ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 197 เต้นรำ
หลังจากที่รู้สึกเบลออยู่ครู่ใหญ่ เฉินเสียนก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าต้องมีสติๆ”
ลมหนาวที่พัดมาจากด้านนอกทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเฉินเสียนค่อยๆ สงบลง
ความจริงการปฏิเสธของเหลียนชิงโจวไม่ได้ทำให้เธอเสียใจหรือขัดเคือง ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ
สำหรับเหลียนชิงโจว เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขานอกเหนือจากคำว่ามิตรภาพ หลังจากไม่ได้เจอกันมานานและได้มาเจอกันในคืนนี้ เธอรู้สึกถึงความสนิทสนมและความสบายใจ ทว่าไม่มีความหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น
ตรงกันข้าม เมื่อเฉินเสียนเห็นสายตาที่ซูเจ๋อมองมาที่เธอ ดวงตาเรียวยาวซึ่งไม่มีเหมือนใครนั้นดูเหมือนจะบรรจุท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้และดึงดูดเธอเข้าไป จนเธอควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจไม่ได้
กลิ่นหอมของไม้กฤษณาจากเรือนร่างของเขายังโชยมาสัมผัสประสาทการรับกลิ่นของเธอตลอดเวลา นั่นทำให้เธอยิ่งอยากจะฉกฉวยเอาไว้และเพิกเฉยต่อมันไม่ได้
เฉินเสียนยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือ เธอจับราวกั้นเอาไว้และมองดูแสงไฟในเมือง ลมหนาวพัดมาปะทะแก้มที่มีไอร้อนของเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงความเย็นสบาย
เธอบอกกับตัวเองว่า เฉินเสียน เธอจะหวั่นไหวกับเขาไม่ได้
ภายในห้อง ซูเจ๋อมองเหล้าครึ่งจอกที่เหลืออยู่บนโต๊ะของเฉินเสียน เขาใช้นิ้วขาวสะอาดหยิบมันขึ้นมาและถามว่า “เหล้าหมักสับปะรดของเย่เหลียงอร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “อาจารย์ ทั้งหมดเป็นความผิดของศิษย์ ศิษย์ไม่ควรนำเหล้านี้ออกมาเลย”
ซูเจ๋อยกขึ้นมาจรดริมฝีปากและลองจิบเบาๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่อร่อย”
เขาวางจอกลงและกล่าวอีกว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้โทษเจ้า นางเพียงแต่มีปมในใจ”
“ทำไมท่านอาจารย์ไม่ช่วยพระองค์แก้ปมนี้ล่ะขอรับ” เหลียนชิงโจวถาม
“เมื่อแก้ปมนี้” ซูเจ๋อมองเหล้าที่เหลืออยู่ก้นจอก “ทุกอย่างจะกลับไปสู่จุดเดิม”
เขาไม่ต้องการกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ไม่ต้องการให้เฉินเสียนกลับไปคิดว่าเขาเป็นคนเลวที่มีจุดประสงค์บางอย่าง ไม่ต้องการให้เฉินเสียน… เกลียดเขา ต่อต้านเขาเหมือนดั่งก่อนหน้านั้น
ดังนั้นซูเจ๋อจึงคิดเสมอว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เฉินเสียนสูญเสียความทรงจำ
ลืมเลือนอดีต… และเขาจะวางแผนเพื่อเธอได้อีกครั้ง
บางครั้ง… การอยากอยู่กับใครสักคนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ฟุ้งเฟ้อ
ใจหนึ่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้ชิดเธอ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวที่จะฉีกหน้ากากทั้งหมดและแสดงตัวตนให้เธอเห็น
ซูเจ๋อถามว่า “ชิงโจว การถูกใครสักคนเก็บเรื่องของเราไปคิดใส่ใจ ความรู้สึกมันเป็นเช่นไรหรือ”
เหลียนชิงโจวส่ายศีรษะ “ศิษย์ไม่รู้ขอรับ ศิษย์ยังไม่มีคนเช่นนี้อยู่ในใจ”
ซูเจ๋อยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ารู้แต่ว่ามันรู้สึกเช่นไรเมื่อเราเก็บเรื่องของใครสักคนมาคิดใส่ใจ”
หากตั้งแต่นี้ไปเฉินเสียนคิดถึงเขาแม้เพียงเล็กน้อย แม้ว่าจะมีความขมขื่นที่พูดออกไปไม่ได้ ทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความหวานละมุน
เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนออกไปนานแล้ว เหลียนชิงโจวจึงกล่าวว่า “อาจารย์น่าจะออกไปดูพระองค์สักหน่อยนะขอรับ”
เหลียนชิงโจวพอจะเข้าใจบรรยากาศที่ลึกซึ้งระหว่างเฉินเสียนกับซูเจ๋อที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ และเขายังมองออกอย่างชัดเจนว่าเฉินเสียนไม่ได้ชอบเขา ทว่าเธอชอบ… ซูเจ๋อ
บางครั้งสายตาและการกระทำเพียงเล็กน้อยก็บ่งบอกถึงเบาะแสบางอย่างได้
เฉินเสียนไม่รู้ว่าสายตาที่เธอมองเหลียนชิงโจวกับสายตาที่เธอมองซูเจ๋อนั้นแตกต่างกัน
เวลาที่เธอมองเหลียนชิงโจว เธอไม่มีอะไรต้องปิดบัง สบายใจและผ่อนคลาย แม้แต่ตอนที่เธอเสนอให้เหลียนชิงโจวมาคบหากันเช่นคนรัก ก็ยังดูปกติธรรมดาไม่ต่างอะไรจากการเชิญเขามาทำอาหารด้วยกัน
แต่เมื่อเธอมองซูเจ๋อ สายตาของเธอสะกดกั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
เวลาต่อมาดอกไม้ไฟเริ่มผลิบานบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
เฉินเสียนเงยหน้ามองท้องฟ้า ยากนักที่จะได้เห็นแสงดาวในคืนหนาวเปล่งประกายเคียงคู่กับพระจันทร์ ตามมาด้วยแสงของดอกไม้ไฟที่สว่างวาบขึ้นมา ส่งเสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน
เธอคิดว่าในเมื่อคนทั้งเมืองกำลังเฉลิมฉลองปีใหม่ แล้วทำไมเธอต้องหาเรื่องทุกข์ใจให้ตัวเองด้วย
ด้วยเหตุนี้จิตใจของเฉินเสียนจึงเปิดกว้างขึ้น และความคิดที่ว้าวุ่นเหล่านั้นก็ถูกโยนทิ้งไป
ด้วยเหล้าที่ดื่มเข้าไป เธอรู้สึกว่าวิวทิวทัศน์ในวันมงคลเช่นนี้ช่างงดงาม นอกจากนี้ยังอบอุ่นจนไม่รู้สึกถึงความหนาว เธอถอดเสื้อคลุมออกและหมุนตัวเป็นวงกลมอยู่บนดาดฟ้าเรือ
เธอเห็นชายกระโปรงลอยขึ้นมาขณะที่ก้มลงมอง เฉินเสียนฉีกยิ้มน้อยๆ เธอหรี่ตาไปตามจังหวะในหัวใจ จากนั้นจึงขยับฝีเท้าเต้นรำ
เนื่องจากไม่ได้เต้นรำมานาน ฝีเท้าจึงตกไปเล็กน้อย ทว่าเธอก็ยังจดจำการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ดี
เธอค่อยๆ กระโดดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็คุ้นเคย
ซูเจ๋อเดินออกมาและเห็นเธอหันหลังเต้นรำอย่างคล่องแคล่วอยู่ภายใต้แสงจันทร์และดอกไม้ไฟที่สวยงาม
เธอเต้นรำในแบบพื้นบ้านซึ่งหาดูได้ยากในต้าฉู่ เรือนร่างอันอรชรของสตรี ท่วงท่าที่งดงาม เส้นผมยาวสยายจรดเอวดั่งน้ำตก ลีลาร่ายรำซึ่งสะท้อนความงามของโลกมนุษย์ สวยงามและกินใจเป็นอย่างยิ่ง
แววตาของซูเจ๋อเป็นประกายลึกซึ้ง เขายืนพิงระเบียงและมองดูอยู่นาน
จากนั้นจึงหันกลับเข้าไปในห้องและหยิบกู่เจิงออกมา
ชุดสีดำของเขาสัมผัสกับพื้นเมื่อนั่งลงขัดสมาธิ เขาวางกู่เจิงพาดไว้กับเข่าทั้งสองข้างและใช้นิ้วดีดสายของกู่เจิงเบาๆ เพื่อทดสอบเสียง ซึ่งนั่นทำให้เฉินเสียนตกใจ
เมื่อเฉินเสียนหันกลับมาจึงเห็นว่าเขากำลังก้มศีรษะลงนิดหนึ่ง ในขณะเดียวกันนิ้วเรียวยาวก็กำลังดีดกู่เจิง หลังจากนั้นเสียงโน้ตดนตรีอันไพเราะกินใจก็ถูกส่งออกมาจากปลายนิ้วของเขา
เฉินเสียนหายใจหอบเล็กน้อย เธอรู้สึกหลงใหลกับเสียงกู่เจิงที่ได้ยิน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่เคยได้ยินท่านดีดกู่เจิงมาก่อน ไม่คิดว่าจะเล่นได้ไพเราะขนาดนี้”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่เคยเห็นท่านเต้นรำ หากท่านยังสนใจ ท่านจะเต้นรำอีกก็ได้ และข้าจะมีความสุขไปกับท่าน”
เฉินเสียนค่อยๆ คลี่ยิ้ม “ท่านอยากให้ข้าเต้นรำให้ท่านดูรึ”
เสียงกู่เจิงของซูเจ๋อราวกับมีจิตวิญญาณและเต็มไปด้วยแรงกระตุ้น เขากล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าได้เห็นแล้ว แต่ถ้าท่านอยากจะเต้นรำให้ข้าดู ข้าก็ไม่รังเกียจ”
เฉินเสียนตอบว่า “ข้าจะเต้นรำให้ตัวเองดู”
ภายในใจของเธอเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระ ประหนึ่งว่าเธอมีปีกและกำลังโบยบินไปตามจังหวะการร่ายรำ บินขึ้นไปบนท้องฟ้า คว้าพระจันทร์ เด็ดดวงดาว และกอบดอกไม้ไฟมาไว้ในมือ
เสียงกู่เจิงของซูเจ๋อมีจังหวะที่เนิบช้าและซาบซึ้ง และเธอก็เต้นรำอย่างอ่อนหวานและเศร้าสร้อย
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงสีของดอกไม้ไฟในยามนั้นยังไม่งามเท่าภาพของบุคคลที่สวยที่สุดในโลกในสายตาของเขา
ทันใดนั้นก็มีขนนกลอยลงมาจากฟากฟ้าและตกลงมาบนฝ่ามือของเฉินเสียน
เธอตาพร่าเล็กน้อยในตอนแรก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ซูเจ๋อ หิมะตก”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอมองเห็นรางๆ ว่ามีเกล็ดหิมะตกลงมาพร้อมกับดอกไม้ไฟเย็นๆ เหล่านั้น
มันตกลงมาที่หว่างคิ้ว เส้นผม และแขนเสื้อของเธอ
เธอเอ่ยอย่างชื่นชมว่า “นี่เป็นหิมะแรกของปีนี้ สวยจังเลย… ข้านึกว่าปีนี้จะไม่มีหิมะตกเสียแล้ว”
ซูเจ๋อมองเธอและกล่าวว่า “ใช่ สวยมาก”
โดยไม่ทันรู้ตัว เธอก็อยู่ที่ต้าฉู่แห่งนี้มาหนึ่งปีแล้ว
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในปีนี้ แต่เธอก็ได้รับไมตรีจิตจากคนที่รักและจริงใจกับเธอจากใจจริง
หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่อง เฉินเสียนหันกลับไปมองและเห็นว่ามีหิมะสีขาวตกลงมาบนเสื้อผ้าสีดำของซูเจ๋อ แม้จะอยู่ภายใต้แสงสีแดง ทว่ามันก็ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เฉินเสียนปล่อยให้ตัวเองหมุนตัวอย่างอิสระ เธอสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่าน ทว่ากลับยังไม่รู้สึกหนาว
ปลายนิ้วบนสายกู่เจิงของซูเจ๋อเคลื่อนไหวไป ครู่ต่อมาเสียงกู่เจิงก็เริ่มปั่นป่วน จังหวะของเพลงเร็วขึ้นและสะท้อนขึ้นลงราวกับลูกคลื่น
เฉินเสียนอ่อนไหวต่อเสียงของเพลง เมื่อจังหวะการเต้นรำผสานเข้ากับเสียงของดนตรีแล้ว เธอก็ต้องเต้นรำตามจังหวะ ดังนั้นเธอจึงออกจังหวะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมของเธอปลิวสยาย คิ้วนั้นก็งามดั่งภาพวาด
ไม่นานหลังจากนั้นหิมะก็โปรยปรายลงมาจนพื้นของดาดฟ้าเรือถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว
ในชั่วพริบตานั้น ปลายเท้าของเฉินเสียนลื่นไถลไปกับพื้นและเซถลาไปทางซูเจ๋อ
ขณะที่เฉินเสียนตกลงไปในอ้อมแขนของเขา เขาก็วางนิ้วลงบนสายกู่เจิงอีกแถวหนึ่ง มันแฝงไปด้วยพลังงานที่สมบูรณ์ โน้ตนั้นกระชั้นและเต็มไปด้วยพลัง หลังจากนั้นเสียงเพลงก็หยุดลงอย่างกะทันหัน โลกทั้งใบตกอยู่ในความเงียบและนำฉากจบที่สมบูรณ์แบบมาสู่บทเพลง
เพลงจบลงแล้ว
กู่เจิงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
คอมเม้นต์