ข้าคือหงส์พันปี – บทที่174 สถานที่นี้……เข้าไปไม่ได้จริงๆนะ
หลิ่วเหมยอู่สายหัว แล้วกล่าวขึ้นว่า“ท่านแม่ทัพคืนความบริสุทธิ์ให้กับเหมยอู่ได้ เหมยอู่พึงพอใจเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ เพียงแต่…….ถึงอย่างไรเซียงซั่นก็ยังเคยเป็นบ่าวของข้าอยู่ช่วงหนึ่ง วันนี้ตกอับมีจุดจบเช่นนี้ เหมยอู่อดไม่ได้ที่จะเห็นใจนางเจ้าค่ะ”
ฉินหรูเหลียงน้ำเสียงเย็นชา กล่าวว่า “เจ้านึกถึงมิตรภาพเก่ากับนาง แต่นาง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเหยียบย่ำเจ้าปีนป่ายขึ้นไป อยากจะโทษก็ต้องโทษตัวนางเองที่ก่อกรรมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไว้ชีวิตไม่ให้นางตายนี่ก็นับว่ากรุณานางมากแล้ว”
เขาลดน้ำเสียงลง แล้วกล่าวอีกว่า“เหมยอู่ อย่าโทษตัวเองเลย คนเช่นนั้นไม่คุ้มค่าที่เจ้าจะคิดถึงมิตรภาพเก่าอีก”
หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า“เหมยอู่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ปากก็พูดตอบรับเช่นนี้ แต่ทว่าภายในใจนั้นมีความดีใจอยู่พักหนึ่ง นางคิดถึงมิตรภาพเก่าหรือ?นางแทบอยากจะให้เซียงซั่นที่มีชีวิตอยู่ถูกตีตายถึงจะระบายความเกลียดชังที่นางมีมานานแสนนานได้!
เพียงแต่วันนี้เซียงซั่นไม่ตาย แต่ทว่าถูกส่งเข้าไปที่หอหมิงเยว์ ต่อไปก็ยากที่จะมีวันเปลี่ยนฐานะตัวเองได้
หญิงต่ำช้านั่น ไม่รู้จักชั่วดี ก็สมน้ำหน้าที่อยู่สถานที่อย่างนั้นถูกชายไม่ซ้ำหน้าย่ำยี!
คิดแล้วรู้สึกว่าคนชั่วถูกลงโทษมันทำให้สบายใจเสียจริง!
เวลานานแสนนาน ในที่สุดหนามที่ปักอยู่ที่ใจก็ถูกดึงออกเสียที
หลิ่วเหมยอู่อดทนอย่างยากลำบากจริงๆ นางต้องข่มอารมณ์ให้สงบกระตุกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นฉินหรูเหลียงก็จูงมือหลิ่วเหมยอู่ออกมาจากโถงบุปผา
คนในจวนก็รู้สึกว่านานมากแล้วที่ไม่เห็นเขาเข้าใกล้อยู่ข้างกายของหลิ่วเหมยอู่เช่นนี้
ฉินหรูเหลียงอยู่ในสวนดอกพุดตานทั้งวัน ฟังหลิ่วเหมยอู่ดีดพิณ ดูนางเต้นรำ ความผูกพันธ์ของทั้งสองเหมือนตอนแรก รักกันอย่างดูดดื่มเหมือนในอดีต
ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ที่หลิ่วเหมยอู่ต้องการ
พอเซียงซั่นไม่อยู่ นางก็ได้รับความโปรดปรานอีกครั้งจากฉินหรูเหลียงตามที่ได้คิดไว้
รอเรื่องหน้าเรือนจัดการเสร็จเรียบร้อย ก็จวนจะเที่ยงแล้ว
ตอนที่อวี้เยี่ยนไปเตรียมอาหารเที่ยงให้เฉินเสียน ถือโอกาสไปไถ่ถามดูไม่กี่ประโยค
ตอนกลับมา อวี้เยี่ยนมีสีหน้าเศร้าหมอง
นางนำเรื่องเกี่ยวกับผลการลงโทษเซียงซั่นมาเล่าให้เฉินเสียนฟังอย่างละเอียดยิบ
อวี้เยี่ยนทอดถอนหายใจออกมากล่าวขึ้นว่า“ถึงแม้บ่าวจะเคียดแค้นกับสิ่งที่เซียงซั่นทำทั้งหมด แต่เทียบกับความอำมหิตของนายหญิงหลิ่ว ยังคงเป็นนายหญิงหลิ่วที่โหดเหี้ยมอำมหิตกว่า เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าเลี้ยงดูเซียงซั่นมาตั้งนาน พอเกิดเรื่องขึ้น ท่านแม่ทัพไม่มองนึกถึงมิตรภาพเก่าเลยแม้แต่น้อยเพคะ นำนางขายไปอยู่ที่หอนางโลมอย่างคาดไม่ถึงเลยเพคะ นี่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเท่าไหร่เลยนะ ต่อให้ไม่มีความรู้สึกอย่างสามีภรรยาก็มีบุญคุณกันแล้ว เช่นนี้ยังไม่ดีเท่ากับมอบความตายในเซียงซั่นนั่นยังจะทำให้คนยอมแพ้ด้วยความจริงใจอยู่บ้าง บ่าวยังได้ยินมาว่า เซียงซั่นเพิ่งจะถูกลากไป ท่านแม่ทัพก็จูงมือนายหญิงหลิ่วเข้าไปในสวนดอกพุดตานนะเพคะ นี่เป็นชายที่บ่าวเคยพบเห็นว่าไร้ยางอายไร้ความรู้สึกที่สุดเลยเพคะ”
เฉินเสียนไม่มีความอยากอาหาร วางตะเกียบลง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ฉินหรูเหลียง เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
อวี้เยี่ยนเห็นเช่นนี้แล้ว เริ่มสำนึกได้กล่าวขึ้นว่า“เหตุใดองค์หญิงไม่กินเล่าเพคะ บ่าวพูดมากไปหรือเพคะ บ่าวไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้วเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องวันนี้ไม่เหมาะกับการกินอาหารเลย”
สำหรับเซียงซั่น ยังมีจุดจบอะไรที่ย่ำแย่กว่านี้หรือ?
เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ควรที่จะกล่าวมากความขึ้นมาอีก
เฉินเสียนได้ยินว่าเด็กน้อยครอบครัวอื่น สองสามเดือนก็ยิ่งชอบยิ้มหัวเราะแล้ว คนประจบเอาใจก็หัวเราะไม่หยุด
แต่พอดูลูกชายเรือนตัวเอง ทั้งวันไม่กินก็นอน ตอนที่กินอิ่มนอนตื่นก็ลืมตาใจลอย ไม่ว่าเฉินเสียนจะเปลืองแรงใช้พลังอย่างสุดความสามารถ ก็ไม่สามารถหยอกล้อให้เขาหัวเราะได้เลย
เฉินเสียนหย่อนก้นลงนั่งบนพื้นพรม ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มใจ แล้วกล่าวขึ้นว่า“นี่ลูกชาย หัวเราะยิ้มให้แม่ดูหน่อย มันยากเช่นนั้นเชียวหรือ?”
ก่อนหน้ากังวลว่าเจ้าน่องน้อยจะเป็นใบ้ ตอนนี้เฉินเสียนยิ่งกังวลใจอย่างไม่สามารถมีอะไรมาเทียบได้ว่าเจ้าน่องน้อยจะเป็นคนที่ทึ่มรึเปล่า
ตอนที่กำลังหดหู่ใจ คาดไม่ถึงว่าเจ้าน่องน้อยจะแบะปากยิ้มอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แม่นมซุยกับอวี้เยี่ยนเห็น รีบกล่าวขึ้นทันควันว่า“องค์หญิง!องค์หญิงรีบดูสิเพคะ!ท่านชายยิ้มแล้วเพคะ!”
แต่เจ้าน่องน้อยแบะปากยิ้มแวบหนึ่งก็ผ่านไป รอจนเฉินเสียนหันมาดู เขาก็ไม่ยิ้มแล้ว
เฉินเสียนพยายามปักหลักสู้ไม่ถอยหยอกล้อเขาอีกครั้งทันที เขาก็ยังคงไม่ยิ้ม
เฉินเสียนกล่าวอย่างอ่อนเพลียว่า“เห้อ สรุปว่าข้าหยอกล้อเขาหรือว่าเขาหยอกล้อข้ากันนะ”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เฉินเสียนปรากฏตัวที่หน้าหอนางโลม
เข้าสู่เหมันตฤดูท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ
ยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แหล่งซ่องนางโลมแห่งนี้ถึงได้เริ่มโคมแสงไฟสีสันงดงาม บรรยากาศกลิ่นหอมของสตรีลอยตลบอบอวล เสียงดังอยู่ข้างหูไม่หยุดพัก
แขกหลากหลายรูปแบบอ้อยอิ่งไม่อาจหักใจจากไปเช่นนี้ เหล่าสาวงามที่เชิญชวนแขกอยู่ด้านหน้าใช้รอยยิ้มกินใจหลอกล่อให้ผู้คนหลงใหล
ถ้าหากมีแหล่งพักพิงที่ดี ใครจะยินยอมร่อนเร่เดินทางมาลำบากกันเล่า?
รอยยิ้มนั่น เป็นรอยยิ้มที่ฝืนใจว่ามีความสุข
อวี้เยี่ยนหวาดกลัวมาก ดึงบีบมือของเฉินเสียนแน่น แล้วกล่าวว่า “คุณชาย สถานที่นี้……พวกเราเข้าไปไม่ได้จริงๆนะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “สาวงามด้านในจะจับเจ้ากินหรือ?”
“พวกนางอยากกิน ก็กินไม่ลงหรอก บ่าวรู้สึกว่าเข้าออกสถานที่เช่นนี้ ทำลายศีลธรรมอันดีนะ”
“ขนาดบ่อนการพนันเจ้าก็เข้าแล้ว ที่นี่ยังไม่กล้าเข้าหรือ?”
อวี้เยี่ยนแสดงสีหน้ายุ่งมู่ทู่
แน่นอนว่านางรู้ว่าเหตุใดเฉินเสียนถึงมาที่นี่ เพราะว่าเซียงซั่นอยู่ในหอหมิงเยว์
แต่ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกผู้ชายมาเสาะแสวงหาเสพสุขในกาม
เวลานี้เฉินเสียนได้เรียกสาวงามสองคนที่อยู่หน้าประตูมา สั่งให้พวกนางลากอวี้เยี่ยนเข้าไปให้เธอ
ด้วยเหตุนี้สาวงามทั้งสองคนจึงได้ลากอวี้เยี่ยนข้างซ้ายข้างขวาเข้าไปในหอหมิงเยว์ และยังกล่าวหยอกล้อว่า“น้องชายเพิ่งจะมาครั้งแรกสินะ น้องชายวางใจ ด้านในสนุกมาก~”
อวี้เยี่ยนส่งเสียงตะโกนวี้ดร้อง
ผู้คนบริเวณโดยรอบใช้สายตาที่ไม่เข้าใจมองมาทางอวี้เยี่ยน เลยถือโอกาสกล่าวปลอบใจว่า“เด็กผู้ชายจำเป็นต้องมีประสบการณ์เรื่องนี้ถึงจะนับว่าเป็นชาย เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว มันจะมีความสุขมาก”
เฉินเสียนหัวเราะอย่างมีน้ำใจไมตรีอยู่ด้านข้าง นี่ถึงทำให้สาวงามปล่อยอวี้เยี่ยน อวี้เยี่ยนหวาดกลัวอยู่ข้างกายเฉินเสียน ร้องไห้สะอึกสะอื้น
เฉินเสียนยืนอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เห็นเสียงหัวเราะสาวงามกับเสียงเพลงบรรเลง เสียงดนตรีเสื่อมทราม ผู้บรรเลงนั้นบรรเลงโครงกลอนได้สละสลวยเร้าใจมาก
อวี้เยี่ยนอยู่ด้านข้างมองสาวงามที่คลอเคลียซ้ายขวานั่น คนที่หยอกล้อเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆ อดไม่ได้ที่จะด่าว่า“ไม่รู้จักละอายใจ! เสื่อมเสียต่อประเพณีและศีลธรรม!น่าอับอาย! เสเพลต่ำช้า!”
เฉินเสียนกระตุกริมฝีปาก เห็นอวี้เยี่ยนพูดถูกต้องวาทะเต็มไปด้วยสัจธรรม มีท่าทางระมัดระวัง เธอขำขันแล้วกล่าวว่า“ด่า ด่าต่อ ข้าก็อยากฟัง สรุปว่าเจ้าจะพูดด่าความจริงที่ไม่ได้หลอกลวงนี้ได้เท่าไหร่กัน”
อวี้เยี่ยนอดกลั้นอยู่สักพักก็อดไม่ได้ กล่าวเสียงพึมพำว่า“บ่าวไม่ได้เรียนลึกซึ้ง ไม่มีจะด่าแล้ว”
เฉินเสียนหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านกล่าวว่า“ในเมื่อมาแล้ว อีกทั้งพอใจในสิ่งที่ตนมี ถ้าหากเจ้าไม่ชอบสาวงามที่นี่ ครั้งหน้าพวกเราก็หาอีกที่หนึ่ง แบบด้านในมีชายหนุ่มที่โฉมหน้างดงามไม่ไร้รสนิยม”
พออวี้เยี่ยนฟังอีกนิดหนึ่งก็คุกเข่าลง กล่าวขึ้นว่า“ไม่ ไม่แล้ว บ่าวชอบ ชอบ……ชอบที่นี่มาก”
ถ้าต้องไปสถานที่ที่มีหนุ่มน้อยจริงๆ ใต้เท้าซูหรือว่าท่านแม่ทัพรู้เรื่องล่ะก็ ต้องฉีกหนังนางออกเป็นชั้นๆแล้วแน่แท้
สถานที่เช่นนั้นเมืองหลวงไม่ใช่ว่าไม่มี
ถึงอย่างไรปกติคนที่มีเงินทองชอบเล่นสนุกเป็นคนที่วิปริตรสนิยมจัดจ้าน ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จำนวนไม่น้อยชอบเล่นโปรดปรานชายหนุ่มที่ฐานะต่ำต้อย ชอบทั้งหญิงและชาย
เวลานี้ผู้ดูแลห้องโถงใหญ่ขึ้นมาสอบถามว่า“คุณชายทั้งสองเพิ่งมาหอหมิงเยว์หรือ มีสาวงามที่อยากจะเลือกหรือไม่?ถ้าหากไม่มี ท่านชายต้องการแนวไหนหรือ ผู้น้อยจะสั่งให้เหล่าสาวงามขึ้นมาให้คุณชายเลือก”
เฉินเสียนสีหน้าสุขุมกล่าวว่า“ข้าชอบสนุกกับของสดใหม่ ที่นี่มีสาวงามที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานหรือไม่?”
ผู้ดูแลกล่าวว่าตอบว่า“มีอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ส่งมาให้ข้าเลือกดู”
มองท่าทางชำนาญเหมือนง่ายอย่างปลอกกล้วยเข้าปากของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนก็ตื่นตระหนก เห็นชัดว่าเพิ่งจะมาครั้งแรก เธอกลับเหมือนผู้เชี่ยวชาญเลย
ไม่นานก็มีสาวงามไม่กี่คนถูกนำไปด้านหน้า
เฉินเสียนเหลือบมองเห็นอวี้เยี่ยนที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายยังไม่ถูกเลือก ครั้นแล้วก็ชี้นาง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เอานาง”
ผู้ดูแลมองไปทางเซียงซั่นด้วยสายตาเย็นชา กล่าวขึ้นว่า“ซั่นเอ๋อร์ คุณชายชอบเจ้าแล้ว เจ้ามาปรนนิบัติเถิด”
คอมเม้นต์