ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 247 ไยต้องยึดติดเพียงนี้?
ดังคาด เถ้าแก่คิดจะสอบถามให้ละเอียดยิ่งขึ้น เอ่ยด้วยเสียงโศกเศร้า “ใกล้จะเจรจาสงบศึก ทั้งสองแคว้นจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติภาพ ยามนี้เหตุใดท่านแม่ทัพยังต้องยกทัพตีเย่เหลียงอีกเล่า? การแพ้สงครามครั้งก่อนก็ย่ำแย่เต็มทนแล้ว หากเกิดการรบขึ้นมาอีกจริงๆ สองแคว้นยังจะเจรจาให้เกิดสันติภาพได้อีกหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวเสียงเรียบเฉย “ต้าฉู่กับเย่เหลียงจริงใจต่อการเจรจาสันติภาพโดยแท้ ทว่าแม่ทัพจ้าวทำโดยพลการ ได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิแห่งเย่เหลียงเดินทางมาถึงเขตชายแดนแล้ว หากแม่ทัพจ้าวลอบทำร้ายสำเร็จ จะเป็นทางลัดในการพลิกสถานการณ์รบได้เร็วที่สุดเลยทีเดียว”
เถ้าแก่รีบผงกศีรษะกล่าว ” มิสมควรสู้รบกันอีก มิสมควรจริงๆ ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าศึกครั้งนี้จะต้องมีคนตายอีกเท่าไหร่ ใช่ว่าจักรพรรดิเย่เหลียงจะลอบทำร้ายกันได้ง่ายๆ แขกทั้งสองท่านค่อยๆกิน ข้าไม่รบกวนแล้ว”
จากนั้นเฉินเสียนพลันเห็นเถ้าแก่เข้าครัวด้านหลัง ซึ่งเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย
เฉินเสียนคิดจะยกเหล้าหมักสับปะรดที่ยังเต็มขวดขึ้นมา พึ่งจะได้สัมผัสขวดเหล้าพลันถูกซูเจ๋อยกมือรั้งไว้
ซูเจ๋อกล่าว “ดื่มน้อยเสียหน่อย”
เฉินเสียนไม่ได้ยืนกระต่ายขาเดียว เอ่ยว่า “งั้นข้าเอากลับไปให้เฮ่อโยวชิมละกัน”
“ได้”
จวบจนถึงเวลาคิดเงินก็ไม่เห็นเถ้าแก่ปรากฏกาย
ซูเจ๋อวางเงินย่อยไว้บนโต๊ะ พร้อมกับกล่าวว่า “คาดว่าเถ้าแก่คงยุ่งอยู่ ไปกันเถิด”
“ร้านเขาไม่มีแขก จะยุ่งอันใดเล่า?” เฉินเสียนเอ่ยโพล่งออกมา
ซูเจ๋อกล่าว “อาจยุ่งกับการไล่ตีหนูก็เป็นได้”
เดินออกมาได้สักพัก ทันใดนั้นเฉินเสียนเอ่ยเพิ่มว่า “ที่แท้ท่านเตรียมการไว้ล่วงหน้าเช่นนี้นี่เอง ท่านมั่นใจนับหรือว่าจ้าวเทียนฉีจะก่อเหตุลอบทำร้าย?”
“เขาไม่ไปก็สามารถยุแยงเขาได้ หากยุแยงไม่เป็นผล ให้เย่เหลียงระวังเพิ่มขึ้นก็ไม่มีผลเสียอันใด”
เฉินเสียนมองเขาพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านทำเยี่ยงนี้ถือว่าเป็นผู้ขายชาติโดยสมคบกับศัตรูหรือไม่?”
ไม่เคยเล่าอันใดให้เธฮฟังเลย เธอต้องคอยคาดเดาอยู่ร่ำไป เมื่อคาดเดาจนเหนื่อยล้า จึงพลั้งปากถามประโยคนี้ออกมา
ความเสียใจผุดขึ้นมากลางอก อยากเก็บคำพูดกลับมาก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
“ขายชาติ?” ซูเจ๋อกล่าวยิ้มเจือจาง “หากเช่นนี้คือการสมคบคิดกับศัตรูมาทำลายชาติ ใช่ก็ใช่ สุดแล้วแต่ข้าไม่อินังขังขอบ”
ทั้งที่รู้ว่าถามเช่นนี้จะเป็นการทำร้ายจิตใจเขา หากแต่หลังเฉินเสียนได้ยินคำตอบจากเขา เธอยิ่งรู้สึกเสียใจเพิ่มขึ้น
เฉินเสียนกล่าว “ไยท่านต้องยึดติดกับชาติบ้านเมืองในอดีตด้วยเล่า?”
“เพราะมีเพียงหนทางนี้ ท่านกับเจ้าน่องน้อยถึงไม่ถูกผู้อื่นข่มเหงรังแก ข้ายินดีให้พวกท่านรังแกคนใต้หล้าแทน”
หยาดน้ำตาเฉินเสียนคลอเบ้า นัยน์ตาเริ่มแดงก่ำ
พอใกล้กลับถึงจวน ซูเจ๋อกระซิบกระซาบต่อเธอว่า “งานเลี้ยงราตรีคืนนี้ เมื่อท่านพบจ้าวเทียนฉี ท่านยุแยงเขาได้หรือไม่”
เฉินเสียนเอ่ย “ท่านว่าเขาหมายปองข้า เช่นนั้นข้าเป็นผู้ยุให้เขาไปลอบทำร้ายจะเห็นผลดีกว่า”
เธอเดินอยู่เบื้องหน้า ก้าวเข้าประตูธรณีก่อน พลางกล่าวกะทันหันว่า “เห็นที ภายภาคหน้าข้าต้องร่วมทำเรื่องเลวๆกับท่านเสียแล้ว”
“ขออภัยที่ข้าทำให้ท่านลำบากใจ”
“ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าน่องน้อยโดนรังแกในอนาคต ยังมีอีก เพราะเป็นท่าน ซูเจ๋อ”
ซูเจ๋อชะงักค้าง
หลังจากซูเจ๋อกับเฉินเสียนออกมาจากโรงเหล้าขนาดย่อม ไม่นานก็มีหนูหลายตัววิ่งออกจากโรงเหล้าอย่างแตกตื่นและหวาดกลัว
เสมือนถูกเถ้าแก่ไล่ออกมา
หนูวิ่งผ่านถนนโดยเร็วไว จากนั้นก็มุดเข้ารูอันคุ้นเคยอย่างไม่หยุดหย่อน
เหล่าทหารยุ่งกับงานรบ ไม่มีผู้ใดสนใจหนูในเมืองแห่งนี้เลย ขอเพียงหนูพวกนี้ไม่มาเพ่นพ่านต่อหน้าพวกเขา มันก็ไม่มีปัญหาอันใด
หากถูกเหล่าทหารพบเห็น ด้วยความว่องไวของหนู ชั่วพริบตาก็สามารถมุดเข้ารูจนไร้เงาได้แล้ว แม้นทหารคิดจะจับก็ไม่มีทางจับได้
ถึงยามพลบค่ำ หนูก็วิ่งออกมาถึงนอกเมือง ผู้เฝ้ารออยู่หน้าหลุมก็ได้หนูได้คามือ
คนผู้นี้ชำแหละท้องของหนูทีละตัว ซึ่งหาเจอกระดาษใยไหมหนึ่งในท้องของหนูพวกนี้ เมื่อคว้าออกมาได้เสร็จสรรพก็รีบหันกายไปรายงานด้วยสีหน้าจริงจังอย่างเร่งรีบ
เฮ่อโยวร่วมรับประทานอาหารเที่ยงกับแม่ทัพโฮ้วในค่ายทหาร เมื่อเฉินเสียนกับซูเจ๋อกลับมา เขาก็สึกหงุดหงิด เหตุเนื่องจากเฉินเสียนกับซูเจ๋อแอบหนีออกไปโดยไม่พาเขาไปด้วย
เฉินเสียนเข้ามาถึงด้านในจวน เห็นเฮ่อโยวบ่นกระปอดกระแปด จึงส่งเหล้าหมักสับปะรดให้เขาลิ้มลอง พร้อมกับกล่าวว่า “ได้ยินว่าขวดนี้เป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเย่เหลียงเชียวนะ เป็นต้นตำรับขนานแท้ เจ้าลองชิมดู”
เฮ่อโยวพึมพำ “ยังดีที่ท่านรู้จักนำมาฝากข้า ไม่งั้นข้าจะบ่นท่านจนฟ้ามืดครึ้ม”
เมื่อเขาเทออกมาชิมก็ได้รสชาติของความหวานอมเปรี้ยว เจือกลิ่นไอเหล้าแบบฉบับธรรมชาติ ดื่มง่ายยิ่งนัก การดื่มทีละแก้วมันยุ่งยากไป เขาเลยดื่มหมดขวดทีเดียวเสียเลย
เฉินเสียนไม่มองแค่ปราดเดียว คิดจะเตือนเขาว่าเหล้าชนิดนี้แรงมาก อยากให้เขาดื่มแต่พอดีก็สายไปเสียแล้ว บัดนี้เหลือแต่ขวดอันว่างเปล่าเท่านั้น
เฮ่อโยวนอนอยู่ในห้องครึ่งค่อนวัน ขนาดย่างเข้าสู่ช่วงรัตติกาลก็ยังไม่ตื่นเสียที
ยามใกล้เริ่มงานเลี้ยงราตรี เฮ่อโยวก็ยังไม่ยอมตื่น เฉินเสียนกับซูเจ๋อจึงไปร่วมงานกันแค่สองคน
บรรยากาศนอกจวนตึงเครียดเล็กน้อย เพราะมีทหารถืออาวุธเฝ้าอย่างแน่นหนา แต่เมื่อเข้ามาภายในจวนของจ้าวเทียนฉี กลับเป็นภาพละลานตา ให้ความรู้สึกหรรษาในยามเห็นการบรรเลงดนตรีกับการเริงระบำในงาน
พื้นในห้องโถงใหญ่ปูด้วยพรมสีแดงฉาน บนโต๊ะสองข้างทางมีทั้งอาหารเครื่องดื่มและเทียนที่เรียงรายเป็นแถวๆ ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
จ้าวเทียนฉีนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์ของห้องโถงใหญ่ ด้านข้างแขวนชุดเกราะกับกระบี่ประจำกายเขาไว้
ค่ำคืนนี้เฉินเสียนแต่งอาภรณ์อย่างพิถีพิถันด้วยกระโปรงโดยเฉพาะ เกล้าผมอันดำเงางามขึ้น บนเส้นผมแซมด้วยปิ่นหยกขาวที่ซูเจ๋อมอบให้เธอ
นอกนั้นก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรอีกเลย
ทว่าหุ่นอันเพรียวบางของเธอ ถึงแม้จะสวมผ้าเฉกเช่นสามัญชนทั่ว แต่ก็ไม่อาจสยบโฉมงามสะคราญที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู สันติสุข คล้ายกับสามารถโอบเอื้ออารีสรรพสิ่งทั้งหมดได้ แสงเทียนสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาเธอ ยิ่งช่วยให้ดวงตาของนางเป็นประกายดำเงางามกว่าเดิม
รูปโฉมของเฉินเสียน เมื่อมองแวบแรกจะรู้สึกเพียงแค่งามหยดย้อย หากแต่มองเนิ่นนานจะรู้สึกถึงความงามที่ฉาบฉายออกจากภายใน ชวนให้น่าหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
เธอคารวะพอเป็นพิธี ไม่บ่งบอกอารมณ์ทางสีหน้า จากนั้นก็ก้าวไปนั่งประจำที่
จ้าวเทียนฉีเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ในเขตชายแดน หลายปีมานี้ข้างกายมิเคยขาดหญิงงามเลยสักราตรี
กระทั่งสตรีรูปงามกว่าเฉินเสียน เขาก็เคยเชยชม กระเซ้าเย้าแหย่มาแล้ว
เพียงแต่สตรีพวกนั้น บ้างก็ยำเกรงบารมีแม่ทัพใหญ่ของเขา บ้างก็ประจบสอพลอ คอยเยินยออยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่นานความสนใจของเขาก็หมดสิ้น
สตรีอย่างเฉินเสียนที่กล้าหักหน้าเขาอย่างไม่หวาดหวั่น ทั้งยังเป็นสาวงามผู้มีองค์ความรู้ จึงดึงดูดความสนใจจากจ้าวเทียนฉีอย่างล้นหลาม
จ้าวเทียนฉียกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่มคารวะให้เฉินเสียน พลางเอ่ย “ฉินหรูเหลียงมัวแต่ลุ่มหลงนารี มิน่าล่ะ ป่านนี้ยังไม่สันทัดจัดเจนด้านการรบเสียที”
เขาทนงตนว่าแกร่งกล้ากว่าฉินหรูเหลียง สตรีที่เขาหมายปองจำต้องตกอยู่ในเงื้อมมือเขา ส่วนชื่อเสียง คุณงามความดี เขาก็ไม่มีทางปล่อยผ่าน
ซูเจ๋อนั่งโต๊ะถัดจากเฉินเสียน ยามที่เขาไม่ปริปาก ส่งผลให้เขาดุจดั่งผู้ไร้ตัวตน ทางจ้าวเทียนฉีดูแคลนเขา เห็นเขาเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน
จ้าวเทียนฉีเห็นขุนนางฝ่ายพลเรือนอย่างซูเจ๋อ ไม่สมควรแม้แต่ถือรองเท้าให้เขา โครงหน้าซูเจ๋อนับว่าหล่อเหลาคมคาย ทว่านอกเหนือจากนี้ เขาไม่มีอันใดดีเลย ซึ่งเป็นจุดที่จ้าวเทียนฉีดูแคลนมากที่สุด
ซูเจ๋อไม่โต้ตอบและไม่ขัดแย้งอันใด ไม่เอ่ยวาจาที่ไม่จำเป็นเลยสักคำ
นอกจากจ้าวเทียนฉี ห้องโถงใหญ่ยังมีหัวหน้าทหารกับแม่ทัพโฮ้วอยู่ร่วมด้วย
ท่ามกลางบุรุษ เฉินเสียนเป็นสตรีนางเดียวในงาน จึงหนีไม่พ้นที่จะเป็นเป้าสายตา ซึ่งเธอรู้สึกประหม่ายิ่งนัก หากแต่ไม่ได้เผยออกทางใบหน้าเลยสักนิด
คอมเม้นต์