ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 285 ท่าทางลุกลน
เสียงอบอุ่นของซูเจ๋อลอยมาเข้าหูเธอ “ไม่รู้ควรเขียนอย่างไรหรือ? ข้าสอนท่านเอง”
เมื่อยามซูเจ๋อหายใจเฉินเสียนรู้สึกถึงความอุ่นในใบหู
ก่อนเขาจะเขียนแต่ละประโยค เขาจะอ่านบอกให้เธอทราบก่อนเสมอ
ลายมือเฉินเสียนที่ไม่ค่อยสวยเท่าใดนัก เมื่อมีซูเจ๋อค่อยจับเขียนก็กลับกลายเป็นอักษรงดงามเสียอย่างนั้น
เปลวแสงเทียนบนโต๊ะพลิ้วไหว ส่งแสงประกายสะท้อนเงาของทั้งสองไว้ที่กำแพงห้อง
หลังเขียนจดหมายถึงเป่ยเซี่ยเสร็จ ซูเจ๋อคิดรอบคอบมาก ให้เฉินเสียนส่งจดหมายไปยังแม่ทัพโอ้วในเขตชายแดนอีกหนึ่งฉบับ เพื่อพวกเขาจะได้วางใจ
พอเขียนตัวสุดท้ายเเรียบร้อย เฉินเสียนพลางถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“พอน้ำหมึกแห้งก็เก็บเข้าซองได้แล้ว” ซูเจ๋อกล่าว “ทำไม ข้าทำให้ท่านตื่นเต้นหรือ?”
“ท่านเข้าใกล้เกิน ข้าอึดอัด”
เสียงของเขาดุจขนสัตว์ล่องลอยอยู่ในหัวใจ “อาเสียน ท่านอยากหลบหนีอีกแล้วหรือ?”
“ใครว่าล่ะ ข้าแค่ไม่คุ้นเคยเฉยๆ” ทันใดนั้นเฉินเสียนก็หันหน้ากลับไปสบตากับซูเจ๋อในระยะกระชั้นชิด
เธอเห็นรอยยิ้มซ่อนเร้นในแววตาของซูเจ๋อ พลางโอดครวญ “ท่านชอบแกล้งข้าตลอด?”
ตาหรี่ของซูเจ๋อโค้งขึ้นเล็กน้อย สะกดใจให้หลงใหลเหลือเกิน “ข้าเพียงแต่ชอบดูท่านตื่นตระหนกเพราะข้า”
ชิดใกล้กันเพียงนี้ ทำให้เฉินเสียนอดระลึกถึงภาพเมื่อซูเจ๋อฟื้นขึ้นมาแล้วดึงเธอไปจุมพิตอย่างดื่มด่ำที่มุมผนัง
เธอพบว่าซูเจ๋อคนนี้สามารถกลืนกินเธอให้ตายสนิทได้เลย
ทั้งๆที่รู้ว่าถูกเขายั่วยวนไม่ได้ หัวใจก็ไม่รักดีเต้นตึกตักพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อเสียดื้อๆ
เธอยังไม่คุ้นเคยจริงๆ ทว่าก็เหมือนผลไม้ต้องห้าม เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติแล้วก็อยากสำรวจอย่างลึกซึ้งกว่าเดิมอย่างอดใจไม่ได้
ไม่ว่าจะภพก่อนหรือชาตินี้ ซูเจ๋อคือบุรุษคนเดียวที่เธอชื่นชอบ
การเข้าใกล้ของบุรุษผู้นี้มีเสน่ห์ยากเกินต้านทาน
ซูเจ๋อก้มหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
แววตาเขาลึกล้ำประหนึ่งรัตติกาล
เฉินเสียนอ้าปากรู้สึกคอแห้ง บังคับให้ตัวเองรักษาสติและสงบนิ่งเข้าไว้ เธอยกมือบังไหล่ซูเจ๋อ
ด้านหลังเธอมีโต๊ะหนังสือขวางกั้น จึงได้แต่เอียงไปด้านหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซูเจ๋อหยุดการเคลื่อนไหว ริมฝีปากทั้งสองเกือบประกบชิดเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
เฉินเสียนเอ่ยเสียงอ่อน “ท่านไม่ใช่ควรพักผ่อนอยู่บนเตียงหรอกหรือ ลงจากเตียงมาทำไม?”
“ข้ามาสอนท่านเขียนจดหมายอย่างไรเล่า”
“เขียนเสร็จแล้ว งั้นท่านก็ควรกลับไปพักผ่อนเสียที?”
ซูเจ๋อทอดถอนหายใจอย่างเสียดาย
เฉินเสียนจ้องเขม็งเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ตกลงกันแล้วว่าหลังจากแผลท่านหายดี หากไม่ระวังทำแผลฉีกอีกจะทำเยี่ยงไร?”
ซูเจ๋อไม่ขยับ เพียงแค่ยืนจ้องมองเฉินเสียนอยู่อย่างนั้น
เขาแทบอยากใช้แววตาดูดดึงเฉินเสียนเข้าไปภายในร่างกายเสียเลย
ต่อมาซูเจ๋อยิ้มให้เธอ แสงเปล่งประกายอย่างผุดผ่องฉายขึ้นไปทั่วทั้งห้องทันที
ซูเจ๋อกล่าว “ไม่เป็นไร รอวันหลังก็ได้ ความคืบหน้าระหว่างเราเร็วเกินคาดหมายของข้าแล้ว”
เฉินเสียนเคลิบเคลิ้มกับความภูมิฐานของเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกหนักถึงปานนี้เลย เวลาซูเจ๋อสะกดหัวใจขึ้นมาไม่ได้ต่างจากปีศาจเลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เวลานี้เกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้น จึงดึงสติเฉินเสียนกลับมาได้
คนด้านนอกกล่าวว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนกับท่านทูตอยู่ในห้องหรือไม่?”
เป็นเสียงของจักรพรรดิเย่เหลียง
สีหน้าเฉินเสียนลุกลนอย่างแปลกประหลาด แววตาประกายวาววับ หลบสายตาซูเจ๋อ ก่อนจะผลักเขาแล้วกระซิบว่า “รีบไปนอนบนเตียงประเดี๋ยวนี้”
ให้ตายเถอะ ไม่ได้ทำอะไรเสียๆหายๆแท้ๆ ไยเธอจึงรู้สึกเหมือนโดนจับชู้
ซูเจ๋อรู้จักแยกแยะสถานการณ์ ไม่คิดจะหยอกล้อ รีบกลับไปนอนอยู่บนเตียง
จากนั้นเฉินเสียนก็ไปเปิดประตู
นางกำนัลที่ติดตามมาด้วยรออยู่ด้านนอก จักรพรรดิเย่เหลียงเดินเข้าไปเห็นซูเจ๋อกับเฉินเสียนมีสีหน้าเป็นการเป็นงาน จึงกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ข้ามายามนี้ รบกวนองค์หญิงกับท่านทูตหรือไม่?”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างหน้าชา “ฝ่าบาทมีธุระอันใดเพคะ?”
“คืออย่างนี้ ข้ามาดูว่าอาการท่านทูตดีขึ้นหรือยัง”
เดิมทีซูเจ๋ออยากลงจากเตียง ทว่าถูกจักรพรรดิเย่เหลียงห้ามปราม จึงได้แต่ตอบอย่างมีมารยาทอยู่บนเตียง “ขอบพระคุณในความเป็นห่วงของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ข้ากระหม่อมซูหายขึ้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงนั่งลง กล่าวว่า “ดีขึ้นก็ดี ไม่เสียแรงที่องค์หญิงจิ้งเสียนเฝ้าดูแลท่านทูตอย่างพิถีพิถัน การรอดชีวิตขององค์หญิงจิ้งเสียนกับท่านทูตนับว่าเป็นเรื่องโชคดีของประชาและแคว้นบ้านเมือง”
หยุดสักพัก เขาก็กล่าวต่อว่า “เหตุลอบสังหารเกิดในเขตชายแดนของแคว้นเย่เหลียง เป็นเพราะข้าละเลย ข้ารับปากจะให้คำอธิบายแด่ราษฎร ทหารในเขตชายแดนของแคว้นต้าฉู่ โชคดีที่ถึงแม้มือสังหารจะเสียชีวิตอยู่ใต้ก้อนหินมหึมา ทว่ายังมีผู้รอดชีวิตที่คิดหลบหนีแล้วถูกแม่ทัพใหญ่จับเป็นได้”
เฉินเเสียนกล่าว “เหตุใดฝ่าบาทพึ่งรับสั่งตอนนี้เพคะ?”
จักรพรรดิเย่เหลียงมองเฉินเสียนกับซูเจ๋อแล้วกล่าวว่า “ยามแรกท่านทูตบาดเจ็บสาหัสจนนอนสลบไสล องค์หญิงจิ้งเสียนอยู่ในอาการกังวลใจ เกรงว่าข้าแจ้งบอกว่าองค์หญิงก็คงไม่ใส่ใจ แม่ทัพใหญ่รับบัญชาไปไต่สวนมือสังหารแล้ว ซึ่งมือสังหารปากแข็ง คิดกัดฟันฆ่าตัวตายหลายหน ถึงเพลานี้ยังไม่สารภาพอันใดเลย แต่สามารถมั่นใจว่ามือสังหารไม่ใช่คนของเย่เหลียง แต่เป็นคนของต้าฉู่”
ซึ่งจุดนี้ซูเจ๋อเคยพูดอย่างชัดเจนไว้แล้ว ฉะนั้นเขากับเฉินเสียนจึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด
มีเพียงคนของต้าฉู่สังหารทูตและองค์หญิงของต้าฉู่สำเร็จ จะทำให้มีผลดีอย่างยิ่ง
เฉินเสียนเม้มปาก กล่าวว่า “ข้าขอไปดูมือสังหารในคุกได้หรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิกล่าวด้วยความยินดี “ได้แน่นอน หากองค์หญิงทำให้เขาสารภาพได้ก็ถือเป็นเรื่องดีงาม อันที่จริงที่ข้ามาในยามนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“เชิญฝ่าบาทรับสั่งเพคะ”
“ครั้งนี้องค์หญิงจิ้งเสียนกับท่านทูตแปลงเหตุร้ายกลายเป็นดีได้ แต่ข้าจำเป็นต้องชี้แจงแก่ต้าฉู่ เพื่อเลี่ยงผู้ประสงค์ร้ายเอาเรื่องนี้กระทำการชั่วช้า ทำลายสันติภาพของทั้งสองแคว้น ดังนั้นข้าอยากให้องค์หญิงหรือไม่ก็ท่านทูตส่งจดหมายกลับไปยังต้าฉู่ เพื่อทหารและราษฎรทั้งสองแคว้นจะได้สบายใจ”
ซูเจ๋อผงกศีรษะกล่าวว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงยังกล่าวต่อว่า “หากสะดวก ข้าหวังว่าท่านทั้งสองจะส่งจดหมายไปยังเป่ยเซี่ยด้วย แจ้งบอกจักรพรรดิเป่ยเซี่ยว่าองค์หญิงจิ้งเสียนปลอดภัยทุกประการ ต้าฉู่จะได้ไม่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการปลุกลม สร้างคลื่น ยุแยงเป่ยเซี่ย”
เฉินเสียนมองซูเจ๋อในใจกำลังคิดว่าเขาเตรียมการได้รัดกุมมาก เธอเพิ่งเขียนจดหมายเสร็จ จักรพรรดิเย่เหลียงก็มาเอาจดหมายเสียแล้ว
ซูเจ๋อกล่ายกับเฉินเสียนว่า “องค์หญิง น้ำหมึกคงแห้งแล้ว องค์หญิงใส่เข้าซองเถอะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงชะงัก เห็นเฉินเสียนย้ายเท้าไปยังข้างโต๊ะ ก่อนจะนำจดหมายใส่เข้าซอง ปิดซอง ต่อด้วยเขียนนามผู้รับ
จักรพรรดิเย่เหลียงรับสั่งว่า “ที่แท้องค์หญิงกับท่านทูตเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ข้ารู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก”
เฉินเสียนยื่นจดหมายให้เขา กล่าวว่า “รบกวนฝ่าบาทช่วยส่งจดหมายด้วยเพคะ”
จักรพรรดิเย่เหลียงรับสั่งว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนวางใจเถอะ จดหมายถึงเป่ยเซี่ยฉบับนี้ข้าจะส่งอย่างเร่งด่วนเลย” พระองค์มองซูเจ๋อปราดหนึ่ง กล่าวด้วยความจริงใจและซาบซึ้ง “ท่านทูตคิดการรอบคอบ ยึดประชาราษฎร์เป็นที่ตั้ง ช่างเป็นโชคอันประเสริฐแด่คนทั่วหล้า”
เสียดายก็แต่เขาไม่ใช่ขุนนางเย่เหลียง หากเป็นขุนนางเย่เหลียงก็คงจะเป็นลาภใหญ่ของเย่เหลียงเลยทีเดียว
สายตาที่จักรพรรดิเย่เหลียงมองซูเจ๋อ จากที่ดูแคลน ต่อมาก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธา และวันนี้บังเกิดความคิดถนอมผู้มากความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
คอมเม้นต์