ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 352 เวลาควรแสดงท่านไม่เคยแสดงดีๆเลย
เฉินเสียนดิ้นรนจนเหนื่อย นอนหอบอยู่บนเตียง พลางใช้น้ำเสียงตื่นตระหนกตกใจอย่างเข้าถึงบทบาท
บวกกับเสียงหายใจหอบของเธอ จึงทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เหมือนซูเจ๋อกำลังถอดอาภรณ์ของเธออย่างฮึกเหิมจริงๆ
ซูเจ๋อยกนิ้วบีบจมูกอย่างปวดหัว พลางกล่าวว่า “อย่าร้อง”
“ไม่ ข้าจะร้อง” เฉินเสียนเห็นการตอบสนองของเขาก็ยิ่งมีพละกำลังเพิ่มขึ้น ร้องตะโกนอย่างสมจริงสมจังว่า “อา!บังอาจ ซูเจ๋อท่านจับตรงไหน?ไม่ต้องมาแตะตัวข้า”
ซูเจ๋อถอนหายใจกล่าวว่า “เวลาที่ควรแสดงท่านก็ไม่แสดงดีๆ ตอนนี้กลับตีบทแตกเสียอย่างนั้น”
ผลปรากฏว่าเมื่อสิ้นเสียง แรงมหาศาลก็กระแทกเข้ากับประตูห้อง
ฉินหรูเหลียงพังกล่องล็อคประตูจนหัก แล้วปรากฏกายอยู่ในห้อง
ชั่วขณะนั้นทั้งสามคนต่างเงียบงันไม่ส่งเสียงพูด
ท่าทางฉินหรูเหลียงร้อนรนมาก เขารู้ว่าระหว่างที่เฉินเสียนสลบ ซูเจ๋อได้ถือโอกาสมัดเธอไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหาวิธีหนีออกจากห้องของตน จึงตกลงกันว่าให้ซูเจ๋อเป็นฝ่ายดูแลเธอ
ถึงแม้ฉินหรูเหลียงจะมีอคติกับซูเจ๋อ แต่เท่าที่เขารู้จักซูเจ๋อ เขาแน่ใจว่าซูเจ๋อเป็นวิญญูชน
ทว่าเสียงร้องของเฉินเสียนเมื่อสักครู่มันเหมือนเกิดเรื่องอย่างว่าจริงๆ
ฉินหรูเหลียงจึงคิดว่าซูเจ๋อเผยธาตุแท้ เป็นคนที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉาน นึกว่าเขาขืนใจเฉินเสียนจริง
ฉะนั้นตอนที่ฉินหรูเหลียงมาจึงมีความร้อนรนใจยิ่งนัก
แต่เมื่อเงยหน้ามองเฉินเสียนก็ไม่ได้อนาถดังที่เธอร้องตะโกน……
ฉินหรูเหลียงเม้มปากกล่าว “เมื่อครู่เขารังแกท่านหรือ?”
เฉินเสียนกล่าว “ใช่ ก่อนที่ท่านจะเข้ามา”
ฉินหรูเหลียงมองซูเจ๋อ เห็นซูเจ๋อลุกขึ้นพิงหัวเตียงอย่างเชื่องช้า แล้วไขว่ห้างอย่างเกียจคร้าน
เขากล่าวอย่างเอ้อระเหย “หากข้ารังแกท่านจริงๆจะปล่อยให้ท่านตะโกนเสียงดังหรือ?” เขามองเฉินเสียนแวบหนึ่ง “ข้าต้องยัดปากท่านเป็นอันดับแรก”
ฉินหรูเหลียงมองไปยังเฉินเสียนพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านไม่เต็มใจอยู่ในห้องกับเขาตามลำพังหรือ?”
เฉินเสียนผงกศีรษะเต็มแรง “ไม่เต็มใจที่สุด”
“งั้นท่านไปห้องข้าเถอะ” ฉินหรูเหลียงกล่าว
“……” เฉินเสียนเงียบชั่วครู่ “ช่วยข้าแก้มัดก่อน แล้วให้ข้าเดินไปเองได้หรือไม่?”
ฉินหรูเหลียงกล่าว “เกรงว่าคงไม่ได้ หากท่านคิดจะหนีกลางดึก ตอนนี้ข้าสู้ท่านไม่ได้”
เฉินเสียนรู้สึกฉุนเฉียว “งั้นท่านก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
ฉินหรูเหลียงจ้องซูเจ๋ออย่างลุ่มลึกแล้วกล่าวว่า “หากเขารังแกท่านจริงๆ ท่านก็รีบตะโกนเรียกข้าได้เลย”
กล่าวจบเขาก็ไปจริงๆ
เฉินเสียนจ้องเขม็งซูเจ๋อ “เขาถูกท่านซื้อตัวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ข้าซื้อตัวแม่ทัพฉินได้อย่างไรกัน เขาคงรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่ดีต่อท่านที่สุดหรอกหรือ”
ทุกความอดทนของเฉินเสียนมลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! “คืนนี้ท่านไม่ปล่อยข้า ท่านก็อย่าหวังว่าจะได้นอนเลย”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างลอยหน้าลอยตา “ข้าไม่นอน หากท่านอยากโวยวาย ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนท่าน”
ไม่นานผ้าปูก็ยับยู่ยี่ อาภรณ์ของเฉินเสียนกับซูเจ๋อก็ยุ่งเหยิงด้วยเช่นกัน
เฉินเสียนกล่าว “ไม่ใช่จะเป็นราชาขุนนางกับข้าหรือ ข้าคือราชา ท่านคือขุนนาง ตอนนี้ข้าสั่งให้ท่านปล่อยข้า”
ซูเจ๋อไม่สะทกสะท้าน
เฉินเสียนกล่าวต่อไปว่า “ซูเจ๋อ ท่านบังอาจเกินไปแล้ว ถึงขั้นมัดตัวองค์หญิงจิ้งเสียน หากท่านไม่ให้ข้าไปช่วยเจ้าน่องน้อย ข้าได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่ คนแรกที่ข้าไม่ละเว้นก็คือท่าน ข้าจะให้ท่านชดใช้ ซูเจ๋อ”
ไม่รู้ว่าตลอดทั้งคืนเฉินเสียนพูดไปเท่าไหร่ คำอ้อนคำด่าเธอใช้มันหมดแล้ว แต่ก็ไม่อาจทำให้ความคิดซูเจ๋อสั่นคลอนได้เลย
พอฟ้าสว่าง ความืดมนในยามราตรีก็ค่อยๆจางหาย เฉินเสียนขดตัวอยู่ตรงนั้น เส้นผมสีดำพาดบ่า สีหน้าท้อแท้ใจโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ
ด้านนอกเฮ่อโยวกับฉินหรูเหลียงตื่นนอนแล้วเตรียมสัมภาระกับม้าเพื่อออกเดินทางเสร็จสรรพ
เปลวไฟจากเชิงเทียนในห้องดับแล้ว เหลือเพียงเศษเล็กเศษน้อยเท่านั้น
ซูเจ๋อลงจากเตียงก่อนแล้วอุ้มเฉินเสียนที่นอนขดตัวขึ้นมา
เฉินเสียนมุดอยู่ในอ้อนแขนเขาอย่างห่างเหิน
เขากล่าว “เช่นนี้ก็ดี เมื่อคืนใช้แรงหมดแล้ว วันนี้จะได้เดินทางอย่างเชื่อฟัง”
ซูเจ๋อใช้ปลายเท้าเปิดประตู ก่อนจะอุ้มเฉินเสียนเดินออกไป
นาทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูธรณี จู่ๆเฉินเสียนก็พูดขึ้นมาว่า “ซูเจ๋อ หากเจ้าน่องน้อยเป็นอะไรไป ชาตินี้ข้าจะไม่ให้อภัยตัวเองและไม่ให้อภัยท่านเด็ดขาด”
ซูเจ๋อหยุดเดินชั่วครู่ จากนั้นก็อุ้มเธอเดินออกจากเรือนแล้วอุ้มขึ้นรถม้า
รถม้าเดินทางไปยังทิศใต้ตามที่ซูเจ๋อกล่าว
เฉินเสียนนั่งพิงอยู่ด้านในรถม้าแล้วมองถนนผ่านช่องว่างของผ้าม่าน ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ถนนจึงเงียบเป็นพิเศษ รถม้าเคลื่อนตัวห่างจากตัวเมืองเรื่อยๆ หัวใจของเธอก็ล่องลอยไปไกลด้วยเช่นกัน
เฮ่อโยวกล่าว “เฉินเสียน อย่าโทษท่านบัณฑิตเลย ทำเช่นนี้ก็เพื่อท่านนะ”
เฉินเสียนไม่พูดเป็นเวลาเนิ่นนาน จากนั้นก็เอ่ยปากพูดกะทันหัน “เฮ่อโยว ท่านก็ไม่คิดกลับเข้าเมืองแล้วเหรอ?”
“รอสะสางเรื่องพวกนี้ให้จบก่อนแล้วข้าค่อยกลับไป” เฮ่อโยวตอบ
“แล้วท่านพ่อท่านล่ะ?”
“เขาเหรอ” กล่าวถึงตาเฒ่าที่ชอบด่าเขาว่า เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ ความน้อยเนื้อต่ำใจและความโกรธก็จางหายไปตามกาลเวลา เขากล่าวว่า “เขารู้สึกแต่ว่าข้าไม่เอาไหน สร้างปัญหาให้เขาอยู่ร่ำไป ครั้งนี้ ข้าจะสร้างผลงานในแง่ที่ข้าคิดว่าถูกต้องให้เขาดู”
เฉินเสียนกล่าว “พ่อท่านเป็นอัครเสนาบดี ข้าเป็นศัตรูกับจักรพรรดิ ภายภาคหน้าท่านต้องเป็นศัตรูกับพ่อท่าน ท่านเคยคิดบ้างไหม? ท่านไม่กลัวจักรพรรดิต้าฉู่เอาชีวิตพ่อท่าน ชีวิตครอบครัวของท่านมาข่มขู่ท่านหรือ?”
เฮ่อโยวชะงัก ไม่ได้พูดอะไร
เขายังไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน
เป็นเรื่องที่เลือกยากเสียจริง หากวันนั้นมาถึง เขาควรเลือกเช่นไรดี?”
อย่างไรเสียเขาก็ละทิ้งครอบครัวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากทรยศเฉินเสียน
เฉินเสียนเอ่ยเสียงเบา “เชื่อข้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านต่อเผชิญหน้าเช่นนั้นแน่ๆ”
เฉินเสียนเงยหน้ามองฉินหรูเหลียงปราดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านด้วย ท่านไม่คิดกลับเมืองแล้วหรือ? ชีวิตในจวนแม่ทัพมากมายจะทำเยี่ยงไร? ยังมีเหมยอู่ที่ท่านรักใคร่ทะนุถนอมที่สุด ควรทำเช่นไร?
เดิมทีท่านเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งต้าฉู่ ถึงสองมือท่านจะโดนทำร้าย แต่พอกลับราชสำนัก แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เช่นเดิม หากแต่องค์จักรพรรดิก็คงไม่ทำให้ท่านลำบาก เพื่อเลี่ยงการถูกไพร่ฟ้าประณาม
แต่ยามนี้ท่านปฏิเสธที่จะกลับราชสำนัก ผู้ช่วยคนสำคัญขององค์จักรพรรดิ แต่กลับกลายมาเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ ไม่เกรงว่าจะถูกตราหน้าว่าเป็นขุนนางกบฏหรอกหรือ? ท่านไม่ระแวงว่าจวนแม่ทัพจะถูกประหารเจ็ดชั่วโครตหรือ? ท่านไม่กลัวเหมยอู่จะถูกจับเป็นทาสเป็นนางบำเรออีกรอบหรือ?”
ไฉนฉินหรูเหลียงจะไม่ได้ใคร่ครวญจุดนี้
แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากปรารถนาสิ่งใด ย่อมต้องสละบางสิ่งบางอย่างทิ้ง
เขาหวังว่าจะสามารถหาวิธีที่ครอบคลุม ทั้งเลี่ยงการถูกประหารทั้งจวนแม่ทัพได้และยังสามารถปกป้องเฉินเสียนได้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อถ้อยคำของเฉินเสียนเปล่งออกมา บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความอัดอึด
ซูเจ๋อกล่าวอย่างเรียบเฉย “อาเสียนช่างรู้จักจี้จุด เพียงไม่กี่คำก็สามารถพูดแทงใจดำได้แล้ว”
คอมเม้นต์