ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 234 เขาเหมือนเดินออกมาจากนรก
คิดว่าแรงเหวี่ยงคงจะไม่เบา ได้ยินเสียงของนักฆ่าร้องดังอั้ก จึงสูญเสียการทรงตัวแล้วร่วมลงบนพื้น
เฮ่อโยวและชิงซิ่งอึ้งจนตาค้าง
เฉินเสียนขมวดคิ้วแน่นแววตาเย็นชา พูดขึ้นว่า : “จะรอฟักไข่รึไง ยังไม่รีบหนีเอาชีวิตรอดอีก?!”
ทั้งคู่จึงได้สติขึ้นมา และค่อยพากันวิ่งตามเฉินเสียนไป
ทั้งสามวิ่งพ้นออกจากป่าที่รกร้าง ทางด้านหน้าดูโปร่งและสว่างกว่ามาก บนท้องฟ้ามีพระจันทร์สีนวลลูกใหญ่ ลมภูเขาพัดเย็นชื่นใจ
เพียงแต่ว่าด้านหน้าไม่มีทางจะให้หนีแล้ว
สิ่งที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา คือเนินเขาที่ทอดยาวและสูงชัน ทั้งสามที่หยุดวิ่งไม่ทัน ยังคงวิ่งพุ่งตรงไป
โชคดีที่เฉินเสียนยังมีความหนักแน่นพอ เธอยื่นมือไปจับเฮ่อโยวและชิงซิ่งที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าทัน
เท้าของทั้งสามโผล่ออกไปเกินครึ่งด้วยซ้ำ ก้อนกรวดที่อยู่ด้านหน้าสุดกลิ้งตกลงไป เหงื่อเย็นเฉียบไหลชุ่มทั่วแผ่นหลังด้วยความตกใจ
“ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี?” เฮ่อโยวที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลยสักนิด จึงทำได้แค่ปรึกษาเฉินเสียนเท่านั้น
เมื่อครู่นี้เขาได้เห็นเฉินเสียนจัดการนักฆ่าทั้งสองคนในคราวเดียว เขาทั้งรู้สึกอึ้งและชื่นชมในเวลาเดียวกัน
เธอกลายเป็นหัวโจกของคนทั้งสามโดยปริยายอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินเสียนไม่พูดอะไร สายตาของเธอเด็ดเดี่ยวจ้องมองเข้าไปในป่าที่รกร้างและมืดสนิทนั่น
ด้านหลังไม่มีเหล่าทหารคุ้มกันตามมา ไม่รู้ว่าถูกนักฆ่าสังหารหมดแล้วรึเปล่า
เฉินเสียนรู้สึกถึงอายพิฆาตรุนแรงครอบคลุมไปทั่ว ล้อมรอบพวกเขาทั้งสามคน
จากนั้นนักฆ่าก็ปรากฏตัวออกมาจากป่าทีละคน ปรากฏตัวภายใต้แสงจันทร์สีนวลนั่น บรรยากาศแบบนั้นพลอยทำให้ผู้คนหายใจแทบจะไม่ออก
หัวหน้านักฆ่ายกดาบขึ้นมาชี้ปลายดาบไปที่เฮ่อโยวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเสียน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหยาบกร้าน : “ส่งเขาให้กับข้า แล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าหนึ่งชีวิต”
เฉินเสียนรีบหันไปกระซิบกับเฮ่อโยวที่อยู่ข้างหลังว่า : “ตอนนี้ถ่วงเวลาไว้ก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราค่อยกระโดดลงไป กระโดดลงไปตายยังไงก็ยังดีกว่าถูกพวกมันฆ่าตาย”
เฮ่อโยวจึงพูดกับพวกนักฆ่าว่า : “เจ้าบอกว่าจะไว้ชีวิตพวกนางหนึ่งชีวิต แต่พวกนางมีกันสองคน ไว้แค่หนึ่งชีวิตมันจะไปพอได้ยังไง?”
นักฆ่าที่ไม่ได้มีความอดทนมากพอ เขาค่อยๆ เดินตรงมาข้างหน้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นก็เป็นเพื่อนเจ้าไปเข้าเฝ้ายมบาลทั้งหมดนี่เลยแล้วกัน!”
“ช้าก่อน!” นักฆ่าหยุดเดิน เฮ่อโยวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าสามารถมอบตัวข้าให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของสองคนนี้ได้หรือเปล่า?”
นักฆ่าเหลือบไปมองเฉินเสียนและชิงซิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ได้”
เฮ่อโยวพูดขึ้นต่อว่า : “ข้ามีเพียงแค่คำถามเดียว อยากไขความข้องใจให้กระจ่างก่อนตาย เป็นผู้ใดกันที่มาบงการความเป็นความตายของข้า”
เฉินเสียนนึกในใจ สมองเฮ่อโยวยังไม่พังนี่ ยังรู้จักถามอะไรที่มีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง
แต่ว่าเรื่องแบบนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถามแต่ก็พอจะเดาได้ ว่านักฆ่าคงจะไม่ตอบคำถามของเขา แต่เพราะเขาจะต้องประวิงเวลาให้ได้นานที่สุดต่างหาก
นักฆ่าพูดขึ้นว่า : “คำถามนี้เจ้าเก็บไว้ไปถามท่านยมบาลดีกว่ามั้ง ข้าก็แค่ทำตามคำสั่งจากเบื้องบน นำหัวของเจ้ากลับไปก็เท่านั้น”
เฮ่อโยวที่ตอบกลับไม่ได้ นักฆ่าจึงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เฮ่อโยวจึงรีบพูดขึ้นด้วยความลนลานว่า : “เจ้าจะเอาหัวข้าใช่หรือไม่ แต่ถ้าเจ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ข้าจะไม่ให้หัวข้ากับเจ้าแล้ว ข้าจะกระโดดลงไปจากตรงนี้”
“เจ้าคิดว่าเจ้ากระโดดลงไปแล้วเรื่องมันจะจบอย่างงั้นหรือ? ถึงแม้ว่าเจ้าจะตกลงไปตาย ข้าก็ตัดหัวของเจ้ากลับไปได้อยู่ดี!”
เฮ่อโยวบ่นพึมพำว่า : “เฉินเสียนทำยังไงต่อดี ข้าถ่วงเวลาต่อไม่ไหวแล้ว……”
เฉินเสียนจู่ๆ ก็ชี้ไปที่ในป่า แล้วพูดกับนักฆ่าว่า : “นั่นอะไรน่ะ!”
นักฆ่าเหลือบไปดูอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสียนลงมืออย่างรวดเร็ว ปิ่นปักผมพุ่งตรงออกไปทันที
แต่นักฆ่าไหวตัวทัน ใช้ดาบฟันปิ่นปักผมขาดเป็นสองท่อน ร่วงลงสู่พื้น
เวลานี้ลมบนเขาก็เริ่มพัดโหมกระหน่ำ พัดใบไม้ในป่าเสียดสีกระทบกันจนเกิดเสียงดังซ่า
กลิ่นคาวคลุ้งคลั่งคละคลุ้งไปทั่ว
นักฆ่าฉุนจัดขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินเข้ามา ก็มีดาบเล่มหนึ่งที่ไม่รู้มาจากทิศทางไหนบินทะลุออกมา พุ่งตรงไปที่นักฆ่า
เมื่อนักฆ่าเห็นสถานการณ์แล้ว จึงรีบถอยหลังหลบทันที
ดาบเล่มนั้นปักลงไปที่ที่นักฆ่ายืนอยู่เมื่อครู่นี้พอดี ดาบปักลึกลงไปหลายนิ้ว
อายพิฆาตฟุ้งกระจาย
นักฆ่าคนนั้นรู้สึกคุ้นกับดาบเล่มนี้เป็นอย่างมาก เพราะดาบเล่มนั้นเป็นดาบของพรรคพวกมันเอง
เพียงแต่ว่าดาบเล่มนั้นหักเป็นสองท่อนไปเสียแล้ว บนตัวดาบมีเลือดเป็นจุดๆ ภายใต้แสงสว่างของดวงจันทร์นั่น สะท้อนเงาเข้าไปในดวงตาของผู้คน
อย่าว่าแต่นักฆ่าเลย แม้แต่เฉินเสียนทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงขอบเขาที่สูงชันนั่น ต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวนพอๆ กัน
ชิงซิ่งที่กลั้นไม่อยู่ จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ในใจของเฉินเสียนเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ เธอหันไปมองต้นทางของทิศทางที่ดาบเล่มนั้นบินมา
ในขณะที่ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว ก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เขาเดินออกมาจากความมืดมิดนั่นช้าๆ
ชุดของเขาปลิวไสวลู่ลม ร่างที่สูงโปร่งผอมเพรียว เส้นผมที่สยายประบ่า และดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
ในมือของเขายังมีดาบของนักฆ่าอีกหนึ่งเล่มอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นอาบเลือดของใครต่อใครมาบ้าง เลือดบนดาบนั่นแข็งตัวและเคลือบดาบท่อนบนจนหนา ตัวดาบกลายเป็นสีแดงสด
เขาเหมือนเดินออกมาจากขุมนรก แววตาที่เย็นยะเยือกเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง ทั้งตัวของเขาชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งถูกพัดมาตามกระแสลมแตะจมูกของเฉินเสียน กลบกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาจนมิด
เมื่อเฉินเสียนเห็นแล้ว จิตใจของเธอร้อนรุ่มขึ้นมาทันที
เฮ่อโยวตาค้างไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง และชิงซิ่งเองก็ยืนตัวสั่นเทาข้างๆ
ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง ว่ามหาบัณฑิตผู้ที่ปกติอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง จะมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
ถูกต้อง มองจากด้านข้างแล้วเขาคือซูเจ๋อไม่ผิดแน่
พวกนักฆ่าต่างพากันตื่นตระหนกตกใจ
ก่อนหน้านี้ได้แบ่งกลุ่มนักฆ่าออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปสกัดเหล่าทหารคุ้มกัน ส่วนอีกกลุ่มไปจัดการเป้าหมาย
ส่วนที่เหลือตรงหน้านี้ เป็นเพียงส่วนที่แยกออกจากกลุ่มที่ไปสังหารเหล่าทหารคุ้มกันเท่านั้น และในระหว่างที่พวกนักฆ่ากำลังไล่ตามล่ากลุ่มของเฉินเสียนอยู่นั้น เหล่านักฆ่าอีกกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับซูเจ๋อ
พวกเขามีนักฆ่าเยอะขนาดนั้น ฝีมือการต่อสู้ของแต่ละคนก็ไม่ได้ด้อยเลย และซูเจ๋อเองมีแค่คนเดียวเท่านั้น
จินตนาการไม่ออกเลยว่า ซูเจ๋อคนเดียวจัดการนักฆ่าที่เหลือได้ยังไงกัน ยังมีแรงมาจนถึงที่นี่ได้ แล้วยังสามารถต่อสู้กับนักฆ่ามากมายขนาดนี้
หัวหน้านักฆ่าไม่รีรอ รีบพุ่งตรงมายังทางฝั่งของเฉินเสียน
เวลานั้นเอง เฉินเสียนก็เห็นปลายดาบของนักฆ่าพุ่งตรงมายังเธอ แต่ตัวเธอกลับไม่ได้กลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
อาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของซูเจ๋อ ทำให้เธอเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ไม่รอให้นักฆ่าได้เข้าใกล้เฉินเสียน ทันใดนั้นเอง ลมที่คละคลุ้งกลิ่นคาวก็พัดโชยมา เงาที่ดำมืดสนิทวิ่งผ่านดวงตา ซูเจ๋อก็ปรากฏตัวบังเธออยู่ตรงหน้า
ผมที่ปลิวสยายของเขาพัดสัมผัสใบหน้าของเธอ สัมผัสที่ค่อนข้างเย็น
ในหูของเธอได้ยินเพียงเสียงดาบที่ต่อสู้กระทบกัน ซูเจ๋อยกดาบต่อสู้กลับ เขาทั้งมั่นคงและทรงพลัง
จนเมื่อหัวหน้านักฆ่าเสียหลัก ถูกคมดาบของเขาแทงเข้ากลางลำตัว เลือดที่ขุ่นเข้มพุ่งทะลักออกมากระเด็นโดนใบหน้าของเขา
แววตาของเขานิ่งสงบไม่ไหวติง เขาดึงดาบออกจากตัวของนักฆ่าอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องที่ปกติเสียยิ่งกว่าปกติ
เฮ่อโยวและชิงซิ่งที่อยู่ด้านหลังตกใจจนไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน
ซูเจ๋อเก็บดาบบนพื้นขึ้นมา แล้วส่งให้เฉินเสียน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จับไว้ให้ดี ปกป้องตัวเอง”
นักฆ่าที่อยู่ด้านหน้าพากันวิ่งกรูเข้ามาในคราวเดียว เขายังถามขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “ฆ่าเป็นรึเปล่า?”
เฉินเสียนตอบกลับไปว่า : “เคยฆ่า”
“ระวังตัวด้วย นี่ไม่ใช่โจรภูเขาธรรมดา”
เมื่อคำพูดจบลง ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเฉินเสียนก็ท่วมท้นไปด้วยเงาสะท้อนและเลือดสีสดของดาบนั่น มีซูเจ๋อที่เป็นโล่กำบังให้เธอ ในสนามแห่งการต่อสู้และเข่นฆ่านี้ สกัดกั้นต้านทานทุกภยันตรายให้เธอ
เลือดสาดกระเซ็นลงบนเสื้อผ้าของเขา ซึมซาบจมหายไร้รูปเงา
เขาคนเดียวต่อสู้กับเหล่านักฆ่ามากมายขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถดูแลและปกป้องทุกคนได้
คอมเม้นต์