ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 179 มันจะเสพติดเข้าจริงๆ
เฉินเสียนถามอวี้เยี่ยนว่า : “อวี้เยี่ยน เจ้าคิดว่าข้าหึงหรือเปล่า? เจ้าได้กลิ่นหึงจากตัวของข้าหรือไม่?”
อวี้เยี่ยนรีบส่ายหน้าอย่างมั่นใจ : “ใต้เท้าซูพูดไปเรื่อย! องค์หญิงกำลังโกรธต่างหาก หม่อมฉันยังได้กลิ่นไหม้ของไฟโกรธด้วยซ้ำไป
องค์หญิงลองคิดดู ตั้งแต่เราออกจากหอหมิงเย่ว์ ใต้เท้าซูก็จับมือองค์หญิงแน่นไม่ยอมปล่อย องค์หญิงต้องทนแบกรับสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมาตั้งเท่าไหร่
ใต้เท้าซูไม่เพียงไม่ยอมขอโทษสำหรับพฤติกรรมของเขา แต่ยังพาองค์หญิงเข้าไปในตรอกที่มืดสนิทขนาดนั้น คนเราเวลาอยู่ที่ที่มืดสนิทมองอะไรไม่เห็นมักจะขาดความรู้สึกมั่นใจและความรู้สึกปลอดภัย แผนนี้ของใต้เท้าซูก็คือต้องการจะทำให้จิตใจขององค์หญิงอ่อนแอลงเพคะ!”
เฉินเสียนราวกับตรัสรู้ในทันใด จึงพูดขึ้นว่า : “เจ้าวิเคราะห์ได้ละเอียดมาก”
พอมาคิดดูอีกครั้ง เธอไม่ควรโมโหซูเจ๋อด้วยซ้ำไป ไม่แน่ว่าซูเจ๋อเห็นเธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ กลับชอบอกชอบใจก็เป็นได้
ครั้งนี้พ่ายแพ้ ครั้งหน้าแก้ตัวใหม่ก็แล้วกัน
อวี้เยี่ยนที่อยู่ข้างๆ เริ่มบ่นพึมพำอีกครั้ง : “องค์หญิง หม่อมฉันรู้สึกว่าใต้เท้าซูเป็นคนเจ้าเล่ห์จิตใจลุ่มลึก องค์หญิงอย่าโดนเขาหลอกเข้าล่ะ! คืนนี้เขายังกล้าข่มขู่หม่อมฉัน หม่อมฉันคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนดีอะไรอย่างนั้น คราวหน้าองค์หญิงไปมาหาสู่กับเขาให้น้อยลงจะดีกว่าเพคะ”
เฉินเสียนถอนลมหายใจ เพราะเธอเพิ่งรับปากไปว่าอีกสองวันจะเชิญเขาทานข้าว การไปมาหาสู่ให้น้อยลง ควรจะเริ่มจากตรงไหนดี?
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็สวมใส่ชุดคลุม เฉินเสียนขึ้นไปเอนตัวนอนลงบนเตียง
อวี้เยี่ยนห่มผ้านวมให้เธอ ปล่อยมุ้งครอบลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “องค์หญิงอย่าทรงคิดมาก รีบพักผ่อนเถอะเพคะ”
“เจ้าก็ไปนอนเถอะ”
เฉินเสียนพลิกตัวไปมองเจ้าน่องน้อย เธอสอดมือเข้าไปที่ใต้แก้มของเจ้าน่องน้อยเบาๆ ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน จากนั้นก็ดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดของเธอ
ไฟในหอนอนยังคงสว่างตลอดจนเคยชิน
เฉินเสียนปลดขลุ่ยไม้ไผ่จากผ้าคาดเอว แล้วนำมาเล่น
เธอค่อยๆ ลูบไล้ลวดลายแกะสลักบนขลุ่ยไม้ไผ่เบาๆ เหตุการณ์ในอดีตบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มักจะเข้ามาในหัวของเธอโดยที่เธอไม่รู้ตัว
มันเกี่ยวข้องกับขลุ่ยไม้ไผ่เลานี้ และเกี่ยวข้องกับซูเจ๋อด้วย
ค่ำคืนนี้อาจจะมืดมิดเกินไปกระมัง เพราะฉะนั้นตอนอยู่ที่ตรอกนั่น ตอนที่ซูเจ๋อกอดเธออย่างแนบแน่น เธอถึงได้รู้สึกจิตใจว้าวุ่นขนาดนั้น
ตอนนี้พอนึกย้อนดูแล้ว ความรู้สึกแบบนั้นเบาบางลงไปไม่น้อย
แต่การหายใจของเฉินเสียนยังคงติดขัดไม่โล่ง
นิ้วมือของเธอกำขลุ่ยไม้ไผ่แน่นอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่เธอหลับตาลงนั้น ก็พยายามทิ้งภาพวุ่นวายทั้งหมดออกไปจากสมอง
“ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อย่าได้คิดบุ่มบ่ามเชียว”
บางทีหากรู้จักกันนานมากขึ้น อาจจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความคุ้นชินก็เป็นได้
ที่เธอมีความรู้สึกกับอ้อมกอดนั้น เป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่ต้องการพึ่งพาอย่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง
เพราะว่าในทุกๆ ครั้ง เขามักจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายเธอเสมอ
และถึงแม้ว่าจะเสพติดแล้วจริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกระหว่างชายหญิงอย่างแน่นอน
เฉินเสียนไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และยิ่งไม่อยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าซูเจ๋อนั้นต้องการอะไรกันแน่
สำหรับเธอแล้ว มันเป็นเพียงแค่เขตที่มีโครงข่ายสายไฟ และถูกติดป้ายว่า “อันตราย ไฟฟ้าแรงสูง” หากว่าเธอฉลาดพอ ก็ควรรีบถอยหลังไป ห้ามเดินหน้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ได้
เธอพูดกับตัวเองว่า : “เฉินเสียนเอ๋ย เฉินเสียน เป็นเพื่อนกันได้ แต่ห้ามจริงจังโดยเด็ดขาด ผู้ชายอย่างเขาน่ะ เตรียมพร้อมจะทำให้เธอสับสนได้ทุกเมื่อ เมื่อใดก็ตามที่การป้องกันตนเองของเธอล่ะหลวมละก็ คงจะถูกกลอุบายของเขาหลอกเข้าอย่างแน่นอน”
เวลาสองวัน เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเฉินเสียนสงบลงได้
เธอไม่ใช่คนที่จะมานั่งคิดฟุ้งซ่าน เมื่อตั้งสติได้แล้ว ก็รีบกำจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านและความยุ่งเหยิงออกจากหัวไปให้หมด
เมื่อมีเวลาว่าง เธอก็จะอ่านตำราเขียนหนังสือ และเขียนภาพวาด
เห็นแม่นมซุยและอวี้เยี่ยนทำงานบ้านอยู่ในเรือน ที่บางครั้งก็แอบสงสัยแล้วจึงพากันมาดูเป็นพักๆ
หลังจากผ่านไปสองวัน ซูเจ๋อก็ได้ที่เรียบร้อยแล้ว จึงให้แม่นมซุยช่วยส่งจดหมายให้เธอ
สถานที่คือหอสุราแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เป็นการทานมื้อค่ำ
พอใกล้ถึงเวลาที่จะออกเดินทาง ก็เห็นอวี้เยี่ยนจะตามไปด้วย แม่นมซุยจึงพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีว่า : “องค์หญิงจะเชิญใต้เท้าซูทานมื้อค่ำ เจ้าจะตามไปด้วยทำไม?”
อวี้เยี่ยนพูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า : “ข้าต้องตามไปดูแลองค์หญิง ไม่อย่างงั้นใต้เท้าซูอาจจะทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมาก็ได้”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “รอบก่อนเจ้าบอกกับข้าว่าใต้เท้าซูขู่จะตีขาเจ้าให้หักไม่ใช่รึ นี่เจ้าคิดจะเอาขาคู่นั้นส่งไปให้เขาตีถึงที่จริงๆ นะหรือ?”
อวี้เยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างดื้อรั้น : “แต่ข้าก็ไม่ควรให้องค์หญิงอยู่กับเขาตามลำพังนี่นา”
“ใต้เท้าซูไปทำอะไรแผลงๆ เมื่อไหร่กัน” แม่นมซุยพูดขึ้น : “พอเจ้าไปถึงโน่น ใต้เท้าซูยังต้องไปจัดเตรียมให้เจ้าต่างหากอีก หอสุราที่แบบนั้น หูตาเต็มไปหมด หากมีคนจำเจ้าได้ขึ้นมา ไม่สร้างความเดือดร้อนให้องค์หญิงหรอกหรือ?”
อวี้เยี่ยนเม้มปากมองแม่นมซุยอย่างลำบากใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนของเขา และเขาก็เป็นคนส่งตัวท่านมา แต่ท่านดูสิ เขาและองค์หญิงเป็นแบบนี้ต่อไป มันเหมาะมันควรหรือ? เขาไม่ควรจะฉวยโอกาสตอนที่องค์หญิงยังจำอดีตไม่ได้แล้วมาข้ามเส้นแบบนี้ เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
แม่นมซุยจึงตอบกลับไปว่า : “เราเป็นแค่คนเบื้องล่าง ควรทำตามคำสั่งของคนเบื้องบนเท่านั้น”
อวี้เยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “สิ่งที่ข้ากลัวที่สุดก็คือ……องค์หญิงจะมีใจให้เขาโดยไม่รู้ตัว จะเป็นใครก็ได้ ยกเว้นเขาคนเดียวเท่านั้น เขาจะทำร้ายองค์หญิงเอาได้ องค์หญิงไม่อาจรับคำประณามเหล่านั้นได้”
เวลาเดียวกัน เฉินเสียนที่เดินออกมาจากหอนอนด้วยความเบื่อหน่าย เห็นสีหน้าของอวี้เยี่ยนที่เต็มไปด้วยความเศร้า เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วจึงถามขึ้นว่า : “เจ้าว่าใครไปประณามใครกัน?”
อวี้เยี่ยนเม้มปากปิดสนิท แล้วจึงพูดขึ้นด้วยความลำบากใจ : “ใต้เท้าซูไม่ให้หม่อมฉันไปกับองค์หญิงด้วย หม่อมฉันรู้สึกว่าใต้เท้าซูและองค์หญิงเป็นชายโสดและหญิงหม้าย จะถูกประณามเอาได้ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจะต้องติดตามองค์หญิงไปด้วยเพคะ”
เฉินเสียนรู้สึกตลกมาก จึงพูดขึ้นว่า : “ก็แค่ทานข้าวด้วยกัน ประเดี๋ยวข้าก็กลับมา เจ้าไม่ไปน่ะดีแล้ว ไปแล้วก็ต้องยืนดูข้าทานข้าว กระเพาะของเจ้าไม่หิวแย่หรือ?”
แม่นมซุยจึงรีบพูดขึ้นว่า : “นั่นน่ะสิ อวี้เยี่ยน เจ้าอยู่ที่นี่ช่วยข้าดูแลเจ้าน่องน้อย ข้าคนเดียวจัดการไม่ค่อยไหว”
อวี้เยี่ยนดื้อดึงพูดต่อไปว่า : “หม่อมฉันทนได้เพคะ”
“งั้นเจ้านั่งลงกินกับข้า?” เฉินเสียนหยิบยกเหตุผลขึ้นมาพูด เธอและซูเจ๋อไปทานข้าวด้วยกัน แต่กลับให้อวี้เยี่ยนยืนดูอยู่อย่างงั้น ออกจะไม่ค่อยยุติธรรม
อวี้เยี่ยนจึงรีบตอบกลับว่า : “หม่อมฉันมิบังอาจ”
“งั้นเจ้าก็อยู่ที่บ้านเถอะ เดี๋ยวพอถึงเวลาอาหาร ยังจะได้ทานมื้อค่ำพร้อมเอ้อร์เหนียงด้วย ไม่ต้องไปยืนหิวอยู่”
เฉินเสียนค่อยๆ เดินลงขั้นบันไดไป อวี้เยี่ยนที่ดูเหมือนมีอะไรจะพูด เธอเลิกคิ้วขึ้นสูง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “จะเป็นงานเลี้ยงขอบคุณหรืองานเลี้ยงแอบแฝงก็ชั่งปะไร ก็แค่ข้าวมื้อเดียว”
เธอยืนอยู่ข้างๆ อวี้เยี่ยน แล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มของนาง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังเป็นห่วงเรื่องอะไร เจ้าวางใจเถอะ ข้ายังชัดเจนดี อะไรที่ควรหวั่นไหว และอะไรที่ไม่ควรหวั่นไหว”
อวี้เยี่ยนที่ยังเป็นกังวล จึงพูดขึ้นอย่างจริงใจว่า : “องค์หญิง ตรงหัวใจนี้ ห้ามหวั่นไหวนะเพคะ”
เฉินเสียนจึงหัวเราะขึ้น เธอหรี่ตาลงแล้วมองออกไปนอกเรือน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แม้แต่เจ้ายังรู้ดี แล้วข้าองค์หญิงทั้งคนจะสับสนได้อย่างไรกัน เจ้าวางใจอยู่บ้านเถิด ข้าทานมื้อค่ำเสร็จแล้วก็จะกลับมาทันที”
แม่นมซุยมองตามหลังเฉินเสียนที่เดินออกจากสวนสระวสันตฤดูด้วยท่วงท่าอิริยาบถที่สงบและสง่างาม นางจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “บางครั้งการมีสติชัดเจนเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”
อวี้เยี่ยนจึงตอบกลับไปว่า : “แต่ต้องไม่เป็นเรื่องที่ไม่ดีเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนมีความคุ้นเคยกับเมืองหลวงนี้มากขึ้น รู้ว่าหอสุราที่ซูเจ๋อนัดนั้นอยู่ที่ไหน
แต่ยังไม่ทันที่นางจะเดินเข้าสู่ถนนใหญ่ ก็มีรถม้ามาจอดขวางทางอยู่
เฉินเสียนจำคนบังคับรถม้าคนนั้นได้ เป็นคนเดียวกันที่พาเธอและซูเจ๋อไปท่องเที่ยวชมสารทฤดู
คนบังคับรถม้าเห็นเฉินเสียนมาแล้ว จึงรีบโค้งตัวทำความเคารพ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ใต้เท้าสั่งให้ผู้น้อยมารับองค์หญิงโดยเฉพาะ เชิญองค์หญิงขึ้นรถม้าเถอะขอรับ”
คอมเม้นต์