉยๆ อย่างนั้นน่ะหรือ
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและเอ่ยว่า “หากท่านต้องการหารายได้ เมื่อเหลียนชิงโจวกลับมาเขาจะช่วยท่านเอง ตอนนี้เหลียนชิงโจวไม่อยู่ ท่านอย่าเพิ่งก่อเรื่องวุ่น ถ้าหากข้าไม่แสดงตัวออกมาท่านจะทำอย่างไร”
พูดจบเขาก็ถอยออกมา เฉินเสียนเป็นอิสระและรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ซูเจ๋อพูดอีกว่า “หลังจากกลับไปวันนี้ให้อยู่ที่จวนแม่ทัพสักสองสามวัน อย่าเพิ่งออกไปไหนมาไหนเพื่อความปลอดภัย”
เขาเหลือบมองเธอ “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจะตอบแทนข้า ท่านคิดจะตอบแทนอย่างไรรึ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “พูดแบบนี้ก็หมายความว่าท่านมาเพื่อช่วยข้าโดยเฉพาะจริงๆ ด้วย ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีคนคิดจะทำร้ายข้า”
ซูเจ๋อตอบว่า “ท่านทำลายการค้าของผู้อื่น ทั้งยังกล้าตั้งแผงลอยฝั่งตรงข้ามแล้วประโคมข่าวเสียยกใหญ่ พวกมันไม่ฆ่าท่านแล้วจะไปฆ่าใคร ถ้าอยากทำ ท่านหาคนมาทำแทนก็ได้ อย่าออกมาทำเองอีก เข้าใจไหม”
คอมเม้นต์