ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 198 สุดท้ายก็กอดเขาแน่น
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณาจู่โจมเข้ามา และเฉินเสียนก็แยกไม่ออกว่าเธอมีสติหรือยังเมาอยู่กันแน่
เธอยังคงท่าทางเช่นนี้ไว้และลืมเคลื่อนไหว คิดว่าตัวเองเป็นประหนึ่งตุ๊กตาหิมะ
ทว่าลมหายใจสีขาวที่พ่นออกมาช่วยพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
เธอกับซูเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ เธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาทั้งที่อบอุ่นและเยียบเย็น แต่ไม่มีใครเคลื่อนไหวไปมากกว่านี้
คางของเฉินเสียนวางอยู่บนไหล่ของซูเจ๋อ และเอวของเธอก็ถูกกักอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงค่ำคืนในตรอกเล็กๆ นั้นขึ้นมา ตอนนั้นเขาก็กอดไว้เธอแน่นเช่นนี้
ความจริงเธอก็ยังเหมือนตอนนั้นที่ไม่อยากดิ้นรน… เธอแค่ประหม่า ตกใจจนประหม่า
เฉินเสียนยกมือขึ้นมาและยันไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ
เธอคิดว่าบางทีเธอควรทำเหมือนครั้งที่แล้ว แม้ใจจะสั่นระรัวแต่เธอก็ควรผลักเขาออกไปอย่างไม่ลังเล
แต่เธอก็นิ่งเงียบอยู่นาน อาจเป็นเพราะดื่มมากไป เธอจึงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเธอไม่ต้องการผลักซูเจ๋อออกไป
ความทรมานที่เกิดขึ้นภายในใจทำให้นิ้วของเธอค่อยๆ กำเข้าหากัน
เธอขยับมือไปโอบไว้ที่รอบคอของเขาทีละน้อย นิ้วเรียบกระชับปกคอเสื้อของเขาแน่น และในที่สุดก็กอดเขาไว้
ซูเจ๋อชะงักไปนิดหนึ่ง เขาแปลกใจเล็กน้อย และคลื่นใต้น้ำก็เริ่มปั่นป่วน
เฉินเสียนหลับตาลง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่ตรงต้นคอของเขาและพึมพำว่า “ท่านจงใจเล่นกู่เจิงเร็วเช่นนั้น เพราะอยากทำให้ข้าล้มลงมากอดท่านเช่นนี้ใช่ไหม”
“อาเสียน ข้าเคยบอกไปแล้วว่าเหล้าหมักสับปะรดถึงอย่างไรก็ยังเป็นเหล้า ท่านควรดื่มให้น้อยลง”
เฉินเสียนยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าเมา ท่านไม่จำเป็นต้องจริงจังนัก ข้าเองก็จะไม่จริงจัง เราไม่จำเป็นต้องจริงจัง ท่านเคยบอกว่าถ้าข้าหรือท่านหนาว เราจะกอดกันแบบนี้ก็ได้”
“ข้าเคยพูด”
“ข้ายอมรับว่าอ้อมกอดของท่านทำให้ข้าติดนิดหน่อย” เฉินเสียนบอก “แต่ข้ายังยับยั้งชั่งใจได้”
“ทำไมต้องยับยั้งชั่งใจ”
เฉินเสียนซบศีรษะลงกับบ่ากว้าง เธอสูดดมกลิ่นอายของเขา รู้สึกเหมือนหัวใจถูกเติมเต็มด้วยบางสิ่งบางอย่าง
เธอหัวเราะน้อยๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หวานละมุน “ถ้าไม่รู้ว่าท่านมีเรื่องราวความหลังของท่าน บางทีข้าอาจจะคิดว่าท่านจริงจัง ถ้าท่าน… เป็นแค่คนธรรมดา บางทีข้าอาจจะ…”
ปล่อยให้ตัวเองไปชอบเขา
เพียงแต่เธอพูดออกไปไม่ได้ และไม่รู้ว่าซูเจ๋อจะเข้าใจหรือไม่
ซูเจ๋อเพียงแต่เอ่ยกับเธออย่างแผ่วเบา “ความรู้สึกบางอย่างจำเป็นต้องอดกลั้นไว้ ท่านเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็เช่นกัน… ท่านบอกว่าท่านปฏิบัติต่อข้าเช่นมิตรสหาย หากได้พบท่านบ่อยๆ ข้าก็ยอมรับได้ แต่ตอนนี้ ทำไมท่านจึงต้องหลบหน้าเมื่อท่านเห็นข้า”
“หลบ?” เฉินเสียนเอ่ยอย่างงงงวย “ทำไมข้าต้องหลบหน้าท่าน”
เฉินเสียนค่อยๆ นึกขึ้นมาได้และกล่าวว่า “ท่านหมายถึงคืนที่ข้าไปดื่มกับเฮ่อโยวและหนีไปเมื่อข้าเห็นท่านใช่หรือไม่ ข้ากลัวว่าท่านจะโกรธเหมือนตอนที่ไปหอหมิงเย่ว์ แต่ตอนที่ข้าดื่มกับผู้อื่นข้าก็แค่แสดงเท่านั้น ข้าไม่เคยเมาเลยนะ”
ซูเจ๋อหรี่ตาและถามอีกว่า “แล้วคืนนี้ล่ะ เหตุใดท่านจึงไม่อยากเจอหน้าข้า”
“ซูเจ๋อ หิมะเริ่มตกหนักแล้ว” เธอโอบศีรษะของเขาไว้อย่างคลุมเครือและช่วยปัดหิมะสีขาวที่ติดอยู่บนผมให้เขา
“ใช่ ข้าหนาวมาก”
เฉินเสียนเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ยังลุกไม่ได้”
“เมื่อหนาว ข้าก็แค่ต้องกอดให้แน่นยิ่งขึ้น” ซูเจ๋อกระชับแขนแน่นขึ้น กระชับร่างของเธอเข้ามาแนบไว้กับแผงอกในอ้อมกอดของเขา
กู่เจิงที่อยู่ข้างๆ ค่อนข้างเปราะบาง เกล็ดหิมะที่ตกลงมาบนสายกู่เจิง ไม่นานก็ถูกสายนั้นตัดจนขาดและตกลงไปด้านล่าง เปล่งประกายพร่างพราว
นิ้วของเฉินเสียนลูบไล้อยู่ที่รอยยับบนปกคอเสื้อของเขา เธอกระซิบขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “ได้ยินมาว่าในอดีตท่านใช้วิธีต่างๆ มากมายเพื่อช่วยเหลือข้า มือที่สะอาดของท่านเคยเปื้อนเลือดของผู้คนมามากมาย”
ซูเจ๋อชะงักไป ทันใดนั้นก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “คิดว่าข้าเลวมากหรือ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย เมื่อข้าเข้าไปในวังวันนั้น ข้าอยู่ใต้ต้นหวู่ถงและแอบเห็นบัณฑิตกำลังสอนหนังสือเด็กๆ อยู่ในโรงเรียนไท่ เขาดูเป็นขุนนางที่มือสะอาด แต่เพื่อช่วยข้า เขากลับยอมละทิ้งตัวตนเช่นนั้น”
เนิ่นนานกว่าซูเจ๋อจะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “อาเสียน ท่านรู้หรือไม่ เพียงแค่ได้ท่านกลับคืนมา ข้าก็จะกลับมาเป็นตัวตนที่แท้จริงของข้าได้อีกครั้ง”
เฉินเสียนรู้สึกตื้นตันเล็กน้อย “ลำบากไหม”
“ไม่ใช่ว่าเคยบอกแล้วหรือ ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ข้าลืมไปแล้วว่าความยากลำบากเป็นเช่นไร”
“ถ้าเช่นนั้นการปล่อยให้เจ้ากอดข้ามากกว่านี้ก็คงไม่ผิดอะไร” เฉินเสียนกล่าว “บางครั้งข้าก็อยากจำเรื่องในอดีตให้ได้ อยากรู้ว่าท่านเป็นใครสำหรับข้า อยากรู้ว่าท่านทำอะไรเพื่อข้าไปบ้าง แต่บางครั้งข้าก็ไม่อยากรู้ ข้ากลัว”
คนที่รู้จักกับซูเจ๋อไม่ใช่เธอ
แต่เป็นเฉินเสียนในอดีต
และคนที่เขานึกถึงอยู่ภายในใจมาตลอด แน่นอนว่าไม่ใช่เธอ
เธอไม่เคยมีส่วนร่วมใดๆ เลย นึกๆ แล้วเธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา อีกทั้งยังไม่อยากจะยอมรับ
แต่ซูเจ๋อกลับบอกว่า “ถ้าลืมได้ ก็จงลืมไปตลอดกาล… ข้าไม่ต้องการให้ท่านนึกถึงเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาอีก”
ความเสียใจและคับข้องใจที่มีอยู่เพียงน้อยนิดถูกลบล้างไปจนหมดด้วยคำพูดของซูเจ๋อ
เฉินเสียนยกมุมปากและเอ่ยอย่างไม่คิดอะไรว่า “ไหนๆ ก็ลืมไปแล้ว และถึงอย่างไรเรื่องก็เริ่มต้นที่จวนแม่ทัพ ข้าเฉินเสียนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของข้า เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านในอดีตไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับข้าทั้งสิ้น”
หลังจากนั้นหิมะก็ตกหนักขึ้น ทั้งสองคนตัดสินใจออกไปจากดาดฟ้าเรือและเข้าไปในห้อง
หลังจากผิงไฟอยู่ครู่หนึ่งร่างกายก็อบอุ่นขึ้น ในขณะเดียวกันหิมะข้างนอกก็หยุดตก
เวลานี้ค่อนข้างดึกมากแล้ว เฉินเสียนกับเหลียนชิงโจวตกลงกันว่าจะกลับมาชมเรือลำนี้อีกครั้งในตอนกลางวัน จากนั้นจึงลงจากเรือและกลับไปที่จวน
ผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวต่างแยกย้ายกันกลับไปแล้ว ตอนนี้บนถนนจึงเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
เพียงแต่ว่าทุกครัวเรือนยังคงเต็มไปด้วยความสุขของการเฉลิมฉลอง เสียงของประทัดยังคงดังขึ้นมาไม่ขาดสาย จากทั้งใกล้และไกล
ซูเจ๋อไปส่งเฉินเสียนกลับจวนแม่ทัพตามปกติ
เมื่อเฉินเสียนเหยียบลงไปใบบนชั้นหิมะบางๆ ที่อ่อนนุ่ม เท้าของเธอก็อัดลงไปบนหิมะนั้นและทิ้งรอยเท้าที่ทอดยาวเอาไว้เบื้องหลัง
ซูเจ๋อถือร่มไว้ในมือทว่าไม่ได้กางออก เตรียมไว้เผื่อว่าหิมะจะตกลงมาอีกครั้งระหว่างทาง
บนถนนยังคงมีผู้คนอยู่บางตา ทุกคนต่างเหมือนเฉินเสียนนั่นก็คือกำลังรีบตรงกลับเรือน
“ทำไมท่านต้องไปส่งข้าด้วย ข้ารู้ว่าจะกลับจวนได้อย่างไร” เฉินเสียนเดินไปพลางถามอย่างสบายๆ
ซูเจ๋อตอบว่า “ข้ารู้สึกว่าท่านยังไม่สร่างเมา ข้าไม่ไว้ใจที่จะให้ท่านกลับไปคนเดียว”
เฉินเสียนหันไปมองเขาและยิ้ม “ตอนที่ข้าไม่ได้ดื่มเหล้าท่านก็ไม่ไว้ใจเช่นกัน มีตอนไหนบ้างหรือที่ท่านเคยวางใจ”
ซูเจ๋อทิ้งมือลงมา ชายเสื้อของเขาและเธอสัมผัสกันเบาๆ
ภายหลังเขาจึงกุมมือของเฉินเสียนไว้เงียบๆ และมันรู้สึกเย็นเล็กน้อย
เฉินเสียนดิ้นเล็กน้อย แต่ว่าดิ้นไม่หลุด
ซูเจ๋อเอ่ยกับเธออย่างแผ่วเบาว่า “ต่อแต่นี้ไปท่านไม่จำเป็นต้องหลบหน้าข้า หากท่านยินดีปฏิบัติต่อข้าดั่งมิตรสหายก็จงปฏิบัติต่อข้าอย่างมิตรสหาย ขอเพียงแค่ไม่เป็นศัตรู อะไรก็ย่อมดีทั้งนั้น ต่อให้เป็นเพียงคนแปลกหน้าก็ตาม”
หัวใจของเฉินเสียนไหววูบ
“ท่านรู้จักเฮ่อโยวตั้งแต่เมื่อใดหรือ” ซูเจ๋อถาม
เฉินเสียนเอ่ยว่า “วันนั้นตอนอยู่บนถนนเขามาขอยืมเงินข้าไปที่บ่อนพนันเชียนจิน ต่อมาเขาก็ได้รับเชิญมาที่จวนแม่ทัพในงานฉลองวันเกิดของเจ้าน่องน้อย พอเจอกันบ่อยๆ จึงเริ่มคุ้นเคยกัน”
“คุณชายรองแห่งตระกูลเฮ่อเป็นคนเรียบง่าย นอกจากความดื้อรั้น เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” เขากล่าว
“ท่านคบค้าสมาคมกับเขาได้ บางทีเขาอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต เพียงแต่เมื่ออยู่ข้างนอกท่านจะต้องระมัดระวัง อย่าให้ผู้อื่นเห็นความสนิทสนมของพวกท่าน ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าท่านไปมาหาสู่กับเฮ่อเซียง ซึ่งนั่นจะไม่เป็นผลดีกับทั้งท่านและเขา”
เฉินเสียนพยักหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูเจ๋อก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “คืนนี้ไม่พอใจที่ข้าเข้าไปเกะกะรึ”
คอมเม้นต์