ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 269 เจ้าขอร้องเพื่อความรักขององค์หญิง?
องค์จักรพรรดิประหลาดใจนิดหน่อย จากนั้นก็รู้สึกน่าขันขึ้นทันที “เจ้าจริงใจที่จะเสนอความคิดเห็นให้แก่เย่เหลียงของข้า?”
คืนที่เจรจากันนั้น องค์จักพรรดิเย่เหลียงจะไม่ชื่นชมซูเจ๋อก็ไม่ได้
เขาเป็นคนที่ปกติเหมือนไม่เผยให้เห็นความสามารถ แต่ภายในใจของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยดอกไม้ หิมะและดวงจันทร์ แต่เป็นภูเขาและแม่น้ำ
ตอนแรกขุนนางของเย่เหลียงนั้นดูถูกซูเจ๋อ แม้แต่เหล้าก็ดื่มไม่เป็น คิดว่าต้าฉู่คงส่งคนที่ไม่มีประโยชน์มา
แต่มันไม่ใช่
เขาเพียงผู้เดียวนั้นเก่งกว่าเหล่าขุนนางพวกนั้นเสียอีก
สุขุมใจเย็น สงบนิ่งเพื่อรอโอกาส เขากำหนดวางแผนไว้ทุกอย่าง เข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้ ดังนั้นจึงรอจังหวะโอกาสที่เหมาะสมเพื่อเรียกคืนสถานการณ์ ทำให้สถานการณ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อตัวเขา
เขาน่าจะควบคุมดำเนินการกองกำลังทหารในเขตใต้ของต้าฉู่อยู่แล้ว
ต่อสู้กับคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าเหมือนกับจ้าวเทียนฉีที่มีความฮึกเหิมกล้าหาญคนนั้น ก็ยิ่งจัดการได้ดี
ซูเจ๋อ เขาเหมือนกับหัวหมาป่าที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเพื่อวางแผนทุกอย่าง
แต่ทว่าคนแบบนี้ ทำเพียงเพื่อวางแผนให้องค์หญิงของราชวงค์ก่อน แต่ตัวเขาไม่มีความทะเยอทะยานให้ตัวเองเลยแม้แต่นิด พูดแล้วองค์จักรพรรดิเย่เหลียงก็ไม่ค่อยจะเชื่อ
ซูเจ๋อยิ้ม “โดยปกติแล้วก็ไม่ได้เสนอความคิดเห็นให้เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูด เจ้ามีเงื่อนไขอะไร”
“หลิ่วเฉียนเฮ้อ”
องค์จักรพรรดิเข้าใจทันที แล้วพูดว่า“ข้าได้ยินแม่ทัพของข้าพูดว่า เขาคือนักโทษที่หนีออกจากต้าฉู่ ในค่ายทหารนั้นเขายังมีใจคิดที่จะฆ่าเจ้ากับองค์หญิงจิ้งเสียน”
ซูเจ๋อพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ข้ากระหม่อมซูกับเขาเคยมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ตอนนี้เขาเป็นนายทหารของเย่เหลียง เป็นนายทหารที่ไม่ธรรมดา ทำคุณประโยชน์ให้แก่เย่เหลียงของข้าไม่น้อย อยากให้ข้ามอบเขาให้กับเจ้า ข้ายังรู้สึกทำใจไม่ค่อยได้ ”
จักรพรรดิเย่เหลียงว่าหลิ่วเฉียนเฮ้อนั้นเป็นทหารที่มีความสามารถ แม้จะนำเขาไปขังคุกไว้ตลอด แต่ก็ไม่เคยมีรับสั่งที่จะลงโทษเขาเลย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ไม่เคยคิดจะส่งหลิ่วเฉียนเฮ้อให้กับต้าฉู่เพื่อที่จะลงโทษ
องค์จักรพรรดิรู้สึกเสียดาย คนที่ต้าฉู่ไม่ต้องการ เย่เหลียงของเขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้ ดังนั้นเดิมทีเขาตั้งใจรอให้ซูเจ๋อกับเฉินเสียนออกจากเย่เหลียงก่อน แล้วจึงค่อยปล่อยตัวหลิ่วเฉียนเฮ้อไป
ซูเจ๋อพูดอย่างนัยแฝงอย่างลึกซึ้ง“ฝ่าบาทบอกว่าเขาสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ รู้ถึงเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของต้าฉู่ใช่หรือไม่?บนโลกนี้มีไม่กี่คนที่สามารถรู้ล่วงเรื่องล่วงได้”
องค์จักรพรรดิกระตุกคิ้ว แล้วพูดว่า “เจ้าพูดว่าเขามีใส้ศึกอยู่ในต้าฉู่?อย่างนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าก็เป็นที่มีความสามารถ ถ้าเกิดเขาไม่มีทางที่จะรู้ล่วงหน้าได้ แต่ในการเคลื่อนกองทัพทหาร นั้นได้วางกลยุทธ์ทิศทางการเดินได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นมันก็คุ้มค่าที่ข้าจะชื่นชม ”
ซูเจ๋อขยับริมฝีปาก “กลยุทธ์ที่มหัศจรรย์ ในเมืองต้องมีคนที่เป็นหูเป็นตาให้กับเขาอย่างแน่นอน เท่าที่ข้ากระหม่อมรู้ กลยุทธ์ของเขานั้นเขาไม่ได้เป็นคนคิด แต่มีผู้เชี่ยวชาญเป็นคนชี้แนะให้เขา”
“แล้วผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเป็นใคร?”
“ข้ากระหม่อมซูไม่สามารถรู้ได้”
องค์จักรพรรดิกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ ยิ้มเย็นแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อเขาไม่ประโยชน์อะไร ทำไมเจ้าถึงอยากจะแลกเขากลับไป?หรือว่าเขาคือนักโทษของต้าฉู่?เจ้าเป็นคนจัดการเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ยังต้องมาคิดเรื่องเล็กๆน้อยของนักโทษที่หลบหนีอีก”
ซูเจ๋อพูด “เรื่องบาดหมางนั้นรองลงมา สำคัญคือความสุขขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิประหลาดใจมากจึงพูดว่า “เจ้าขอร้องเพื่อความรักขององค์หญิงจิ้งเสียน?”
ซูเจ๋อพูดเพียง “ถ้าฝ่าบาทไม่ยินยอมแลก ข้ากระหม่อมซูก็พูดไปตามวิธีเท่านั้น ไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร ขอเพียงหลิ่วเฉียนเฮ้อจะคุ้มค่ากับการเกื้อหนุนในอีกสิบปีข้างหน้าของเย่เหลียงนะพ่ะย่ะค่ะ”
แค่คนคนเดียว เมื่อเทียบกับยุทธศาสตร์สำคัญของปะเทศชาติแล้วนั้น แน่นอนว่ามันไม่สำคัญ
เมื่อเห็นซูเจ๋อกำลังจะขอถอนตัว ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเย่เหลียงจะรู้ว่าเขาถอนเพื่อที่จะเข้าใกล้ แต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายก็ไม่ได้ จึงพูดว่า“เจ้าไม่พูดกับข้าก่อน ถ้ามันเป็นกลยุทธ์ที่ดี ข้ายกหลิ่วเฉียนเฮ้อให้กับเจ้าก็ไม่เป็นไร”
ซูเจ๋อยิ้มอย่างไม่เป็นพิษเป็นภัย แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อหลังจากต้าฉู่สงบลง ฝ่าบาทส่งพระราชบุตรเพื่อไปต้าฉู่เป็นพระสวามี”
องค์จักพรรดิเย่เหลียงแค่ฟังก็รู้โกรธ “นี่เจ้ากำลังหมิ่นประมาทข้าใช่รึไม่ ให้พระราชบุตรของข้าไปเป็นพระสวามี มันจะต่างจากผู้หญิงที่ไปเป็นนางสนมได้อย่างไร!”
ซูเจ๋อพูดเบาๆว่า “ในความเป็นจริง ต้าฉู่ไม่สามารถที่ให้ผู้หญิงคนเดียวตัดสินใจได้ตลอด หลังจากองค์หญิงจิ้งเสียน ในอนาคตใครจะเป็นคนที่ควบคุมดูแลอำนาจการเมืองของต้าฉู่ นั่นยังไม่แน่นอน”
จักรพรรดิเย่เหลียงใจเย็นขึ้นทันที“คำพูดเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซูเจ๋อพูด “ถ้าเกิดองค์หญิงจิ้งเสียนกับพระราชสวามีให้กำเนิดพระราชบุตรชาย ก็สามารถจะควบคุมดูแลต้าฉู่ได้ นั่นหมายถึงไม่ต้องมีการสูญเสียเลือดเนื้อกำลังพลทหารของเย่เหลียงเลยแม้แต่นิด ”
จักรพรรดิเย่เหลียงเหมือนได้ฟังความคิดเห็นที่เฉียบขาด แต่ปากยังคงพูดต่อว่า “วางแผนเหมือนเจ้า ฉลาดเหมือนองค์หญิงจิ้งเสียน พระราชบุตรที่เกิดจากพระสวามีของเย่เหลียงจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากต้าฉู่?”
“คนที่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์จากต้าฉู้ได้นั้น ต้องไม่ใช่พระราชบุตรที่เกิดจากพระราชสวามีจากประชาชนคนธรรมดา ไม่ใช่แค่ความสำคัญของสายเลือด แต่ยังต้องการการสนับสนุนและพึ่งพาอาศัยจากราชวงค์ของเสด็จพ่ออีกด้วย”
คำพูดของซูเจ๋อนั้นดูมีเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นได้โดยตรง ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันขึ้นอยู่กับการคัดเลือก
คัดเลือกดี ข้อเสียก็สามารถกลายเป็นประโยชน์ได้ คัดเลือกไม่ดี ข้อดีก็สามารถกลายเป็นภัยได้
ถ้าเกิดจักรพรรดิเย่เหลียงได้ตัดสินใจรับข้อเสนอนี้ นั่นก็เท่าว่าเขาต้องช่วยเหลือองค์หญิงจิ้งเสียน
เมื่อองค์หญิงจิ้งเสียนทำภาระกิจอันยิ่งใหญ่สำเร็จ เย่เหลียงค่อยส่งตัวพระราชบุตรไปต้าฉู่เพื่อเป็นพระสวามี เพียงแค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ในอนาคตพระราชบุตรที่กำเนิดขึ้นมาก็คือพระราชนัดดาของเย่เหลียง!
ไม่ต้องสูญเสียเวลาในการวางแผน เพียงแค่ใช้สายเลือดก็สามารถทำได้แล้ว!
องค์หญิงจิ้งเสียนเป็นเพียงผู้หญิง นางก็ต้องให้กำเนิดบุตรชาย
แม้ว่าตำแหน่งพระสวามีจะไม่ค่อยมีเกียรติยศ เพียงแต่อดทนรอเวลา เมื่อได้ให้กำเนิดพระราชบุตรแล้ว ในอนาคตพระสวามีก็จะกลายเป็นพระบิดาของจักรพรรดิองค์ใหม่ของต้าฉู่
โลกหล้าก็ยังคงให้ความเคารพกับผู้ชาย!
ต้องบอกว่า ซูเจ๋อเสนอความคิดเห็นที่ดีมากให้กับองค์จักพรรดิเย่เหลียง
จักรพรรดิยอมรับความคิดเห็นของซูเจ๋อ แล้วพูดว่า “หลิ่วเฉียนเฮ้อให้เจ้าจัดการได้ตามสบาย”
อยากวางแผนก็ต้องวางแผนอนาคต แต่ไม่ใช่ถูกจำกัดผลประโยชน์ในทันที
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เมื่อออกจากท้องพระโรงใหญ่ สายลมพัดเข้ามา พัดโคมไฟที่อยู่ระหว่างทางเดินแตกกระจายทำให้มองไม่ชัดเจน
สายลมยามค่ำคืนพัดเสื้อของซูเจ๋อแกว่งไปมา
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นเฉินเสียนที่กำลังยืนรออยู่ไม่ไกล จึงเดินลงบันไดไปทางเธอ
“ทำไมถึงไม่รีบไปพักผ่อน?”
“ข้ากลัวว่าองค์จักรพรรดิจะทำเจ้าอึดอัดใจ”
ซูเจ๋อก้มหน้าลงไปดึงมือเฉินเสียนขึ้นมา แล้วกุมมือเอาไว้อย่างช้าๆ “หนาวหรือไม่?”
เฉินเสียนหัวเราะ อยากจะดึงมือกลับแต่ก็ไม่ทำ แล้วพูดว่า “เดิมทีอากาศนั้นร้อนมาก ถามข้าว่าหนาวหรือไม่ มันมีอะไรแปลกๆนะ แต่ว่าข้างนอกนั้นลมแรงจริงๆ นี่มันต่อหน้าท้องพระโรงของจักรพรรดิ เจ้ารีบปล่อยมือข้าเร็ว”
ซูเจ๋อไม่ยอมปล่อยมือ ท่ามกลางสายลมเย็นและแสงสว่างของดวงจันทร์ยังคงจับมือของเธอเดินไปข้างหน้า แขนเสื้อลอยพริ้วไปมา นิ้วเรียวยาวของเขาจับเธอไว้อย่างแน่น แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “ไม่เป็นไร ช่วงเวลานี้ ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว”
แสงสีในยามราตรีข้างหน้านั้นราวกับภาพวาดทิวทัศน์ด้วยน้ำหมึก
เฉินเสียนถูกซูเจ๋อจูงมือ เพียงแค่เดินทางไปข้างหน้ากับเขา เธอไม่จำเป็นต้องมองทางเดินให้ชัด เพราะว่าซูเจ๋อนั้นเปรียบเสมือนเป็นที่พึงพิงของเธอ
มีคนให้ได้พิงพึงมันเป็นความรู้สึก…… ที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่กลัวที่จะล้มลง
เฉินเสียนงอนิ้วมือ รู้สึกเหนียมอายอยากจะพลิกมือไปกุมมือเขาเอาไว้ แล้วถามว่า“เจ้าอยู่ในนั้นตั้งนาน พวกเจ้าคุยอะไรกัน?”
ซูเจ๋อพูด“ข้าพูดอบรมสั่งสอนเขานิดหน่อย”
“เจ้าอบรมสั่งสอนเขา?”เฉินเสียนหรี่ตามองแล้วหัวเราะขึ้น“แล้วเจ้าสั่งสอนว่าอย่างไร?”
คอมเม้นต์