ข้าคือหงส์พันปี – บทที่266 นางเป็นภรรยาของข้า
“มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังเป็นห่วงองค์จักรพรรดิอีกหรือ?”เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไรในนี้ดีกว่า แล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น”
ฉินหรูเหลียงขยับปาก ไม่มีคำพูดออกมา ไม่ใช่แค่เขาเป็นห่วงแต่เป็นกังวลว่าองค์จักรพรรดิจะคิดอย่างไร
ตลอดเวลาที่อยู่มาจนถึงตอนเย็น เดิมทีคุกนั้นก็ไม่ค่อยจะสว่างอยู่แล้วก็ยิ่งมืดขึ้นไปอีก มีเพียงเปลวไฟไม่กี่กองที่จุดอยู่ระหว่างทางเดินนั้นอย่างโดดเดี่ยว
เฉินเสียนหิวแล้ว
เธอไม่เพียงแต่จะไม่เห็นอาหารสดใหม่มาส่ง แต่ขนาดข้าวเม็ดเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
ผู้คุมเดินตรวจตรารอบสุดท้าย เห็นทุกคนยังอยู่ในคุก ประตูก็ถูกล๊อกอย่างดี จึงเตรียมเดินกลับไปงีบสักพัก
เฉินเสียนขมวดแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า อาหารหล่ะ?ข้ารอมาจนฟ้ามืดแล้ว ทำไมถึงยังไม่ส่งอาหารมาอีก?”
ผู้คุมพูด “พวกเจ้ามาใหม่ยังไม่เข้าใจกฎระเบียบสินะ วันแรกนั้นจะไม่มีข้าวกิน!”
เฉินเสียนแค่ฟังก็รู้โกรธทันที “ตั้งกฎเกณฑ์ห่วยแตกแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร!”
ฉินหรูเหลียงที่อยู่ห้องข้างๆพูดขึ้นอย่างเงียบๆว่า “ตอนที่ข้ามาก็เป็นแบบนี้”
เฉินเสียนเดินไปยืนอยู่หน้าประตู ผู้คุมเดินออกไปอย่างไม่ทันได้ระวัง
เธอจึงถีบไปที่ประตูคุก ทำให้ประตูเหล็กเกิดเสียงดัง ผู้คุมเลยเกิดความตกใจ
ผู้คุมมีปฎิกิริยาต่อโต้ตอบกลับมา มองเห็นเฉินเสียนที่ไม่มีทางที่จะออกจากประตูคุกได้ จึงพูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า “เจ้าจะรุนแรงไปทำไม ไม่มีก็คือไม่มี! อย่าแม้แต่พูดว่าเจ้าอยากจะกินกับข้าวร้อนๆอาหารร้อนๆ อาหารบูดอาหารเน่าเสียก็ไม่มี! องค์จักรพรรดิมีรับสั่งลงมาแล้ว ให้พวกเจ้าอดข้าวกันไม่กี่วัน!”
สายตาของเฉินเสียนนั้นดูดุร้าย ผู้คุมพูดจบก็เร่งรีบเดินหายไป
เธอที่อยู่ด้านหลังยังพูดต่อว่า “ อย่าวิ่งหนีแบบบ้าคลั่งสิ กลัวว่าข้าจะเล่นงานเจ้านะสิ!”
ซูเจ๋อหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แล้วพูดว่า “อาเสียน เก็บแรงไว้หน่อย”
ครั้งนี้เฉินเสียนอึดอัดแล้วกลับไปนั่งลงที่เดิม เวลานี้สามต่างเงียบสนิทเหลือเพียงเสียงประกายของไฟ
เฉินเสียนจึงเริ่มพูดขึ้นก่อนว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเจรจาสันติภาพเรื่องสามคูเมืองได้ ถ้าเย่เหลียงไม่ทำ เจ้าก็ยังมีวิธีอื่น”
พูดไปก็ชำเลืองมองไปที่ซูเจ๋อ “วาทศิลป์เจ้านั้นก็ดี เกลียดที่จะมีความสุข ไม่รู้วิธีที่จะต่อรอง?”
“เพียงแค่มาทันพูดถึงเงื่อนไข ไม่ใช่ไม่มีโอกาสที่จะเจรจาก็ถูกจับเสียก่อน” ซูเจ๋อพูด “เพียงแต่คนที่แค้นเคืองข้ายังดำเนินการอยู่”
เฉินเสียนเหลือบตามองบน “เจ้าหมายความว่าถ้าเจ้าทำให้พวกเขาทั้งหมดหลั่งน้ำตา ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสถานณ์ตอนนี้ของพวกเราได้”
เธอถามกลับซูเจ๋อ “แล้วตอนนี้พวกเราต้องทำอย่างไร?”
“รอ”
ภายนอกท้องฟ้าค่อยๆมืดสนิท ภายในคุกก็ยิ่งหนาว
เฉินเสียนนั้นสวมเสื้อของซูเจ๋อไว้อีกชั้นหนึ่ง ก็ยังไม่สามารถต้านทานความหนาวเหน็บนั้นได้
สภาพแวดล้อมเช่นนี้ฉินหรูเหลียงนั้นรู้สึกคุ้นเคยตั้งทีแรกแล้ว ซูเจ๋อเป็นคนมีวรยุทธ์ที่มั่นคงสามารถต้านทานกับความหนาวเหน็บได้ มีเพียงเฉินเสียนที่แม้แต่สวมเสื้ออย่างรัดแน่นแล้วยังไม่สามารถต้านทานความหนาวยะเยือกได้
แต่ก่อนเฉินเสียนก็ไม่ใช่คนที่กลัวหนาว เพียงแค่ลุกเดินลุกวิ่งเธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นแล้ว
อย่างไรก็ตามคืนนี้ไม่มีข้าวกิน เธอเดินไปเดินมาก็คงจะเสียแรง วิ่งก็คงจะวิ่งไม่ไหว
ในคุกที่มืดครึ้มและหนาวเย็นนั้นไม่ให้ข้าวกิน นี่มันเป็นการทรมานร่างกายคนกันชัดๆ!
ซูเจ๋อถามเฉินเสียนอย่างรอบคอบว่า “ขยับเข้ามาใกล้ๆ อยู่ใกล้ๆข้าอาจจะทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง”
เฉินเสียนขยับเข้าไปใกล้ ค่อยๆเอาหัวเอียงซบไปที่ไหล่ของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อจึงยืนมือไปโอบเอวด้านหลัง โอบกอดเฉินเสียนไว้แน่น คิดที่จะใช้ตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่นแก่นาง
เฉินเสียนหลับตาลง ประหนึ่งคล้ายกับอยู่บนตัวของซูเจ๋อ ทำให้ไม่ได้หนาวมากมายก็เพียงพอแล้ว
ฉินหรูเหลียงพูด “เจ้าไม่ควรเข้าใกล้เธอ”
ซูเจ๋อเพียงแค่ยกตัวขึ้นเบาๆแล้วพูดว่า “หรือว่าจะให้เธอหนาวตายกัน”
เฉินเสียนหลับตา รอสักครู่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับของฉินหรูเหลียง
เธอหนาวจริงๆ นอกจากที่จะพึ่งพิงความอบอุ่นของซูเจ๋อนั้น ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
ถ้าในเวลาเมื่อก่อน ซูเจ๋อไม่สามารถบอกให้ฉินหรูเหลียงรู้ว่าพวกเขานั้นคบหากันได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกัน เฉินเสียนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันมากมาย จากนั้นจึงค่อยๆเข้าสู่ห้วงความฝัน
ตอนที่เธอเข้ามาในคุกนั้นอดไม่ได้ที่จะมองไปทางฉินหรูเหลียง มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้
ทั้งสงสารเวทนา ทั้งโกรธเกลียด
เธอไม่รู้ว่าในความสงสารเวทนากับความโกรธเกลียดนั้น มีเท่ากับเมื่อก่อนตอนที่เฉินเสียนผู้โง่เขลารักฉินหรูเหลียงนั้นอยู่เท่าไหร
แต่สำหรับตัวเธอนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความสัมพันธ์แบบคู่สามีภรรยากับฉินหรูเหลียง อีกอย่างเธอไม่อยากจะเห็นเขาล้มลงโดยไม่มีพลังในการต่อสู้ต่อไป
เธอยังพอมีภาพความทรงจำได้เลือนรางว่า เมื่อตอนที่ผลแอพริคอตสีเหลือง แสงอาทิตย์ส่องแสงทอดผ่านใบไม้ลงมา ใบหน้าคิ้วเข้มตาโตของเด็กชายที่ได้ปีนขึ้นไปกิ่งที่สูงที่สุดของต้นนั้นอย่างมีความสุข เพื่อเด็ดผลแอพริคอตที่หวานที่สุดให้แก่เธอ
แสงอาทิตย์ส่องบนใบหน้าของเด็กชาย เทียบไม่ได้กับราศีในตาของเขาที่เปล่งประกาย
เขากระโดลงมาจากต้นไม้ ปัดเสื้อที่เต็มไปด้วยใบไม้ออก แล้วยื่นผลแอพริคอตให้เธอ แล้วพูดว่า “เสี่ยวเสียน ข้าให้เจ้า”
จิตใต้สำนึกของเฉินเสียนปฏิเสธอย่างฉลับพลัน นั้นไม่ใช่ความทรงจำของเธอ แต่มันคือความทรงจำเดิมของเฉินเสียน
ดังนั้นแม้ว่าเธอหลับ แต่คิ้วของเธอค่อยๆขมวดเข้าหากัน ยิ่งหนักขึ้น
ซูเจ๋อก้มมองเห็น จึงนำนิ้วค่อยๆไปคลายคิ้วของเฉินเสียนพูดอย่างอบอุ่นว่า “ฝันร้ายใช่หรือไม่”
เฉินเสียนกำลังตกอยู่ในห้วงความฝันไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
ฉินหรูเหลียงพูดด้วยเสียงต่ำแหบแห้งว่า “เจ้าห้ามแตะต้องนาง”
ซูเจ๋อจึงหยุดขยับนิ้วไปพักหนึ่ง แล้วจึงลูบคิ้วที่ขมวดของเธอให้คลายต่อเหมือนอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินหรูเหลียงยังคงพูดต่อ “นางเป็นภรรยาของข้า”
ซูเจ๋อตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “เมื่อก่อนท่านไม่เคยยกย่องนางให้เป็นภรรยาของท่าน ต่อจากนี้จะไม่มีความโชคดีอีกแล้ว ถ้าหากเธอเคยได้รับการปฏิบัติที่ดีจากท่าน จะเป็นแบบตอนนี้ได้อย่างไรกัน ”
ซูเจ๋อพูด “เมื่อก่อนเป็นข้าที่มอบนางให้ไปอยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ควรพานางเดินออกไป บนโลกนี้ คนที่ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสามีของนางได้ นั่นคือเจ้า”
ฉินหรูเหลียงรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก
ถ้ารู้ว่าเขาจะติดอยู่ในนั้น ยังจะทำร้ายเธอแบบตอนแรกหรือไม่?
เวลาที่เขาได้ครอบครองนั้นไม่เคยได้ทะนุถนอมและเห็นคุณค่าของนางเลย รอจนกระทั่งเวลาที่เขาค้นพบว่ามีผู้หญิงแบบนี้อยู่ในครอบครอง เขากลับเสียเธอไปแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวทมนตร์ภายใต้นิ้วของซูเจ๋อเป็นเหตุ ทำให้คิ้วของเฉินเสียนไม่ขมวดเข้าหากันแล้ว
พริบตาเดียว เธอพบว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่ในห้องเรียน กำลังนั่งอ่านออกเสียงกับทุกคนอยู่
จากนั้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งดวงตาใสแจ๋วเป็นประกายเดินเข้ามาตรงหน้าเธออย่างประหม่า ทำความเคารพเธอด้วยมารยาทที่นุ่มนวล ใช้เสียงเด็กที่อ่อนนุ่มพูดกับเธอว่า “องค์หญิง ข้าชื่อหลิ่วเชียนเสวี่ย”
เฉินเสียนกึ่งหลับกึ่งตื่น
เฉินเสียนเกือบจะรู้สึกตัว ความฝันก็เกิดขึ้นกลับมาใหม่
เธอกับเด็กชายมองหน้ากันด้วยสายตาที่เย็นชา ทะเลาะกันอย่างเสียงดัง
เธอที่ดื้นรั้นจึงหันตัวกลับก่อน เพื่อไม่ให้เขาได้เห็นอีกด้านที่อ่อนแอของตัวเองอย่างเด็ดขาด
แต่ว่าเธอหยุดเดินแล้วอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง เด็กชายคนที่ติดตามข้างกายเธอมาโดยตลอดไม่ได้หยุดเพื่อเธอ เธอมองเห็นภาพด้านหลังเขาไกลๆ ข้างกายของเขานั้นคือหลิ่วเชียนเสวี่ยเด็กหญิงตาโตใสเป็นประกายที่ยืนร้องไห้อยู่
เด็กชายบอกว่าเธอคือองค์หญิง เธอมักมีคนรายล้อมอยู่รอบกาย แต่หลิ่วเชียนเสวี่ยนั้นอยู่เพียงคนเดียว
เด็กชายบอกว่าเธอเลือดเย็น รังแกผู้อื่น เจ้าเล่ห์ขี้โกงไม่มีเหตุผล ชอบสั่งการหยิ่งยะโสถือตัว
อื่นๆอีกมากมายที่เมื่อก่อนเขาเคยชิน
ถ้าเธอเลือดเย็นจริง แล้วทำไมถึงได้ยืนอยู่ที่เดิมมองภาพด้านหลังของเด็กชายน้อยคนนั้น แล้วดึงแขนเสื้อขึ้นมาร้องไห้สะอึกสะอื้นเช็ดน้ำตาหล่ะ
จริงๆแล้วเธอไม่ได้เลว เธอเพียงแค่ดื้อรั้นถือทิฐิก็เท่านั้น
คอมเม้นต์