ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 470 กลิ่นลมหอมกรุ่นของหญิงงาม
ถึงเรือนจำที่กรมอาญา ก็มีหัวหน้ากรมอาญาที่มีหน้าที่เป็นผู้คุมเรือนจำออกมาให้การต้อนรับเขา หัวหน้ากรมอาญาสั่งให้ผู้ดูแลนำบัวลอยเข้าไปให้เฮ่อฟั่ง พลางยื่นน้ำชาอุ่นๆ ให้กับขันที พูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง
หัวหน้ากรมอาญาเป็นข้าราชการระดับห้า แน่นอนว่าไม่มีสิทธิ์จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้อยู่แล้ว จึงสอบถามกับขันทีผู้นี้เสียหน่อย
ขันทีผู้นี้ปกติแล้วไม่ค่อยออกหน้าออกตา เวลาเจอเจ้าหน้าที่จึงค่อนข้างพูดเยอะ และยินดีที่จะพูดกับเขาแน่นอน
รออยู่ที่คุกครู่ใหญ่ เฮ่อฟั่งที่ร่างกายสกปรกมอมแมม แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปที่ห้องตำราหลวงในสภาพนี้ได้ จึงจัดระเบียบผมเผ้านิดหน่อย จากนั้นก็รอขันทีนำพระบัญชามาเพื่อช่วยชุบชีวิตเขาใหม่อีกครั้ง
หัวหน้ากรมอาญาเป็นคนส่งพวกเขาออกไปด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขาเดินออกจากคุกไปไกลแล้ว หัวหน้าจึงค่อยหันกลับมา มองไปยังถ้วยบัวลอยในห้องขัง ที่ขันทีนั้นเป็นคนนำมา ภายใต้แสงจากเปลวไฟที่สลัว บัวลอยถูกเฮ่อฟั่งกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
หัวหน้าหันไปสบตากับผู้ดูแลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ดูแลจึงพยักหน้าเบาๆ
หัวหน้าล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ถอดถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “บัวลอยถ้วยนี้ส่งมาได้เหมาะเจาะพอดี เป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงรับสั่งให้นำบัวลอยถ้วยนี้มา ตั้งใจจะนำมาให้เฮ่อฟั่งได้อุ่นร่างกาย ถึงเวลานั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะได้มีโล่กำบัง”
ผู้ดูแลจึงพูดขึ้นว่า : “ใต้เท้าพูดถูก”
“วันนี้ที่วังหลวงค่อนข้างคึกคัก อากาศที่หนาวเหน็บนี้ อย่าอยู่ที่นี่ต่ออีกเลย เรากลับกันเถอะ”
เสื้อผ้าอาภรณ์ของเฮ่อฟั่งนั้นบางมาก เมื่อเขาเดินออกจากกรมอาญาไป ข้างนอกก็เป็นอากาศที่หนาวเหน็บของเหมันตฤดู จึงทำให้เขาหนาวสะท้านและสั่นไปทั้งตัว แต่ไม่ว่าจะหนาวเหน็บเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบความหนาวเหน็บในห้องขังที่เนิ่นนานไร้ที่สิ้นสุดนั้นได้
เฮ่อฟั่งสูดลมหายใจเข้าลึก มันคืออากาศของความอิสระ ที่ทั้งบริสุทธิ์และสดชื่น ออกมาครั้งนี้ เขาได้ตระหนักถึงความทุกข์ยากลำบากที่กำลังจะสิ้นสุดลงไป และเขาเองควรจะหวนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วองค์จักรพรรดิก็ไม่อาจทิ้งเขาได้ เขาเองรู้อยู่แก่ใจอย่างที่สุด เป็นเพราะว่าสมองของเขานั้นยังมีประโยชน์ต่อองค์จักรพรรดิ
เมื่อออกมาแล้ว เขาให้สัญญากับตัวเองว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา จะไม่ย่างกรายเข้าไปในคุกของกรมอาญาที่หนาวเหน็บนั่นอีก! เขาจะให้ผู้ที่ตั้งใจให้ร้ายเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง!
หลังจากที่สั่นเทา เฮ่อฟั่งก็ยืดตัวตรง สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
ตั้งแต่กรมอาญาจนถึงพระราชวัง ใช้เวลาเดินพอสมควร เมื่อเข้าไปยังพระราชวังแล้ว เฮ่อฟั่งอยู่ในสภาพที่ไม่ควรที่จะให้ผู้คนในงานพบเห็น เพราะฉะนั้นขันทีจึงตั้งใจพาเดินอ้อมอุทยานอวี้ฮัว แล้วจึงตรงไปยังห้องตำราหลวง
ในขณะที่พึ่งออกมาจากคุกของกรมอาญา เฮ่อฟั่งก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางก็รู้สึกเริ่มอุ่น เขาเองคิดว่าเป็นเพราะตัวเองเดินเคลื่อนไหว และเป็นเพราะหัวใจที่เต้นแรง
จนมาถึงห้องตำราหลวง เฮ่อฟั่งก็เริ่มหอบขึ้น บนร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อซึม เขายกมือขึ้นปลดคอเสื้อเล็กน้อย
ขันทีที่นำทางได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิโดยตรง ทหารเวรยามนอกลานจึงไม่สามารถขัดขวางได้ เขาพาเฮ่อฟั่งมาจนถึงหน้าประตูห้องตำราหลวง แล้วจึงถอยกลับไป
เฮ่อฟั่งยืนอยู่หน้าประตูห้องตำราหลวง ด้านในมีไฟส่องสว่าง ที่สะท้อนออกมาจนทำเขารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
เขารู้สึกปากคอแห้งผาก หัวใจเต้นแรงดุจรัวกลอง ราวกับว่ามีเพลิงไฟที่กำลังแผดเผาทรวงอกของเขาก็ไม่ปาน
เฮ่อฟั่งเปิดประตูเข้าไป
ทันใดนั้นเอง ก็มีกลิ่นลมหอมกรุ่นพัดโชยเข้ามา ทำให้เขารู้สึกใจสั่นหวั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
จู่ๆ เปลวไฟที่ร้อนระอุก็รวมตัวปะทุอยู่กลางแผ่นอกของเขาค่อยๆ ไปที่ https://th.readeraz.com เพื่ออ่านเนื้อหาใหม่ล่าสุดทุกคน!
เฮ่อฟั่งเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องตำรายังมีผู้อื่นอีก แถมยังเป็นหญิงงามรูปร่างอรชรเสียด้วย
หญิงงามผู้นั้นกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าแดงก่ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ นางได้ปลดชุดคุมและเสื้อชั้นนอกออก วางกองลงบนพื้น นางที่กำลังไม่รู้ตัว เหงื่อหอมเปียกชุ่มท่วมเรือนร่าง รุ่มร้อนจนไม่อาจต้านทาน
ใบหน้าอันบอบบางนั้นเต็มไปด้วยแรงปรารถนา
เฮ่อฟั่งมักมากในหญิงงาม นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เขาถูกจองจำอยู่ในคุกนานถึงสองเดือน อย่าว่าแต่จะได้แตะต้องสัมผัสหญิงงามเลย แม้แต่เห็นก็ยังไม่ได้เห็นด้วยซ้ำไป
ภายใต้ความรู้สึกที่ลุกโชนท่วมท้นในหัวของเขา สติสัมปชัญญะเป็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาตระหนักได้ว่าที่นี่คือห้องตำราหลวง
แต่เฮ่อฟั่งก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาเดินตรงเข้าไปหานางอย่างช้าๆ ทีละก้าว
“บังอาจ……เหิมเกริม……ข้าเป็นถึงพระสนมฉี พระมารดาขององค์ชายห้าเชียวนะ……”
“พระสนมฉี……”
ที่แท้แล้วหญิงงามในห้องตำรา ก็คือพระสนมฉีนี่เอง
ก่อนหน้านี้ ที่งานเลี้ยงฉลองในวังดำเนินไปได้เพียงครึ่งเดียว เมื่อทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ต่างก็พากันเดินเล่นชื่นชมหิมะภายใต้แสงไฟ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สง่างามไม่น้อย
และในเวลานี้ ที่วังหลังกำลังเดือดจัดจนมิอาจสงบลงได้ พระสนมฉีที่ถูกกักบริเวณเพียงคนเดียว
พระสนมฉีไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงฉลองได้ ไม่ได้ออกหน้าออกตา ในท้องพระโรงมีอาหารอันโอชะที่เรียงรายอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน แต่พระนางจำใจต้องทานง่ายๆ อยู่ในพระตำหนักของตัวเอง
พระสนมฉีมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าเรื่องในครั้งนี้จะต้องเป็นองค์จักรพรรดินีที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ถึงทำให้พระนางต้องเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ เพียงแค่คิดว่าองค์จักรพรรดินีที่ทรงกำลังควงแขนกับองค์จักรพรรดินั่งอยู่ด้วยกันในท้องพระโรง พระสนมฉีก็รู้สึกฉุนจัดขึ้นมาทันที
จากนั้น ก็มีขันทีผู้หนึ่งยกกล่องอาหาร ตรงมายังพระตำหนักของพระสนมฉีท่ามกลางความมืดสลัว
พระสนมฉีถูกกักบริเวณ แต่พระนางเองก็เป็นหนึ่งในพระสนมที่สูงศักดิ์และทรงเกียรติที่สุด และองค์จักรพรรดิก็ไม่ได้ทรงสั่งให้คนมาเฝ้าประกบที่หน้าประตูพระตำหนักเป็นการพิเศษ เพื่อกันไม่ให้พระนางเข้าออกแต่อย่างใด
พระนางปิดประตูและสำนึกผิดอยู่ในตำหนัก ล้วนต้องพึ่งในสติปัญญาทั้งนั้น พระนางไม่สามารถออกจากพระตำหนักอย่างโจ่งแจ้งได้ ที่วังหลังมีสายตามากมายคอยจับจ้อง เพียงแค่พระนางออกไป จะต้องมีสนมคนอื่นเอาไปพูดอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นหลายวันมานี้ พระสนมฉีจึงไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น
ขันทีที่มานั้นมีป้ายประจำตัวเหน็บที่ข้างเอว สามารถทำการต่างๆ โดยไม่มีใครขัดขวางได้ นางกำนัลแจ้งว่าเป็นขันทีที่องค์จักรพรรดิส่งมา พระนางจึงดีใจเป็นอย่างมาก และได้รีบไปที่พระตำหนักหอนอนทันที
ขันทีที่ติดตามองค์จักรพรรดิคือผู้ดูแลทั่วไปของวังหลวง มีขันทีหลายคนที่อยู่ภายใต้อำนาจของผู้ดูแล ไม่ใช่พระสนมทุกคนที่จะเคยได้เห็นเขา แค่เพียงมีป้ายประจำตัว ใครจะไปสังเกตลักษณะท่าทางของขันทีกัน
บวกกับค่ำคืนนี้ที่แสงสว่างค่อนข้างสลัวและพร่ามัว ขันทีเองก็ก้มโค้งค่อนข้างต่ำ จึงมองลักษณะท่าทางของเขาไม่ค่อยชัด
ขันทีบอกว่า ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เขาส่งอาหารเหล่านี้มาเพื่อให้พระสนมฉีได้เสวย
อาหารในกล่องยังคงอุ่นอยู่ พระสนมฉีกวาดตาดูแล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่พระนางโปรดปรานทั้งนั้น จึงเชื่อว่าฝ่าบาทยังคงคิดถึงคะนึงหาพระนางอยู่ จากอารมณ์ที่ขุ่นเคืองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีขึ้นมา
ถึงแม้ว่าพระสนมฉีจะเสวยมื้อค่ำไปแล้ว แต่ก็จะลองชิมดูหน่อย
ขันทีขยับไปยืนรอที่ด้านข้าง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “รอพระนางเสวยเสร็จแล้ว กระหม่อมจึงจะไปทูลกับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมฉีถามขึ้นว่า : “งานเลี้ยงฉลองที่อุทยานอวี้ฮัวเป็นยังไงบ้าง?”
ขันทีจึงตอบกลับไปว่า : “ฝ่าบาททรงเชิญเหล่าราชทูตและเหล่าเสนาบดีรวมถึงเหล่าขุนนางมาเลี้ยงฉลอง ทุกอย่างราบรื่นเป็นอย่าง เพียงแต่ว่าฝ่าบาทยังทรงเป็นห่วงและพะวงว่าพระนางจะไม่ได้เสวยอาหารดีๆ จึงทรงรับสั่งให้กระหม่อมส่งอาหารเหล่านี้มาพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมฉีหัวเราะอย่างข่มขืน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้างพระวรกายของฝ่าบาททรงมีองค์จักรพรรดินีเคียงข้างอยู่แล้ว จะมานึกถึงข้าได้อย่างไรกัน”
“ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงมีองค์จักรพรรดินีเคียงข้าง แต่ในพระทัยของฝ่าบาทนั้นมีแค่พระสนมฉีเพียงผู้เดียวเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้เอง พระสนมฉีจึงได้แสดงถึงความเศร้าใจของนางในวังหลัง พระนางพูดขึ้นว่า : “ข้าถูกฝ่าบาทกักบริเวณ แต่ฝ่าบาทไม่ทรงมาเยี่ยมข้าบ้างเลย ในพระทัยของพระองค์จะทรงนึกถึงข้าได้อย่างไรกัน”
คอมเม้นต์