ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 210 แสดงความกตัญญูหน้าโลงศพ
เฮ่อโยวรับไม่ได้กับเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนี้ รู้ทั้งรู้ว่าถูกใส่ร้ายป้ายสี และเหตุการณ์ครั้งนี้ คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็คือเอ้ออี๋เหนียง (อนุภรรยาคนรองของพ่อ) และพี่ชายต่างมารดาของเขา
เฮ่อโยวโกรธแค้นพวกเขาที่ทำท่านย่าตาย จึงชักดาบฟันเอ้ออี๋เหนียง
เฮ่อเซียงที่รักและเคารพเทิดทูนฮูหยินใหญ่มาก เขาโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก จึงเชื่อการให้การของพวกเขา ตัดสินว่าเฮ่อโยวเป็นสาเหตุในการตายของ ฮูหยินใหญ่ และยังเห็นเฮ่อโยวใช้ดาบฟันเอ้ออี๋เหนียงกับตา เขาเองโกรธแค้นเฮ่อโยวอย่างที่สุด จึงทุบตีเฮ่อโยวอย่างรุนแรง แล้วไล่เฮ่อโยวออกจากบ้านไป
ประกาศขั้นเด็ดขาดว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเฮ่อโยวไม่ใช่บุตรชายของเฮ่อเซียงอีก ให้เฮ่อโยวไปอยู่ตามมีตามเกิดข้างนอกด้วยตัวเอง
“เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว?”
“สามวันก่อน”
“งั้นก็แสดงว่าเจ้าร่อนเร่พเนจรตามถนนมาสามวันแล้วอย่างงั้นหรือ?” เฉินเสียนถามต่อไปว่า : “ทำไมเจ้าถึงไม่มาหาข้า?”
เธอคิดภาพไม่ออกเลย เฮ่อโยวคนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด กลับกลายมาเป็นคนร่อนเร่พเนจรนอนตามข้างทางเหมือนขอทานมาสามวันสามคืน
สามวันมานี้เขาไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน ไม่มีอาหาร ทนหนาวสั่นและทนถูกกลั่นแกล้งรังแก
เพื่อนที่เคยคบค้าสมาคมไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือเลยแม้แต่คนเดียว เพียงเพราะว่าเขาถูกขับไล่ออกจากบ้าน และเฮ่อเซียงไม่รับเขาเป็นลูกชายอีกต่อไป
ชีวิตนี้ทั้งชีวิตของเฮ่อโยวคงไม่สามารถลืมความเจ็บปวดนี้ไปได้
เฮ่อโยวพูดขึ้นว่า : “เมื่อก่อนนี้ท่านย่าของข้ารักและเอ็นดูข้าที่สุด ข้ามันเป็นหลานที่อกตัญญู แม้แต่จะจับฆาตกรที่ลงมือฆ่าท่านย่าก็ยังทำไม่ได้”
“ข้ามันไม่เอาไหน ไม่ว่าจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานและเสียใจแค่ไหน ท่านย่าของข้าก็ไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก” เฮ่อโยวน้ำตานองหน้า ขึ้นเหนือลงใต้ ไม่เคยไร้หนทางแบบนี้มาก่อน
“เคยได้ยินท่านพ่อข้าบอกว่า ถึงแม้ท่านจะเป็นองค์หญิง แต่เป็นองค์หญิงของราชวงศ์ที่แล้ว ตัวท่านเองยังจะดูแลไม่ไหว ข้ามาหาท่านแล้วท่านจะทำอะไรได้ ดึงท่านลงเหวไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ?”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ฉะนั้น เจ้าแค่กลัวว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ข้าอย่างงั้นหรือ?”
เธอพูดต่อไปว่า : “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ก่อน แต่ข้าก็จะช่วยเจ้า”
“เพราะอะไร?” เฮ่อโยวถามขึ้นด้วยความสงสัย
เฉินเสียนนึกถึงคนผู้หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า : “เพราะว่ามีคนเคยพูดไว้ ว่าเจ้าเป็นคนจิตใจขาวสะอาด”
อวี้เยี่ยนเตรียมอาหารเข้ามาพอดี หลายวันมานี้เฮ่อโยวไม่ได้กินอาหารเลย เขาจึงกินมันอย่างหิวโหย
อวี้เยี่ยนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า : “คุณชายรอง ทานช้าๆ อย่ารีบเจ้าค่ะ ที่ห้องครัวยังมีอีกเยอะ”
ในวันครบรอบร้อยวันของเจ้าน่องน้อย เฉินเสียนเองก็ได้เจอกับเฮ่อเซียงด้วย เขามีเฮ่อโยวที่เป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียว ถึงแม้ปากเขาจะคอยสอนและดุด่าเสมอ แต่ความจริงแล้วเขาทั้งรักและเอ็นดูเสมอ
สาเหตุการตายของฮูหยินใหญ่ถูกแขวนไว้บนหัวของเฮ่อโยว เฮ่อเซียงเองคงจะถูกบีบจนมาถึงเส้นตาย
เฮ่อเซียงที่รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงแข็งใจขับไล่เฮ่อโยวออกจากบ้านไป
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือต้องรีบไขข้อเข้าใจผิดระหว่างเฮ่อเซียงและเฮ่อโยวให้เร็วที่สุด
เฮ่อโยวดวงตาแดงก่ำ เขาพูดขึ้นว่า : “ข้าและเขาไม่มีอะไรเข้าใจผิดต่อกัน เขาคิดว่าข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านย่าตาย ข้าก็แค่ไม่ต้องเป็นลูกชายของเขาก็เท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงในสายตาของเขา ข้ามันก็เป็นแค่ลูกชายที่ไม่เอาไหน ดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้เขาไม่เว้นแต่ละวัน”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินเสียน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา”
“ตอนที่ท่านไปร่วมไว้อาลัย ข้าอยากให้ท่านพาข้าไปด้วย ข้าอยากไปแสดงความกตัญญูหน้าโลงศพของท่านย่า ข้าจะต้องหาหลักฐานที่พวกมันฆ่าท่านย่าได้อย่างแน่นอน เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของท่านย่าที่อยู่บนฟ้า”
เฮ่อโยวบอกว่า เฮ่อเซียงคงจะไม่ยอมให้เขาเข้าประตูเรือน และยิ่งไปกว่านั้น คงไม่อนุญาตให้เขาได้ส่งดวงวิญญาณของฮูหยินใหญ่อย่างแน่นอน แม้แต่จะดูหน้าสักครั้งก็ไม่ได้
หากเฮ่อโยวอยากกลับไป ก็คงต้องปลอมตัวแล้วให้คนอื่นพากลับไปเท่านั้น
ฮูหยินใหญ่ได้จากโลกนี้ไปสามวันแล้ว สามวันเพียงพอที่จะทำให้จวนสกุลเฮ่อสงบลงมาได้ จากนั้นก็จะแจ้งข่าวคราวการมรณภาพ
เป็นไปตามคาด ไม่นานจวนท่านแม่ทัพก็ได้รับข่าวคราวการมรณภาพ
ฮูหยินใหญ่ของสกุลเฮ่อเดิมทีนั้นเป็นฮูหยินตราตั้ง เฮ่อเซียงเองก็เป็นเสนาบดีที่ศักยภาพและความสามารถเก่งกาจ ฮูหยินใหญ่ได้ล่วงลับไปแล้ว ครอบครัวเหล่าขุนนางจึงควรไปทำความเคารพศพเพื่อร่วมแสดงความเสียใจ
ฉินหรูเหลียงไม่อยู่ เฉินเสียนจึงเป็นคนตัดสินใจแทนทุกอย่าง
เฮ่อโยวอยู่ในจวนของเธอทั้งคน เธอจะไม่ไปร่วมได้อย่างไรกัน
เช้าวันที่สอง สภาวะทางอารมณ์และจิตใจของเฮ่อโยวดีขึ้นมากแล้ว
เฉินเสียนได้ให้พ่อบ้านไปจัดหาเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของบ่าวรับใช้มาให้เฮ่อโยวสวมใส่
ก่อนออกเดินทาง เฉินเสียนได้ถามเฮ่อโยวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ฮูหยินใหญ่ล่วงลับอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เฮ่อโยวรู้เพียงว่าในขณะที่ฮูหยินใหญ่กำลังจะเสียชีวิต ได้กระอักเลือดไม่หยุด ใบหน้าคล้ำเขียว ล้มลงกับพื้นและเสียชีวิตในที่สุด แม้แต่คำพูดสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
ในวันเกิดเหตุ ฮูหยินใหญ่ทานอะไรไป หรือจับต้องอะไรบ้าง เฮ่อโยวเองก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
ตอนนี้หากคิดจะกลับไปหาหลักฐาน เกรงว่าจะยากยิ่งกว่ายากเสียอีก
เมื่อตั้งใจจะทำอะไรทุกอย่างก็ดูยุ่งยากไปหมด ของใช้ทุกอย่างของฮูหยินใหญ่ที่พอจะใช้เป็นหลักฐานได้ถูกนำไปเผาทิ้งอย่างหมดจด
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ฉวยโอกาสครั้งนี้ พยายามสังเกตดูท่านย่าของเจ้าให้มาก บางทีหลักฐานชิ้นสุดท้าย อาจหลงเหลืออยู่บนตัวของท่านย่าของเจ้าก็เป็นได้”
เพียงแต่ว่าฮูหยินใหญ่นอนอยู่ข้างในโลงศพ ผู้คนที่มาทำความเคารพศพเพื่อแสดงความเสียใจนั้นไม่สามารถดูได้ง่ายๆ
เฮ่อโยวพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า : “พวกเขาคงไม่ยอมให้เราเข้าไปดูหรอก”
เฉินเสียนหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ขอแค่ไม่กลัวว่าจะไปรบกวนความสงบของฮูหยินใหญ่ก็พอ มันต้องมีวิธีแน่ ข้าคิดว่า ฮูหยินใหญ่เองก็คงอยากเห็นเจ้าอยู่ดีมีสุข ท่านจึงจะจากไปอย่างสงบได้”
เฮ่อโยวรีบพยักหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไร ขอเพียงแค่ได้เห็นหน้าท่านย่า จับฆาตกรนั่นได้ จะให้ข้าทำอะไรข้าก็ยินดีจะทำหมดทุกอย่าง”
ไม่นาน พ่อบ้านก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เฉินเสียนสวมเสื้อผ้าธรรมดา พาอวี้เยี่ยนและเฮ่อโยวตรงไปยังจวนสกุลเฮ่อ
เฮ่อโยวสวมใส่เสื้อผ้าของบ่าวรับใช้ เขาก้มหน้าเล็กน้อย เดินตามหลังมาพร้อมกับอวี้เยี่ยน เมื่อถึงจวนสกุลเฮ่อแล้ว ก็ไม่ได้ถูกสงสัยแต่อย่างใด
ที่จวนสกุลเฮ่อมีคนออกมาต้อนรับ จากนั้นก็พาเฉินเสียนตรงไปยังโถงไว้ทุกข์
จวนสกุลเฮ่อล้วนสวมชุดขาวโพลนสุดสายตา ผู้คนโศกเศร้าร้องไห้ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ ก็พากันเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียแล้ว
เฮ่อโยวที่เดินตามหลังมา เขาเกร็งมากและพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ เขาก้มหน้าลงต่ำ น้ำตาค่อยๆ ไหลรินอย่างเงียบๆ
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม : “เจ้าเป็นคนของจวนท่านแม่ทัพ ไม่ว่ายังไงก็ต้องอดทนให้ได้ ห้ามร้องไห้ หากมีคนผิดสังเกตขึ้นมาจะจำเจ้าเอาได้”
เฮ่อโยวสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าจะไม่ร้อง”
ขอเพียงแค่เขาได้เข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ ให้เขาได้คำนับท่านย่าบ้าง แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
ห้องโถงไว้ทุกข์ของจวนสกุลเฮ่อเต็มไปด้วยผ้าขาวที่ถูกแขวนไว้สูงลิ่ว เรียบง่ายโอ่อ่าสง่างาม
ภายในห้องโถงทั้งสองฝั่ง ต่างคุกเข่าลงเสมอพื้น คนที่สวมใส่เสื้อไว้ทุกข์ล้วนเป็นคนจวนสกุลเฮ่อทั้งหมด ทุกคนพากันร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียใจ
ผู้คนที่มาเคารพศพเพื่อแสดงความเสียใจไม่ได้มีแค่จวนท่านแม่ทัพเท่านั้น ยังมีเหล่าขุนนางและเจ้าหน้าที่อื่นๆ มาด้วย
เพียงแต่ข้างในนั้น เฉินเสียนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
ท่านแม่ทัพใหญ่ออกรบอยู่ข้างนอก เธอจึงเป็นตัวแทนของจวนท่านแม่ทัพโดยปริยาย
ดังนั้นคนที่เข้าออกในห้องโถงไว้ทุกข์ ก็คือคนที่จะมาร่วมแสดงความเสียใจ เฉินเสียนเป็นหญิง มีผู้ติดตามมาด้วยสองคน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้ามาในห้องโถงไว้ทุกข์ ก็มีคนประกาศขึ้นว่า : “จวนท่านแม่ทัพใหญ่ องค์หญิงจิ้งเสียนมาไว้ทุกข์”
เฉินเสียนค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ เฮ่อโยวและอวี้เยี่ยนพากันก้มหน้าเดินตามหลังมา
เฮ่อโยวเงยหน้าขึ้นมองโลงศพบนแท่นไม่ได้ เขาทำได้แค่อดทนด้วยความทรมานกล้ำกลืนฝืนทน
ด้านข้างมีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามามอบธูปให้เฉินเสียน
กลิ่นธูปบางเบา เฉินเสียนถือธูปโน้มตัวคำนับต่อหน้าโลงศพ
เฮ่อโยวและอวี้เยี่ยนคุกเข่าลง ก้มหน้าคำนับพร้อมกับเฉินเสียน
เฮ่อโยวก้มหน้าลงต่ำ เจ็บปวดจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้
เฉินเสียนโน้มตัวคำนับสามครั้ง เขาจึงได้ทำในสิ่งที่ปรารถนา คำนับให้ท่านย่าสามครั้ง
หลังจากทำความเคารพเสร็จ เจ้าภาพที่ยืนอยู่ด้านข้างห้องโถงไว้ทุกข์ก็โค้งตัวทำความเคารพตอบกลับเฉินเสียน
เฮ่อเซียงและฮูหยินเซียงรู้สึกทนต่อความเศร้าโศกนี้ไม่ไหว ด้วยอายุที่มากและร่างกายที่ชรา จึงให้พี่ชายคนโตของสกุลเฮ่อและฮูหยินรับหน้าที่ในการแสดงความกตัญญูอยู่นี้แทน
พี่ชายต่างมารดาของเฮ่อโยวชื่อ เฮ่อฟั่ง
ในขณะที่กำลังทำความเคารพตอบกลับ เฉินเสียนเห็นเขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
เธอมองเห็นชัดเจนเต็มสองตา เขาคือคนที่ทุบตีเฮ่อโยวปางตายตรงหัวมุมถนนเมื่อวานนี้ไม่ผิดแน่
###ในสมัยราชวงศ์ หมิง และ ชิง ฮูหยิน เป็นตำแหน่งพระราชทานมีตราตั้ง ที่ฮ่องเต้จะพระราชทานให้กับ เอกภริยา ของข้าราชการขั้น หนึ่งหรือสองเท่านั้น (ระดับมหาเสนาบดี)
คอมเม้นต์