ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 319 ทำอะไรที่เกินขอบเขต
ไม่มีใครอยากปล่อย ประหนึ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรักใคร่อย่างสุดซึ้งแบบแยกจากกันไม่ได้
เฉินเสียนร้องคราง นิ้วมือเสมือนคบเพลิงกำลังลูบไล้ตามแนวกระดูกสันหลังของซูเจ๋อ หากสัมผัสถึงที่ใด ที่นั่นมีอันต้องร้อนรุ่มทันที
ยามนี้เธอคล้ายจะได้ยินเสียงหอบเบาๆของซูเจ๋ออยู่ในลำคอที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
เขาเปรียบเสมือนสุนัขหมาป่า กลีบปากที่ไล่จูบตามหูแล้วลงมาบริเวณซอกคออันขาวนวล ก่อนจะทิ้งรอยจูบไว้มากมาย
ทว่าสุดท้าย ซูเจ๋อไม่ได้รุกล้ำเข้าในเขตอุโมงค์ เขาต้องใช้ความพยายามขนาดไหนที่จะต้องบังคับให้ตัวเองหยุด
“ซูเจ๋อ……”
ซูเจ๋อก้มหน้าอยู่ในซอกคอเธอด้วยเสียงหายใจหอบเร็ว พยายามให้สงบลง แล้วกล่าวเสียงแหบว่า “ทำไม่ได้”
เฉินเสียนถูไถกับใบหูของเขา เอ่ยด้วยความมึนงง “ทำไมถึงทำไม่ได้? ท่านไม่กล้า?”
ซูเจ๋อกัดหูเธอแล้วพูดว่า “หากข้าคำนวณไม่ผิดประจำเดือนท่านใกล้จะมาแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะท้องได้ง่าย”
เฉินเสียนฟังเสียงหัวใจตัวเองเต้น คล้ายกับมีกวางน้อยกระโดดโลดเต้นไปมาจนเกือบกระดอนออกมาจากอก
ซูเจ๋อกล่าวว่า “พวกเรามีเจ้าน่องน้อยคนเดียวก็พอแล้ว”
ที่แท้ซูเจ๋อสังเกตเธอถึงขั้นนี้ รู้กระทั่งประจำเดือนว่าจะมาเมื่อไหร่
ร่างกายเธอถือว่าแข็งร่าง ดังนั้นประจำเดือนจึงมาอย่างสม่ำเสมอ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อตาละห้อย เอ่ยว่า “งั้นซูเจ๋อ ท่านจูบข้าเยอะๆได้หรือไม่?”
ซูเจ๋ออยากจูบเธอถึงฟ้าสว่าง
เพียงแต่เฉินเสียนต้านทานความเหนื่อยล้าไม่ไหว บวกกับดื่มสุราไปด้วย จึงไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
พอซูเจ๋อปล่อยริมฝีปากเธอออกก็พบว่าเธอหลับลึกเสียแล้ว
ซูเจ๋อวางคางบนหน้าผากเธอ เอ่ยเสียงบางเบาว่า “เหนื่อยจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไข้ อาเสียน พักผ่อนเยอะๆ หวังว่าพรุ่งนี้ท่านจะลืมเรื่องไม่ดี จำได้แต่เรื่องดีๆ”
วันรุ่งขึ้นเฉินเสียนตื่นจากการปลุกของเสียงไก่เสียงสุนัข
เมื่อคืนซูเจ๋อช่วยเธอลดไข้แล้ว เพียงแต่ดื่มหนักไปหน่อยทำให้เธอรู้สึกหัวหนักเท้าเบา
เฉินเสียนนั่งจับหน้าผากอยู่บนเตียง รู้สึกสมองหนักอึ้งและคอแห้งมาก
ข้างเตียงมีซุปสร่างเมาวางไว้หนึ่งถ้วย
เฉินเสียนเห็นแล้วก็ชะงัก ขมวดคิ้วพยายามหวนคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยกซุปสร่างเมามาดื่มจนหมดเกลี้ยง
เธอใช้น้ำจากนาที่ผ่านการกรองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ไปยังจุดต้มยาของหมู่บ้าน
เดิมทีคิดว่าชาวบ้านจะรอเธอมาต้มยา
ผลปรากฏว่าชาวบ้านต่างแบ่งภาระหน้าที่อย่างเป็นระบบแบบแผนเองแล้ว
หน้าเตาย่อมมีคนดูแลส่วนผสมของยาแล้วนำมาต้มเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยเช่นกัน
เฉินเสียนเห็นแผ่นหลังซูเจ๋อก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หยุดย่างเท้าอยู่กับที่
หากไม่ใช่เห็นเขาอย่างชัดเจน เฉินเสียนยังคงคิดว่าการปรากฏตัวของเขาในยามพลบค่ำของเมื่อวานเป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น
เขาเข้ากับคนได้ง่าย ชาวบ้านไม่สบายก็จะมาหาเขา แล้วเขาก็จะทำการตรวจรักษาอย่างละเอียดลออ
เฉินเสียนเหมือนจะจำได้เลือนรางว่า ตอนเขาเข้ามาในหมู่บ้านยามพลบค่ำของเมื่อวาน เขายังทำตัวห่างเหินกับคนแปลกหน้าอยู่เลย ไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็นเลยสักคำ แต่ยามนี้กลับเข้ากับชาวบ้านได้ดี
ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน!
บุคคลประเภทนี้ สามารถเป็นจอมมาร ทว่าก็กลายเป็นพระโพธิสัตว์ได้ในพริบตา
ยังมีแม่บ้านสองสามคนช่วยซูเจ๋อต้มยาด้วย หาไม่แล้ว ซูเจ๋อคนเดียวมีอันต้องยุ่งไม่หวาดไม่ไหวเป็นแน่
แม่บ้านคงรู้สึกว่าเขาหน้าตาดีมากและไม่ถือตัว จึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้อย่างรวดเร็ว
แม่บ้านยังถามเขาว่า “ท่านหมอซู องค์หญิงจิ้งเสียนล่ะเจ้าคะ ทำไมไม่เห็นนาง?”
ซูเจ๋อตอบ “เมื่อวานเหนื่อยเกินไป นางยังพักผ่อนอยู่”
“ออ ยามนี้มีท่านหมอซูอยู่ องค์หญิงจิ้งเสียนควรพักผ่อนมากๆ”
แม่บ้านอีกคนถามอย่างสอดรู้ “ท่านหมอซู ท่านกับองค์หญิงจิ้งเสียนเป็นอะไรกันเจ้าคะ?”
แม่บ้านอีกสองคนก็อยากรู้มากเช่นกัน แต่ก็หัวเราะด่าคนถามหนึ่งประโยคอย่างไม่จริงจัง “ไยเจ้าปากมากเสียจริง”
ซูเจ๋อใคร่ครวญดูแล้วก็ตอบว่า “ข้าคลั่งไคล้ในตัวนาง”
คำตอบของซูเจ๋อเพียงพอกับความอยากรู้อยากเห็นของกลุ่มแม่บ้านแล้ว
มีแม่บ้านถามอีกว่า “แล้วเหตุใดเมื่อวานถึงเห็นท่านหมอซูกับองค์หญิงไม่พูดคุยกันเลย ทะเลาะกันหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม ช่วงนี้นางกำลังโกรธข้าอยู่” ซูเจ๋อกล่าวอย่างอบอุ่นราวสายลม
“ท่านหมอซูดีเยี่ยงนี้ องค์หญิงจิ้งเสียนจะโกรธลงหรือเจ้าคะ ท่านหมอซูต้องปลอบใจองค์หญิงเยอะๆนะเจ้าคะ ทำเรื่องที่องค์หญิงชอบ องค์หญิงก็จะหายโกรธในไม่ช้าเจ้าคะ”
จากนั้นก็มีเสียงเซ็งแซ่ที่แม่เรือนเล่าประสบการณ์ปลอบผู้หญิงให้แก่ซูเจ๋อฟัง
ซูเจ๋อคล้ายกับตั้งใจไม่ตั้งใจ พยักหน้าตอบว่า “ข้ารับรู้แล้ว”
สุดท้ายมีแม่เรือนผู้หนึ่งเงยหน้าเห็นเฉินเสียนโดยบังเอิญ รีบดึงพรรคพวกตัวเองพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว องค์หญิงจิ้งเสียนมาแล้ว”
ฟืนในเตามีความชื่นด้วยสภาพอากาศ ทำให้ก่อไฟยาก จึงมีควันหนาลอยออกมาจากเตาจนทำให้มีคนสำลักควัน
ซูเจ๋อหันหน้าไปมองผ่านกลุ่มหมอกควันด้วยแววตาไร้ความรู้สึกของเขา แล้วจดจ่ออยู่ที่ตัวเฉินเสียนคนเดียว
เฉินเสียนอดนึกถึงซุปสร่างเมาที่เห็นวางไว้ข้างเตียงตอนตื่นนอน คิดว่าน่าจะเป็นเขาที่เตรียมไว้ให้
เขามักจะเป็นคนดูแลเอาใจใส่อย่างทั่วถึงอย่างไร้ที่ติ
เพิ่งเดินเข้ามาไม่ทันเอ่ยอะไรสักคำ เหล่าแม่ศรีเรือนก็พากันส่งสายตาให้กันและกัน แล้วหาข้ออ้างเดินออกไป
เหลือเพียงซูเจ๋อกับเฉินเสียนสองคน
เฉินเสียนนั่งข้างเตา แล้วเอาฟืนใส่เข้าไปในเตา
สักพัก มืออันอบอุ่นที่เจือกลิ่นหอมของยายื่นเข้ามาจับที่หน้าผากเฉินเสียน
ได้ยินซูเจ๋อกล่าวว่า “ยังดีที่เป็นไข้จากความเหนื่อยล้า ตอนนี้ไข้ลดแล้ว”
เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจ เธอเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมตัวเองไม่รู้เรื่องเลย
“เรื่องเมื่อคืน……”ซูเจ๋อกล่าวแล้วหยุด จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ อย่างไรเสียท่านก็จำไม่ได้”
“เมื่อคืนทำไมหรือ?” เฉินเสียนถามด้วยความแข็งทื่อ
เสียงแผ่วเบาของซูเจ๋อลอดเข้ารูหูเธอ “เมื่อคืนท่านดื่มมากไปหน่อย ทำเรื่องเกินเลยกับข้า”
“เป็นไปไม่ได้” เฉินเสียนยืนยันหัวชนฝา “ข้าไม่มีทางทำอะไรที่เกินกับท่านในเวลานี้เด็ดขาด”
เธอที่คิดเองว่าเธอกับซูเจ๋อมีเรื่องขัดแย้งที่ยังไม่ได้สะสาง ไม่ใกล้ชิดกับเขาเหมือนเมื่อก่อน
“แต่เมื่อคืนท่านดื่มสุราแล้วไม่ค่อยได้สติ ซึ่งตัวเองไม่อาจควบคุมการกระทำมากมายได้” ซูเจ๋อกล่าวเสียงเบา “ประมาณว่าทำตามใจตัวเอง หากภายหน้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ความในใจของท่าน ทางที่ดีท่านก็ไม่ต้องดื่มสุราให้มากนัก”
เฉินเสียนหัวเราะเยาะอย่างคัดค้าน “ข้ามีความในใจอะไรได้”
ซูเจ๋อมองเธอแวบหนึ่ง “อันนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้”
จากนั้นเฉินเสียนก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนตั่ง พยายามย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน
ภาพที่เหลืออยู่ในสมองเคลื่อนไหว เธอยังไม่ทันจับภาพพวกนั้นได้ ชั่วพริบตานั้นก็มลายหายไปแล้ว
เธอคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เธอไม่รู้กระทั่งเรื่องที่ตนเมา รวมไปถึงจำรสชาติของสุราหมักที่แม่เจ้าเรือนมอบให้ไม่ได้ด้วย
เฉินเสียนกุมขมับมีความกลัดกลุ้มไม่น้อย
ทันใดนั้นไม่รู้เป็นเพราะบังเกิดแสงอัศจรรย์ขึ้นหรืออย่างไร เธอคล้ายจะได้ยินเสียงซูเจ๋อในข้างหูเธอ แล้วยังมีอุณหภูมิที่ส่งมาจากร่างกายเขาอีก นิ้วมือเหมือนจะหลงเหลือความรู้สึกที่ได้สัมผัสผิวกายของเขา โดยสัมผัสจากหน้าอกแกร่งอันร้อนรุ่มไปถึงรอยแผลเป็นที่แผ่นหลังของเขา
เฉินเสียนรู้สึกเสียวขึ้นมาในบัดดล
คอมเม้นต์