ข้าคือหงส์พันปี – บทที่541 ถึงคราวเข้าตาจน
กองกำลังทหารรักษาพระองค์นับแสนนายในเมืองหลวงตั้งกำลังคุ้มกันไว้รอบเมืองอย่างแน่นหนา
ในเวลานี้ที่เมืองหลวงย่างเข้าสู่สารทฤดูแล้ว ช่วงที่ร้อนที่สุดของปีผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเหมือนจะยังมีกลิ่นอายของนรกบนดินลุกลามไปทั่วทุกหนแห่ง แม้สายฝนแห่งสารทฤดูจะตกลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่อาจชะล้างความขุ่นมัวและกลิ่นคาวเลือดที่ไหลนองตลอดวันตลอดคืน ณ สถานที่แห่งนี้ไปได้
กองทัพใหญ่ตั้งค่ายรายล้อมรอบเมืองเพื่อพักเสริมกำลังชั่วคราว
เนื่องจากกองกำลังทหารรักษาพระองค์เฝ้ารักษาการที่เมืองหลวงเพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพใหญ่บุกเข้าไป ประชาชนหลายหมื่นคนที่อยู่ในนั้นจึงออกมาไม่ได้
ตอนนี้ถึงเวลาชี้เป็นชี้ตายและเหลือเพียงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย กองทัพใหญ่ปราศจากความรีบร้อน เฉินเสียนและซูเจ๋อจึงมีเวลาว่าง วิ่งไปที่ค่ายผู้บาดเจ็บพร้อมกับทหารเสนารักษ์ที่มีเพียงไม่กี่คนในกองทัพเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของทหาร
อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้มีอำนาจคนใดที่ละทิ้งศักดินาและความถือตัวเช่นเธอ
ทหารในค่ายผู้บาดเจ็บจึงพากันตกตะลึงและปลื้มปีติเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่าองค์หญิงจะมารักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาด้วยพระองค์เอง
ทหารในค่ายทุกคนต่างรู้ว่าองค์หญิงก็ไม่ต่างอะไรกับนายทหารอย่างพวกเขา พระองค์เข้าร่วมในสนามรบได้ ฆ่าฟันศัตรูได้ ทั้งยังมีกลยุทธ์มากมายในการบุกยึดคูเมือง ไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ผู้งามหยาดเยิ้มที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องเลยจนนิดเดียว
เธอรักษาอาการบาดเจ็บให้ทหารด้วยความชำนาญ พันแผลได้อย่างถูกต้องราวกับคุ้นชินกับการเห็นบาดแผล ทั้งยังมีความรู้ทางด้านการแพทย์เป็นอย่างดี
ทหารคนถัดไปได้รับบาดเจ็บที่ขาและมีชิ้นเนื้อบางส่วนที่ถูกตัดออก ตอนนี้เลือดกำลังไหลนองออกมาอย่างน่าสยดสยอง
เฉินเสียนใช้ไฟลนเข็มเงินที่อยู่ในมือ จากนั้นจึงแทงเข็มลงไปที่จุดฝังเข็มบนขาเพื่อห้ามเลือด เธอทำความสะอาดบาดแผลอย่างชำนาญ เสร็จแล้วจึงโรยยาจินฉวงซึ่งเป็นยาผงบรรเทาอาการเจ็บ ถามเขาอย่างเป็นกันเองว่า “เจ็บหรือไม่”
ทหารผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อตลอดกระบวนการรักษา
เมื่อเฉินเสียนเงยหน้าชำเลืองมอง เธอจึงเห็นว่าเขาหัวแตก บนใบหน้ามีรอยเลือดไหลลงมาเป็นทางจนทำให้หน้าของเขาเลอะไปกว่าครึ่ง
แต่เฉินเสียนยังคงจำเขาได้และเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เกาเหลียง?”
เกาเหลียงฉีกยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “เป็นพระกรุณาธิคุณที่องค์หญิงยังจำเกล้ากระหม่อมได้”
หลังจากจัดการแผลที่ขาเสร็จแล้ว เฉินเสียนจึงพันแผลที่หัวของเขา เกาเหลียงเห็นเฉินเสียนอยู่ใกล้เช่นนี้ก็ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความทุกข์ทรมานที่ประสบมาอย่างยาวนานกลายเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
เขาได้เลื่อนขั้นจากนายทหารเป็นหัวหน้ากองพล จากหัวหน้ากองพลเป็นหัวหน้ากองพัน ทำได้เพียงยืนเงยหน้ามองเธอจากในมุมที่ต่ำต้อย
เกาเหลียงไม่คิดเลยว่าภาพที่เฉินเสียนเผาค่าย สังหารทหารและช่วยชีวิตเขาในคืนนั้นจะกลายเป็นภาพประทับตรึงตราอยู่ในใจของเขาในเวลาต่อมา
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าในค่ายทหารนั้นทรมาน ชีวิตอาจหล่นหายไปได้ทุกเมื่อ เจ้านึกเสียใจหรือไม่”
เกาเหลียงคิดว่าถ้าเขานึกเสียใจ เขาคงไม่รอมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่เฉินเสียนมาพันผ้าที่บาดแผลให้เขา
เกาเหลียงตอบว่า “เกล้ากระหม่อมจำได้ และไม่คิดจะละทิ้งกลางทาง”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มมุมปาก เธอตบไหล่เขาและกล่าวว่า “ดีมาก ไม่เลวเลย ร่างกายยังล่ำสันขึ้นด้วย เพียงแต่เจ้าบาดเจ็บที่ขา หลังสิ้นสงครามคงต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง หวังว่าเจ้าจะฟื้นตัวทันการทดสอบฝีมือการต่อสู้ในการสอบขุนนางปีหน้านะ”
เกาเหลียงชะงักและกล่าวว่า “เกล้ากระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”
ต่อมาเฉินเสียนจึงไปหาแม่ทัพโฮ้วเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องของเกาเหลียง แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่าเขาฝึกฝนการต่อสู้อย่างขยันขันแข็งและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง นอกจากนี้ทุกครั้งที่ออกรบเขายังอาสาเป็นแนวหน้าทุกครั้ง แม้ว่าจะยังเป็นเพียงพลทหารเล็กๆ แต่ในภายภาคหน้าจะต้องปลุกปั้นเขาได้อย่างแน่นอน
แม่ทัพอู่โหวส่วนมากล้วนเคยผ่านความทุกข์ยากมาในค่ายทหาร พวกเขาต้องพุ่งเข้าใส่แนวหน้าของศัตรู ต่อสู้อย่างห้าวหาญ ต้องสั่งสมประสบการณ์ และใช้ความสามารถซื้อใจประชาชน
ตอนที่ได้ยินคำพูดของเกาเหลียงในค่ายทหาร เธอก็รู้ได้ทันทีว่าเขามองการณ์ไกลกว่าคนทั่วไป เมื่อเขาเข้าไปและกลับออกมาจากกองไฟก็ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่น ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะมีความแน่วแน่กล้าหาญเหนือกว่าคนทั่วไป แม้แต่แม่ทัพโฮ้วก็ยังมองออก เฉินเสียนจึงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าตนเองไม่ได้มองเกาเหลียงผิดไป
กองทัพจากทางใต้ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหลวงมานานกว่าสิบวันโดยที่ยังไม่เข้าโจมตีเมือง
ในตอนแรกกองกำลังทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนอย่างเข้มงวดเพื่อเตรียมรับมือศัตรูและรู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก แต่หลังจากผ่านไปสิบวันพวกเขาก็เริ่มหมดแรงและท้อแท้
ยิ่งไปกว่านั้นสภาพของเมืองหลวงในตอนนี้เป็นเช่นไร เป็นเรื่องที่จินตนาการได้ไม่ยาก ในเมืองมีกองกำลังทหารรักษาพระองค์จำนวนมากทว่าไม่มีเสบียง การที่พวกเขายืนหยัดมาได้ถึงสิบวันก็นับว่าดีมากแล้ว
รออีกสองวัน… การรอจนพวกเขาเหนื่อยล้าสิ้นแรงและโจมตีเมืองอีกครั้งจะช่วยประหยัดแรงได้มาก
แต่ยังไม่ทันที่กองทัพจะบุกโจมตีเมือง ผู้คนในเมืองก็อดทนไม่ไหวเสียก่อนแล้วขอให้กองกำลังทหารรักษาพระองค์เปิดประตูเมืองให้
ในเวลานี้ภายในพระราชวังตกอยู่ในความซบเซาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กองกำลังทหารรักษาพระองค์และประชาชนที่อยู่นอกวังต้องใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่ แม้แต่ในวังก็ไม่มีข้อยกเว้น
กองกำลังข้าศึกบุกประชิด วังหลังเกิดความโกลาหลจนมีสภาพเละเทะ
ในท้องพระโรงราชสำนัก นอกจากองค์จักรพรรดิและขันทีผู้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายแล้วก็ไม่มีใครอื่น พระองค์ประทับลงบนบัลลังก์มังกรด้วยความอาวรณ์และไม่ยอมลุกจากไป
เพิ่งจะได้รับข่าวว่ากองกำลังจากเป่ยเจียงซึ่งกำลังเคลื่อนพลกลับมาเสริมทัพที่เมืองหลวงถูกสกัดระหว่างทาง ไร้แรงกำลังที่จะกลับมาช่วยเมืองหลวง กองทัพจากชายแดนตะวันตกก็ถูกตีจนแตกพ่าย กองกำลังทหารรักษาพระองค์นับแสนนายของเมืองหลวงก็ถูกปิดล้อมให้อยู่แต่ในเมืองจนไร้ประโยชน์
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องรอให้กองทัพบุกเข้ามา เสบียงที่เหลือในเมืองก็จะหมดลง และพวกเขาก็จะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
องค์จักรพรรดิจำได้ว่าในตอนที่นำทัพไปทำสงครามทางเหนือ พระองค์มีจิตใจฮึกเหิมเพียงใด ไม่คิดเลยว่าตอนนี้กงล้อแห่งโชคชะตาจะเปลี่ยนทิศ และพระองค์จะถูกโค่นล้มโดยกากเดนผู้หนึ่งที่เหลือรอดจากราชวงศ์ก่อน
คิดอย่างไรก็ไม่อยากจะยอมรับ
ในตอนนั้นพระองค์ไม่ควรฟังคำของฉินหรูเหลียงและสังหารเฉินเสียนด้วยดาบเดียว ถ้าทำเช่นนั้นก็คงไม่เกิดหายนะเช่นวันนี้
ส่วนฉินหรูเหลียงคนทรยศ หากพระองค์ไม่ลงโทษด้วยการทรมานเขาอย่างช้าๆ และปล่อยให้ยังมีชีวิต วันนี้เขาคงไม่มีโอกาสนำทัพไปโจมตีกองทัพจากเป่ยเจียง
ฉินหรูเหลียงเป็นเพียงคนพิการไม่ใช่หรือ มือทั้งสองข้างของเขาถูกทำลายไปแล้ว แต่เหตุใดเขาจึงยังถือหอกถือดาบได้ เหตุใดจึงยังควบม้าในสนามรบได้!
ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิก็รู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นเหมือนกลอุบายที่วางแผนมาอย่างดี!
สองวันต่อมา กองกำลังจากทางใต้เริ่มโจมตีเมือง
กองกำลังทหารรักษาพระองค์พ่ายแพ้ให้ความหิวโหยและความเหนื่อยล้าที่รุมเร้า ประตูเมืองจึงหละหลวมและในที่สุดก็พังทลาย
ภายในวังเกิดความโกลาหล ขันทีข้างกายจักรพรรดิร้องออกมาอย่างเป็นกังวล “องค์จักรพรรดิ เร่งให้กองกำลังทหารรักษาพระองค์ที่เหลือคุ้มกันพระองค์ออกจากเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ! เวลานี้การรักษาชีวิตย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด!”
จักรพรรดิทรงได้พระสติในฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงตะโกนโห่ร้องดังมาจากทางประตูเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป ก็จริง ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจี ก็อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนเผา
แต่ในขณะที่ทหารรักษาพระองค์และนักดาบหลวงที่เหลืออยู่กำลังคุ้มกันเพื่อพาพระองค์หลบหนี พวกเขาก็พบว่าทั่วทุกส่วนของเมืองหลวงถูกกองทัพจากทางใต้ยึดครองหมดแล้ว และพระองค์ไม่มีทางหนีพ้น ถ้าออกจากวังไปตอนนี้ก็มีเพียงแต่จะนำคอของตนเองไปส่งให้ถึงปลายมีดของกองทัพใหญ่
จักรพรรดิไม่มีทางหนีพ้น และเนื่องจากพระองค์หนีไปไหนไม่ได้ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะหลบหนี ดังนั้นก่อนที่กองทัพใหญ่จะบีบบังคับให้สละราชย์ พระองค์จึงมอบหมายให้ทหารรักษาพระองค์และนักดาบหลวงไปที่เรือนของขุนนางในราชสำนัก จับกุมขุนนางทั้งหลายมาขังไว้ในพระราชวัง
จักรพรรดิไม่สนพระทัยต่อชีวิตและความตายของผู้ใด หากจะตายทุกคนก็ต้องตายด้วยกัน
เมืองหลวงซึ่งอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสแห่งสวรรค์กลายเป็นทะเลเลือด
เฉินเสียนก้าวเข้าไปในประตูเมืองอีกครั้ง กลับมายังเมืองหลวงซึ่งเคยมอบความทรงจำที่สวยงามให้แก่เธอ ทั้งนำความทรมานมากมายมาให้ จนในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกนานัปประการ
คอมเม้นต์