ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 320 บังคอหน่อยจะดีไม่เบา
เธอมั่นใจว่าตัวเองคอแข็งพอ คงไม่ดื่มเมาจนบ้ากามหรอก
เพียงแต่ไม่เคยดื่มหนักเท่าเมื่อคืนมาก่อน เฉินเสียนยิ่งคิดก็ยิ่งไม่แน่ใจสักแล้วสิ
ซูเจ๋อกล่าว “นึกไม่ออกก็ช่างเถอะ”
เฉินเสียนปากแข็ง “ข้าไม่ได้คิดสักหน่อย”
ซูเจ๋อเอียงหน้ามองเธอ จากนั้นก็ลดสายตาไปอยู่ที่ลำคอเฉินเสียนด้วยแววตาลุ่มลึก เอ่ยว่า “ส่วนตัวข้าคิดว่า ท่านควรปิดคอของตัวเองจะดีกว่านะ”
เฉินเสียนมองเขาอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็ลุกไปส่องที่ถังน้ำ
ผลก็คือเห็นคอของเธอมีร่องรอยอย่างเลือนราง
หัวใจเฉินเสียนหล่นวูบ รีบกลับห้องที่นอนพักเมื่อคืน ในห้องมีคันฉ่องทองแดงตั้งตระหง่านไว้
เธอนั่งลงด้านหน้าคันฉ่องทองแดง แล้วปัดเส้นผมกับอาภรณ์ออก เมื่อมองอย่างละเอียดก็พบว่าคอของตัวเองมีรอยแดงจริงๆ
คล้ายกับเป็นรอยจูบ
เฉินเสียนระส่ำระสายจนนั่งอยู่หน้าคันฉ่องอย่างเฉื่อยชาตั้งนาน
ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่าไม่ได้ ไม่สมควร ทว่าหัวใจที่สมควรตายของเธอกลับหวั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้
ความหวั่นไหวนี้แผ่ซ่านไปทุกสัดส่วนของร่างกาย จากนั้นก็กระจายออกมาตามรูขุมขนอย่างอ่อนนุ่ม
จากนั้นเฉินเสียนก็ตรวจสอบร่างกายตัวเองหนึ่งรอบ นอกจากรอยจูบบริเวณคอแล้ว ส่วนอื่นของร่างกายก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ คงยังไม่ได้รุกล้ำเข้าเขตหวงห้าม
เธอนั่งใจลอยอยู่เงียบๆ สุ้มเสียงของซูเจ๋อก็ดังขึ้นในสมองของเธออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ในไม่ช้า เกียรติศักดิ์ของท่านจะส่งแสงขจรขจายไปทั่วสารทิศ ส่วนข้าก็ได้แต่เดินเหินท่ามกลางคนมืดมิด”
“ท่านไม่ใช่คนเลวที่มีคุณสมบัติครบครัน แต่ข้าใช่”
“ข้าคือผู้ที่ลากทุกคนลงเหวนรก ให้พวกเขารอคอยการช่วยเหลือจากท่าน”
“อันที่จริงท่านติดตามข้า ท่านไม่ต้องทำเรื่องเลวระยำแต่อย่างใด ข้าจะทำเอง ท่านทำแต่เรื่องดีงามก็พอ”
……
เฉินเสียนหลุบสายตาลง นิ้วมือจับขอบคันฉ่องอย่างแน่นชิด
เธอพยายามไม่มองตัวเองในกระจก กลัวว่าจะเห็นความเจ็บปวดและความอ่อนแอในแววตาตน
หากไม่ใช่เพราะเธออ่อนแอ ซูเจ๋อจะไปทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
เธอคาดเดาความจริงได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเปิดโปงเขา เธอกลัวความโหดร้ายที่อยู่ภายใต้ความจริง
ทว่ายามนี้ทำการเปิดโปงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเธอความทรงจำเมื่อคืนอาจสับสนวุ่นวาย แต่ซูเจ๋อจำได้ฝังใจ
ซูเจ๋อคิดจะละทิ้งตนเพื่อช่วยให้เธอประสบผลสำเร็จ
มีสำนวนคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า หากไม่มีใจก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด
ซึ่งยามนี้เฉินเสียนทั้งมีใจทั้งเจ็บปวด
ก่อนออกจากห้องเฉินเสียนปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง เธอฉีกปลายกระโปรงเพื่อทำเป็นผ้าพันคออย่างเรียบง่าย แล้วมาบดบังบริเวณคอ
บรรดาแม่ศรีเรือนในหมู่บ้านเห็นก็รู้สึกแปลกใหม่สวยงาม จึงถามว่า “องค์หญิงจิ้งเสียนเจ้าคะ อันนี้เป็นวิธีแต่งกายแบบไหนหรือเจ้าคะ?”
เฉินเสียนกล่าว “ข้ารู้สึกหนาวบริเวณคอ จึงใช้ผ้าพันคอคลุมไว้”
“ที่แท้ก็เรียกว่าผ้าพันคอนี่เอง” ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! เลือกลายหลากหลายสีสันมาทำ ซึ่งต่อมาผ้าพันคอก็กลายเป็นเครื่องแต่งกายที่สตรีต้องมีในสารทฤดูกับเหมันตฤดู
เฉินเสียนกลับมานั่งหน้าเตาเพื่อก่อไฟต้มยาอีกครั้ง ซูเจ๋อมองเธอปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เช่นนี้สวยงามยิ่งนัก”
เฉินเสียนตอบเสียงเรียบเฉย “ใช่หรือ ข้าแค่ทำมั่วๆ”
จัดการเรื่องของชาวบ้านดื่มยากันหมดแล้ว แต่เครื่องยาสมุนไพรก็เหลือไม่เพียงพอต่อการใช้งานเสียแล้ว
คาดว่าถนนสายเล็กใต้ตีนภูเขาคงยังจัดการไม่แล้วเสร็จ ตลอดทั้งวันนี้ก็ไม่เห็นทหารติดตามกับขุนนางประจำเมืองเข้าหมู่บ้านเลยสักคน
เมื่อเครื่องยาสมุนไพรไม่เพียงพอก็ต้องออกไปหา ซึ่งตัวยาแต่ละชนิดในเทียบยาล้วนหายากกันทั้งนั้น
ฉะนั้นเฉินเสียนกับซูเจ๋อแบกตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่ไปหาสมุนไพรในหุบเขาใกล้เคียง
ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนกับเรื่องโรคระบาดครั้งนี้อีกต่อไป
เส้นทางหุบเขาขรุขระเดินยาก ล้มง่าย
เฉินเสียนไม่ทันระวังเท้าลื่นใกล้จะล้มเมื่อไหร่ ซูเจ๋อมักจะจับเธอจากด้านหลังได้ทันท่วงทีเสมอ
เขาดึงเธอเข้าในอ้อนแขน รอบกายเงียบงันเหลือเพียงเวลาที่พัดผ่านไปอย่างรู้งาน
ร่างกายซูเจ๋อเริ่มชื้นเล็กน้อย มือที่จับแขนของเฉินเสียนไว้ เมื่อเฉินเสียนเข้ามาใกล้ เขาก็อยากเอื้อมมือโอบกอดเธอด้วยจิตใต้สำนึก
เพียงแต่ก่อนเธอจะข่มกลั้นความอยากกอดเขาไม่ไหว เธอรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “วางมือเถอะ ข้าคงไม่ล้มง่ายๆหรอก ถึงจะล้มก็ลุกขึ้นเองได้”
ซูเจ๋อปล่อยเธอออก กล่าวว่า “อย่างไรเสียก็ให้ระวังหน่อย”
ทั้งสองไปหาสมุนไพรกลับมาก่อนฟ้ามืด ซึ่งคืนนี้พักค้างแรมที่บ้านผู้ใหญ่บ้านอย่างสงบ
ซึ่งอาหารที่เสิร์ฟในคืนนี้เป็นอาหารพื้นบ้าน เฉินเสียนกำชับเป็นพิเศษว่าไม่ต้องต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ พอเป็นพิธีก็ได้แล้ว
เวลานี้สตรีเจ้าบ้านมามอบสุราให้เธออีกแล้ว ทว่าเฉินเสียนปฏิเสธไป
ประสบการณ์หลังดื่มสุราแล้วขาดการควบคุมตัวเองจนความทรงจำสับสนวุ่นวายไม่ใช่เรื่องดีอะไร
เธอกับซูเจ๋อคุยกันน้อยมากและพยายามหลบหน้าเขาด้วย ตัวเองกินพอหอมปากหอมคอก็กลับเข้าห้องไป
เธอพิงกายอยู่บนเตียงแต่ก็นอนไม่หลับเสียที เมื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปยังด้านนอกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของซูเจ๋อเดินผ่านมาหน้าห้องของเธอ ซึ่งหยุดเดินอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็เดินไปยังห้องด้านข้าง
ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องข้างๆ เขาก็น่าจะกลับเข้าห้องนอนแล้วล่ะ
เฉินเสียนคิดทบทวน ทั้งๆที่คนผู้นี้ก็อยู่ตรงหน้าตน สามารถพูดคุยกับเขา ได้ยินเสียงของเขา สามารถสวมกอดเขาได้
ทว่าเธอกลับทำไม่ได้
เพราะโรคระบาดครั้งนี้ทำให้เธอไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกในใจที่ซ่อนเร้นกับซูเจ๋อ
ทว่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเสียซูเจ๋อไปไม่ได้
ชีวิตบั้นปลายที่เหลือเธออยากอยู่กับเขาคนเดียวเท่านั้น
คล้ายกับว่าหากไม่มีซูเจ๋อ ชีวิตก็ไร้ความหมาย
เฉินเสียนกับซูเจ๋ออาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเวลาสองวัน พอถึงวันที่สาม คนจากเมืองจิงก็สามารถเดินทางมาถึงหมู่บ้านอย่างราบรื่น
ซึ่งเวลาเดียวกันโรคระบาดในหมู่บ้านก็ค่อยๆซาลง เฉินเสียนมอบเครื่องสมุนไพรเผื่อไว้ให้พวกเขา เน้นย้ำให้ชาวบ้านดื่มยาเป็นเวลา หากยังไม่หายก็ให้ไปหาขุนนางในเมือง
จะชะล่าใจต่อโรคระบาดครั้งนี้ไม่ได้ ขุนนางประจำเมืองก็รับปากว่าจะดูแลจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด
ยามที่เธอกับซูเจ๋อเดินทางออกจากหมู่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านก็มาส่งพวกเขา ช่างรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
ทางกลับไม่ได้เดินยากขนาดนั้นอีกแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มปลอดภัย มีแสงอาทิตย์ส่องทะลุออกจากกลุ่มปุยเมฆ ก่อนจะมาสาดส่องบนแม่น้ำที่กำลังไหลไปตามทาง ผิวน้ำทอแสงประกายระยิบระยับ
ถนนสายเล็กระหว่างแปลงนาก็ถูกปรับปรุงใหม่โดยใช้ก้อนหินปูทาง ทำให้เท้าไม่ต้องติดดินโคลนอีกต่อไป
เมื่อกลับมาถึงเมืองจิง พสกนิกรในเมืองจิงก็หายจากโรคร้ายได้สำเร็จ เผยพลังแข็งแกร่งและภาพลักษณ์โฉมใหม่ขึ้นมา
ภัยพิบัติครั้งนี้ยาวนานนัก ต่อจากนี้พวกเขาต้องวางแผนรับมือกับครึ่งปีที่เหลือ เมืองที่หมดสภาพกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
อาการป่วยของฉินหรูเหลียงก็ใกล้จะหายขาดแล้ว ยามที่เฉินเสียนกลับมา เขากำลังรอเธออยู่หน้าประตู
เธอเงยหน้าก็เห็นฉินหรูเหลียง ใบหน้าเรียบเฉยก็ยิ้มออกมาในที่สุด กล่าวว่า “ร่างกายท่านหายแล้วหรือ?”
ฉินหรูเหลียงเม้มปากพร้อมกับพยักหน้า
“หากวันหลังไม่สบายตรงไหนก็รีบบอก ไม่ต้องฝืน”
หลังเข้าไปด้านในจวน เฮ่อโยวไม่เคยหยุดนิ่งเลยสักวินาที เขาเห็นผ้าพันคอในคอของเฉินเสียนก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ไยท่านจึงพันผ้าที่คอหนึ่งผืน?”
เฉินเสียนเงียบ รู้สึกว่าหลอกเขาก็ไร้ประโยชน์ จึงพูดเรื่อยเปื่อยว่า “อันนี้ผู้คนนิยมมากที่สุดในยามนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
คอมเม้นต์