ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 367 อาจจะมีเรื่องให้ประหลาดใจก็ได้
ตามกฎหมายของต้าฉู่ ผู้ที่ขายชาติและหันไปพึ่งศัตรู ทั้งยังเป็นอาชญากรที่ถูกเนรเทศจากราชสำนักอยู่ก่อนแล้ว ฐานความผิดจะเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจักรพรรดิมีพระประสงค์ให้ประหารชีวิต และเลือกวันที่จะประหารโดยใช้ม้าห้าตัวแยกร่างที่ตลาดสด
ฉินหรูเหลียงเป็นผู้รับบัญชาให้ดำเนินการประหารครั้งนี้
หลังจากพักฟื้นไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของหลิ่วเหมยอู่ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่นางยังคงไร้เรี่ยวแรง
เมื่อได้ยินว่าพี่ชายแท้ๆ ของตนเองถูกตัดสินประหารโดยใช้ม้าห้าตัวแยกร่าง นางก็ตกใจจนเป็นลม เซียงหลิงคอยปรนนิบัติอยู่นานกว่าจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
พอหลิ่วเหมยอู่ฟื้นขึ้นมาก็พึมพำว่า “ท่านพี่จะตายไม่ได้ ตายไม่ได้… ข้าจะไปขอร้องท่านแม่ทัพ…”
หลิ่วเหมยอู่ดันทุรังลุกจากเตียงและวิ่งไปที่เรือนหลัก แต่น่าเสียดายที่ฉินหรูเหลียงเก็บตัวอยู่หลังประตู
นางตะโกนร้องไห้ฟูมฟายอยู่ด้านนอก “ท่านแม่ทัพได้โปรดยกโทษให้พี่ชายข้าด้วย… เขาเป็นญาติพี่น้องเพียงคนเดียวที่ข้าเหลืออยู่…”
ทว่าไม่มีการตอบรับจากฉินหรูเหลียง หลังจากนั้นหิมะบางๆ ก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า อากาศเริ่มเย็นลงจนเซียงหลิงต้องเข้ามาประคองหลิ่วเหมยอู่และหว่านล้อมว่า “นายหญิงอย่าทำให้ร่างกายบาดเจ็บอีกเลย กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีนะเจ้าคะ”
ในไม่ช้าหิมะที่ตกลงมาก็ปกคลุมเป็นชั้นบางๆ อยู่ทั่วพื้นและขั้นบันไดที่หน้าประตู
หลิ่วเหมยอู่ไม่ยอมลุกขึ้น หิมะตกลงมาบนกระโปรงและเส้นผมของนาง ทำให้ร่างกายยิ่งดูอ่อนแอลงไปอีก
นางหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางหิมะ
นึกถึงตอนที่เฉินเสียนเพิ่งแต่งงานเข้ามาเมื่อสองปีที่แล้วขึ้นมาได้ เธอตัดชุดใหม่ให้ฉินหรูเหลียงและหนาวสั่นอยู่ท่ามกลางหิมะเช่นนี้
ในตอนนั้นฉินหรูเหลียงกับหลิ่วเหมยอู่กำลังพลอดรักกันหวานซึ้งอยู่ในห้อง ทำเป็นไม่สนใจเฉินเสียน
และตอนนี้ก็ถึงคราวของหลิ่วเหมยอู่ที่ต้องลิ้มรสความรู้สึกนี้ตามลำพัง
อวี้เยี่ยนนำข่าวไปบอกเฉินเสียนและถามว่า “องค์หญิง เราไปดูกันหน่อยไหมเพคะ”
“ตกบ่อไปแล้วยังจะต้องไปซ้ำเติมอีกหรือ ข้าไม่เห็นจะสนใจเลยสักนิด”
เธอไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความรักความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วเหมยอู่กับฉินหรูเหลียง ถึงยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่ดี จะจัดการกันอย่างไรนั่นเป็นเรื่องของฉินหรูเหลียง
ในที่สุดหลิ่วเหมยอู่ก็ทนต่อไปไม่ได้และจากไปอย่างเศร้าสลด
ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เซียงหลิงเฝ้ามองหลิ่วเหมยอู่ค่อยๆ ซีดเซียวและเหี่ยวเฉาลงด้วยตาของตนเอง เมื่อเห็นท่าทางที่หมดอาลัยตายอยากของนางแล้วก็รู้สึกทนไม่ได้
ถ้าในอดีตนางเคยทำเรื่องชั่วช้าไว้มาก บัดนี้นางก็ได้รับผลกรรมแล้ว
เซียงหลิงกล่าวว่า “ในเมื่อท่านแม่ทัพไม่ยอมพบนายหญิง นายหญิงไปขอร้ององค์หญิงจะไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หลิ่วเหมยอู่ตัวสั่นเทิ้มและจ้องมองเซียงหลิงด้วยสายตาที่ดุร้าย “เจ้าว่าอย่างไรนะ จะให้ข้าไปขอร้องนางงั้นหรือ”
เซียงหลิงกล่าวว่า “หากนายหญิงไม่เต็มใจบ่าวก็จะไม่พูดอะไรอีกเจ้าค่ะ เพียงแต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของนายหญิงกับท่านแม่ทัพมิได้แน่นแฟ้น ยากที่จะสั่นคลอนท่านแม่ทัพได้ แต่องค์หญิงกับท่านแม่ทัพค่อนข้างใกล้ชิดกัน ถ้าองค์หญิงพูดกับท่านแม่ทัพคำสองคำ…”
หลิ่วเหมยอู่เอ่ยอย่างเฉียบขาดว่า “จะให้ข้าไปขอร้องนางน่ะรึ ไม่มีทางเด็ดขาด!”
เซียงหลิงหว่านล้อมว่า “นายหญิง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังลังเลที่จะผ่อนปรนอีกหรือเจ้าคะ บ่าวเห็นว่าถ้านายหญิงอยากให้ท่านแม่ทัพกลับมาเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง ท่านจำเป็นต้องทำให้องค์หญิงทรงอภัยให้ก่อน… หรือนายหญิงอยากให้ท่านแม่ทัพปฏิบัติกับท่านอย่างเย็นชาเช่นนี้ตลอดไปเจ้าคะ” ไปที่ https://th.booktrk.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน! นางเอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “แต่ข้าก้มหัวให้ไม่ได้ ข้าทนเรื่องเช่นนี้ไม่ได้”
“เช่นนั้นนายหญิงยังต้องการขอร้องท่านแม่ทัพให้ไว้ชีวิตพี่ชายของท่านอีกหรือไม่เจ้าคะ”
หลิ่วเหมยอู่กำลังต่อสู้กับความเคียดแค้น
เซียงหลิงกล่าวอีกว่า “บ่าวจำต้องเตือนนายหญิงว่า ถ้าท่านจะไปขอร้ององค์หญิงจริงๆ ท่านควรทำอย่างจริงใจ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ท่านแม่ทัพอภัยให้นายหญิง”
ถึงอย่างไรเซียงหลิงก็คอยดูแลหลิ่วเหมยอู่มาเป็นเวลานาน นางไม่ต้องการทำผิดกับเฉินเสียนและไม่ต้องการให้เรื่องของหลิ่วเหมยอู่จบลงอย่างน่าสังเวช
ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมันไม่ดีตรงไหน?
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลิ่วเหมยอู่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้งเพื่อระงับความเกลียดภายในใจและกล่าวว่า “จะกลัวก็แต่ว่าข้ายอมก้มหัวเพื่อให้นางยกโทษให้ แต่นางจะไม่ยอมรับมัน”
เซียงหลิงกล่าวว่า “นายหญิงไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
เพื่อช่วยหลิ่วเฉียนเฮ้อ หลิ่วเหมยอู่ไม่มีทางเลือกอื่น นางทนมองหลิ่วเฉียนเฮ้อตายไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้
ในที่สุดนางก็ยอมฟังเซียงหลิงและพยายามปรับความเข้าใจกับเฉินเสียน
ไม่ว่านางจะพกความจริงใจไปมากแค่ไหน ถึงอย่างไรนางก็ต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ฉินหรูเหลียงตามเฉินเสียนไปที่วังเพื่อไปเยี่ยมเจ้าน่องน้อยอีกครั้ง เขาปล่อยให้เฉินเสียนเข้าไปในวังเพียงลำพังไม่ได้
คราวนี้เฉินเสียนมุ่งความสนใจทั้งหมดไปกับการเฝ้าดูเส้นทางภายในพระราชวังว่ามีช่องโหว่ให้เจาะออกไปหรือไม่ หากอยากช่วยพาเจ้าน่องน้อยออกไปต้องหลีกเลี่ยงองครักษ์กี่คน ต้องผ่านประตูวังไปกี่บาน
ทว่าหลังจากตรวจสอบลู่ทางดูแล้ว เฉินเสียนก็พบว่ามันยากเสียยิ่งกว่ายาก
ฉินหรูเหลียงไปส่งเฉินเสียนที่สวนสระวสันตฤดู เธอไม่ได้อยู่นิ่งสักวินาทีและวาดแผนภาพของพระราชวังออกมา
แน่นอนว่าฉินหรูเหลียงก็อยู่ที่สวนสระวสันตฤดูเช่นกัน เขาช่วยชี้ให้เธอดูจุดที่มีการวางกำลังป้องกันเอาไว้
พระราชอุทยานที่ใช้เลี้ยงดูเจ้าน่องน้อยอยู่ในเขตของพระราชวังส่วนกลาง ไม่ว่าจะออกไปทางประตูไหนก็ต้องพบกับการป้องกันอย่างแน่นหนา
ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิยังคอยเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด และทั้งในและนอกพระราชอุทยานต่างก็ได้รับการคุ้มกันโดยองครักษ์หลวง
ฉินหรูเหลียงเอ่ยอย่างไตร่ตรองว่า “หากท่านใช้กำลังเพื่อนำเจ้าน่องน้อยออกจากวัง จะเป็นอะไรที่เสี่ยงอันตรายมาก จักรพรรดิจะฆ่าเขาและจะไม่ปล่อยให้เขาออกไปทั้งที่ยังมีชีวิต”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ถ้าติดสินบนคนในวังและให้พวกเขาแอบพาเจ้าน่องน้อยออกมาล่ะ สิ่งสำคัญที่สุดในวังคือการดึงดูดความสนใจในที่ที่มีคนพลุกพล่าน เราใช้โอกาสจากความวุ่นวายได้”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ในเวลานี้ คนที่ฉลาดซึ่งอยู่ในวังย่อมรู้ดีว่าไม่ควรเข้ามายุ่งเรื่องนี้ เช่นนี้แล้วจะมีใครยอมเสี่ยงกับการถูกตัดศีรษะเพื่อช่วยท่าน”
หัวใจของเฉินเสียนดิ่งวูบ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปากและกล่าวว่า “ท่านคงต้องรอให้ซูเจ๋อหายดีและหาโอกาสไปถามเขา”
ในตอนนั้นเอง อวี้เยี่ยนก็เข้ามารายงานว่า “องค์หญิง นายหญิงรองมาหาเพคะ นางบอกว่านางมาเพื่อขอโทษองค์หญิง”
เฉินเสียนที่กำลังเศร้าซึมเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันทีเมื่อได้ยินว่าหลิ่วเหมยอู่มาหา
เธอเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ดูเหมือนเหมยอู่จะชอบวิ่งแจ้นมาที่เรือนของข้าจริงนะ”
ฉินหรูเหลียงลุกขึ้นและเตรียมจะออกไปข้างนอก โดยกล่าวว่า “ท่านไม่อยากพบนางก็ไม่ต้องพบ ข้าจะส่งนางออกไปเอง”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่เป็นไร คราวนี้หากนางยังไม่บรรลุเป้าหมาย คราวหน้านางก็กลับมาอีก น่าจะเป็นเพราะเรื่องของหลิ่วเฉียนเฮ้อ จะไปหาท่านก็มีอุปสรรค ดังนั้นจึงต้องมาหาข้าที่นี่เพื่อเสี่ยงดวง”
พูดจบเฉินเสียนก็มองฉินหรูเหลียงและกล่าวอีกว่า “หากว่าท่านกับนางไม่บาดหมางจนเมินเฉยต่อกัน เมื่อนางมาขอร้องท่าน ท่านจะให้อภัยหลิ่วเฉียนเฮ้อไหม”
ฉินหรูเหลียงตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ความผิดของหลิ่วเฉียนเฮ้อไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้หมดสิ้นไปได้ด้วยความรู้สึก”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านน่าจะลองอยู่ฟังว่านางจะพูดเช่นไร” เฉินเสียนยิ้มและส่งสัญญาณให้ฉินหรูเหลียงไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉากกั้น “บางทีอาจจะมีเรื่องให้ประหลาดใจก็ได้”
ฉินหรูเหลียงเชื่อความคิดในแง่ร้ายของเฉินเสียนและไปซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังฉากกั้น
เฉินเสียนกระตุกยิ้มจางๆ ที่มุมปากและบอกกับอวี้เยี่ยนว่า “เปิดประตู เชิญเหมยอู่เข้ามา”
อวี้เยี่ยนพยักหน้า ทันทีที่เปิดประตู ลมหนาวที่เย็นยะเยือกก็พัดเข้ามา
หลิ่วเหมยอู่ก้าวเข้าไปในประตูท่ามกลางลมหนาว เมื่อเห็นเฉินเสียน นางก็พยายามระงับความรู้สึกเอาไว้
“แค่โทษคราวก่อนยังไม่พออีกรึ” เฉินเสียนกล่าว
หลิ่วเหมยอู่จิกเล็บลงบนผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมืออย่างอัดอั้นพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะสู้กับองค์หญิง ข้ามาเพื่อขอโทษพระองค์”
คอมเม้นต์