ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 252 แม้แต่ครึ่งก้าวก็ห้ามแยกจาก
จักรพรรดิเย่เหลียงจับไม่ได้ ในทางกลับกันถูกทหารเย่เหลียงตีล้อมพร้อมโจมตี
จ้าวเทียนฉีออกคำสั่งฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ผลที่ได้เย่เหลียงเพิ่มกองกำลังอย่างไม่ขาดสาย เลือดนองทุกหนแห่ง เข่นฆ่ากันหนึ่งวันเต็ม เหล่าทหารของต้าฉู่ที่มาซุ่มโจมตีในยามวิกาลต่างก็ล้มลงไปทีละคน
ท้ายที่สุดจ้าวเทียนฉีไม่สามารถฝ่าวงล้อมออกมาได้ กองกำลังทหารทั้งหมดแพ้ราบคาบ
ทุกอย่างจะจบลงเองเมื่อฟ้าสาง
แต่ฟ้ายังไม่ทันได้สว่าง สีท้องฟ้าด้านนอกยังคงมืดครึ้ม เมืองเสวียนทั้งเมืองก็ตื่นขึ้นมาจากความฝัน
เย่เหลียงปล่อยทหารของต้าฉู่ที่มาซุ่มโจมตีนายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บทั้งตัวกลับมารายงาน
กองกำลังทหารทั้งหมด ถูกเย่เหลียงฆ่ากวาดล้าง
บนเส้นทางด้านนอก ทุกหนทุกแห่งกำลังรวมพลทหาร ผู้คนต่างตื่นตระหนก บรรยากาศหนาวเหน็บ
เฉินเสียนลุกออกมาตอนรุ่งสาง ซูเจ๋อก็กำลังออกมาจากห้องพอดี
ไม่นานพวกเขาก็ได้ทราบเรื่องราวนี้
จู่ๆต้าฉู่ก็สูญเสียแม่ทัพใหญ่หนึ่งนายและรองแม่ทัพอีกจำนวนหนึ่ง ขวัญกองกำลังทหารก็ตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในช่วงเช้า ศีรษะของเหล่ารองแม่ทัพถูกตัดลงมา แต่ละหัวถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง เพื่อยั่วยุและปรามต้าฉู่
เหล่าทหารของต้าฉู่โมโหแต่ไม่กล้าพูด
ณ ตอนนี้เหล่าทหารไม่มีผู้นำทัพ ที่จะบอกเกี่ยวกับการทำสงครามต่อ ตอนนี้ความหยิ่งทะนงตัวของเย่เหลียงเพิ่มมากขึ้น ต่อให้ส่งทหารไปที่สนามรบมากกว่านี้ก็เหมือนส่งไปตายเสียเปล่า
เดิมทีนึกว่าหลังจากที่ทูตมาถึงด่านชายแดนทั้งสองอาณาจักรจะไม่มีสงคราม แต่บัดนี้ต้าฉู่ซุ่มโจมตีในยามวิกาล ทำลายความตั้งใจในการเจรจาสงบศึกก่อน และได้ยั่วโมโหเย่เหลียงไปแล้ว
เย่เหลียงกำลังเสริมความแข็งแกร่งให้ทหารทั้งสามเหล่าทัพ และกำลังจะโจมตีเมืองเสวียนในไม่ช้า
เมืองเสวียนไม่เพียงแต่ต้องรักษาราษฎรไว้ แม้แต่เหล่าทหารเอง ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความอันตราย
แม่ทัพโฮ้วเป็นแม่ทัพที่ผ่านศึกมามากมายในกลุ่มกองกำลังทหาร ไม่เพียงแต่มากประสบการณ์ อีกทั้งชื่อเสียงอำนาจยังมีมากอีกด้วย
ในเวลานี้มีเขาออกมาปลอบขวัญกำลังใจของทหาร รวมพลังกันขึ้นมาใหม่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและจะไม่มีการปัดความรับผิดชอบให้ผู้อื่น
เฮ่อโยวที่ชอบฟังเรื่องแบบนี้พูดขึ้นมา:“ถึงแม้ว่าในเวลานี้การดีใจกับสงครามที่เกิดจะไม่ดีงามนัก แต่ในตอนที่ได้ยินว่าท่านแม่ทัพจ้าวไปไม่กลับนั้น ในใจข้าก็สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย”
เฮ่อโยวค้ำคางไว้แล้วพูด:“ข้านึกว่าเขาต้องการกวาดล้างเย่เหลียงเสียอีก ไม่เจียมตัวเสียเลย ไม่ว่าใครต่างก็ดูถูก ที่แท้ก็เป็นได้แค่นั้น”
พูดแล้วก็หันหน้าไปมองทางเฉินเสียนและซูเจ๋อ “นี่ไม่ใช่ว่าต้องเปิดสงครามอีกงั้นหรือ การมาเจรจาสงบศึกของพวกเรานี่ยังจำเป็นอยู่หรือไม่?”
เฉินเสียนหรี่ตามองท้องฟ้า บนท้องฟ้ามืดครึ้ม วันนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ น่าอึดอัดซะจนทำให้ผู้คนรู้สึกแย่
ไม่รู้ว่าหยาดฝนพอจะตกลงมาได้หรือไม่
เธอพูดกับซูเจ๋อ:“ท่านเคยคิดไหมว่าจ้าวเทียนฉีไปครั้งนี้จะยั่วโมโหเย่เหลียง ส่งผลให้การเจรจาสงบศึกที่ไม่ทันได้เริ่มก็ล้มเหลวเสียแล้ว”
ซูเจ๋อ:“ยั่วโมโหเย่เหลียงได้ก็จริง ส่วนการเจรจาสงบศึกจะล้มเหลวหรือไม่นั้น ยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย ก็ไม่สามารถตัดสินได้”
เฉินเสียนงุ้มปากแล้วพูด:“ดูแล้วท่านคิดมาแล้วว่าขั้นต่อไปควรจะทำอย่างไร ลองพูดดูหน่อยจะเป็นไรไป”
ซูเจ๋อหันข้างไปมองเธอ เหมือนจะหัวเราะแล้วพูด:“มีแค่ช่วงที่ทั้งสองทัพทำสงครามกัน ท่านกับข้าจะไปที่แนวหน้าเพื่อโจมตีทัพหน้า ท่านกลัวหรือไม่?”
เฉินเสียนทำเสียงเหมือนจะไม่เห็นด้วย:“เป็นความคิดที่โง่เขลาเสียจริง”
เฉินเสียนถามต่อ:“ถ้าหากยังมีโอกาสเจรจาสงบศึก ท่านวางแผนว่าจะเจรจากับเย่เหลียงอย่างไร ตอนนี้ก็น่าจะบอกข้าได้แล้วนะ?”
ซูเจ๋อเลิกคิ้วตอบ :“ราชสำนักยินดีให้แค่สามคูเมืองเท่านั้น เช่นนั้นข้าคงได้แค่ใช้เงื่อนไขของสามคูเมืองนี้ไปเจรจา”
“เย่เหลียงเป็นอาณาจักรที่รบชนะ ท่านไปพูดคุยเงื่อนไขกับพวกเขา มันจะเป็นไปได้หรือ?”
“ข้าจะพยายามให้เต็มที่”
ซูเจ๋อพูดเข้าใจง่าย ถึงกับทำให้เฉินเสียนเชื่ออยู่ชั่วขณะ ถ้าหากเป็นคนอื่น ไม่มีทางทำได้แน่;แต่ถ้าเป็นเขา ซูเจ๋อ เช่นนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามคงมีความเป็นไปได้
เฮ่อโยวฟังอยู่ข้างๆอย่างงุนงง:“เช่นนั้นสรุปว่าจะเจรจาหรือว่าไม่เจรจา?”
เฉินเสียน:“เจรจา แน่นอนว่าต้องเจรจา แต่แค่ต้องเสี่ยงไปที่สนามรบ เฮ่อโยวเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
สีหน้าของเฮ่อโยวจริงจังขึ้นมา เลือกใช้เหตุผลพูด:“ช่วงเวลาวุ่นวายแบบนี้ ข้าในฐานะรองท่านทูตที่เคยเจรจามาก่อน ได้เจอกับเหตุการณ์สงครามแบบนี้ แน่นอนว่าข้า……ไม่ไปดีกว่า”
เฉินเสียนหัวเราะ:“ได้ เช่นนั้นพอถึงเวลาเจ้าก็อยู่ในเมือง ถ้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีก็ให้รีบถอยทัพ”
ในคืนวันนั้น แม่ทัพโฮ้วนำกองกำลังทหารมาหนึ่งกอง เพื่อส่งและป้องกันเฉินเสียน ซูเจ๋อและเฮ่อโยวให้ทั้งสามออกจากเมืองเสวียน
ในกรณีที่สงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม่ทัพโฮ้วจะเป็นคนแรกที่ลงสนามรบ พอถึงเวลาอาจจะไม่ได้คำนึงถึงอันตรายหรือความปลอดภัยของพวกเขา
ผลสุดท้ายได้ยินว่าเฉินเสียนและซูเจ๋อจะไปด้วยกัน แม่ทัพโฮ้วก็ยืนหยัดไม่เห็นด้วย
ในสถานการณ์ตอนนี้ มีแค่ต้องให้ทูตไปที่สนามรบ แล้วแสดงความจริงใจ อาจจะยังสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้
เชื่อว่าเย่เหลียงคงไม่อยากจะยืดเยื้อสงครามกับต้าฉู่ กองกำลังของอาณาจักรพวกเขาพึ่งจะฟื้นฟูได้ไม่นาน ยิ่งยืดเวลานานก็ยิ่งไม่ดีต่อพวกเขา
ท้ายที่สุดแล้วมีแต่ได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่าย
อีกอย่างการกวาดล้างทหารม้าของจ้าวเทียนฉีครั้งนี้ เย่เหลียงได้รับข่าวสารมาก่อนถึงได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า เป็นผลให้ไม่ได้รับความเสียหายที่ใหญ่มากนัก
ถ้าหากความจริงใจของต้าฉู่มีพอ ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะได้นั่งเจรจาสงบศึกกัน
แม่ทัพโฮ้ว:“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ใต้เท้าซูท่านไปพร้อมข้า ข้าจะปกป้องท่านใต้เท้าซูอย่างเต็มความสามารถเอง องค์หญิงกับท่านชายเฮ่ออยู่รักษาการณ์ในเมืองนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกำลังจะพูด ซูเจ๋อพูดขึ้นมาพอดี:“เกรงว่าจะมิได้ อาเสียนต้องไปกับข้า”
แม่ทัพโฮ้วเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา ก็เลยไม่ได้ขัดขวางต่อ ถอนหายใจแล้วพูด:“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ขอให้ทุกอย่างราบรื่นนะพ่ะย่ะค่ะ”
วันที่สองกลองรบดังขึ้น
กองกำลังทหารเย่เหลียงใกล้จะมาถึงเมือง
ซูเจ๋อสวมเกราะให้เฉินเสียนอย่างไม่รีบร้อน ผูกให้เธออย่างระมัดระวัง
และตัวเขาเอง ทั้งตัวใส่เพียงชุดดำ เป็นชุดในกลียุค แขนเสื้อทั้งสองยังคงเบาสบาย เคลื่อนที่ได้คล่องแคล่วว่องไว
เส้นผมของเขาดำเหมือนหมึก ม้วนเป็นมวยไว้หลังศีรษะอย่างสง่า ในดวงตาเรียวยาวนั้น แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจน
ท้องฟ้าวันนี้ครึ้มฝนกว่าเมื่อวาน
ท่าทางของเขาสุขุม ไม่รู้สึกถึงความตึงเครียดเรื่องสงครามที่จะเกิดขึ้นจากเขาเลยสักนิด
ซูเจ๋อกำชับเสียงเบา:“พอไปถึงสนามรบ ตามติดข้าไว้ แม้แต่ครึ่งก้าวก็ห้ามแยกจาก”
เฉินเสียนถามขึ้นมา:“ถ้าข้าแยกจากขึ้นมา จะเป็นอย่างไร”
ซูเจ๋อ:“เช่นนั้นข้าก็ต้องลงมือกับศัตรูก่อนแล้วล่ะ”
เฉินเสียนก้มหน้าแล้วหัวเราะออกมา แล้วเปลี่ยนมาถามอย่างจริงจัง:“ทำไมท่านไม่สวมเกราะ?”
ซูเจ๋อ:“ท่านสวมไว้ดีแล้ว”
เกราะนี้เป็นแค่เสื้อนอกเท่านั้น ปกป้องส่วนหน้าและหลังของเฉินเสียน นอกจากนี้ เธอยังสวมชุดกระโปรงแขนกว้าง ยังคงแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม
ซูเจ๋อเห็นปิ่นหยกที่วิจิตรตรงกลางผมของเธอ ยิ้มแล้วพูด:“ปิ่นหยกนี้เหมาะกับท่านมาก”
เฉินเสียน:“อย่างไรก็ตามข้าหยิบมันมาโดยเปล่าประโยชน์ จะไม่สวมก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”
ผ้าไหมสีเขียวที่พันอยู่รอบเอวห้อยลงมา ผืนเล็กๆเหมือนกลุ่มเมฆ ซูเจ๋อยกมือขึ้น ค่อยๆรวบผมที่ตกลงมาไปไว้ที่หลังหูของเธอ
วันนี้เธอไปในฐานะองค์หญิงจิ้งเสียน จำเป็นต้องแต่งหญิง
เพื่อหลีกเลี่ยงคนที่มีเจตนาจะยุยงทั้งสองอาณาจักรให้เกิดความวุ่นวายในเย่เหลียงและส่งผลไม่ดีต่อเธอ เพราะฉะนั้นซูเจ๋อต้องให้เธอสวมเกราะ ที่สำคัญต้องป้องกันอันตรายและดูแลความปลอดภัยของเธอ
ทั้งสองยังไม่ออกมาจากในเรือน เวลานี้ด้านหลังก็มีเสียงประตูเปิด
เฉินเสียนหันไปมอง เห็นว่าเฮ่อโยวก็สวมเกราะอยู่เช่นกัน แล้วเดินออกมาจากในห้อง
เฉินเสียนเหมือนจะขำแต่ก็ไม่ขำ:“ไหนเจ้าบอกจะไม่ไป?”
เฮ่อโยว:“ภายหลังข้ามาคิดดูแล้ว เหมือนว่าตำแหน่งรองท่านทูตของข้า ถ้าไม่ไปคงไม่ค่อยดี”
แม่ทัพโฮ้วนำทางทั้งสามคน ด้านหลังเป็นกองกำลังทหารฉู่ ออกจากเมืองไปรับหน้าศัตรูพร้อมกัน
คอมเม้นต์