ข้าคือหงส์พันปี – บทที่ 598 เจอกันโดนบังเอิญ
โคมไฟสีสันหลากหลายถูกแขวนประดับอยู่สองข้างทาง เมื่อมองดูแล้วเหมือนราวกับมีเชือกริบบิ้นแขวนกันเป็นแถวยาว ภายใต้โคมไฟที่ถูกแขวนไว้นั้นก็มีซุ้มขายอยู่หลากหลาย มีทั้งเครื่องประดับไข่มุกติดผมที่เหล่าพวกผู้หญิงชอบกัน ขนมของกินเล่นที่ทำสดๆใหม่เพิ่งออกจากเตา และยังมีโคมไฟ หน้ากากและอื่นๆอีกมากมาย
ตลอดทางที่ซูเซี่ยนเดินไปนั้นก็มองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นของเขาถูกย้อมไปด้วยสีสันอันเจิดจ้าของแสงไฟ
เฉินเสียนขยับเข้าใกล้แล้วพูดข้างหูเขาว่า“ถ้าเกิดมีสิ่งที่ชอบ ก็สามารถซื้อกลับไปได้”
ซูเซี่ยนพยักหน้าเข้าใจ
ยากที่จะมีโอกาสอย่างเช่นนี้อีกสักครั้ง เฉินเสียนเลยอยากจะเอาใจซูเซี่ยน เมื่อคิดๆดูแล้วก็รู้ว่าอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้ซูเซี่ยนชอบแล้วอยากนำกลับไป ตลอดทางเขาได้แต่มองไม่ได้ขอร้องที่จะต้องการซื้ออะไร
ค่ำคืนนี้มีผู้คนมากมาย เฉินเสียนกลัวว่าซูเซี่ยนจะเดินพลัดหลงทาง จึงจูงมือเขาไว้ตลอดเวลา และซูเจ๋อก็จูงมืออีกข้างหนึ่งของเฉินเสียนไว้ ในมุมมองของประชาชนทั่วไปที่ได้เห็น ก็คือสามคนพ่อแม่ลูกออกมาเดินเที่ยวเล่นกัน แต่เมื่อได้เห็นพ่อและแม่ที่สวยหล่อเหมาะสมกัน ลูกชายนั้นก็โดดเด่น ยากที่จะหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนได้
ด้านหน้านั้นมีการเล่าเรื่องอยู่ ซูเซี่ยนชื่นชอบที่จะฟัง เพื่อให้เข้ากับค่ำคืนวันเทศกาลสารทจีน การเล่าเรื่องนั้นจะเป็นเล่าเกี่ยวกับภูตผี ผู้คนที่มารับฟังการเล่าเรื่องบริเวณนั้นก็จะส่งเสียงหวาดกลัวออกมาในบางครั้ง
ซูเซี่ยนนั้นตัวเล็กมาก ไม่สามารถที่จะไปถึงด้านหน้าได้ ในเวลานั้นมือข้างหนึ่งของซูเจ๋อจับเฉินเสียนเอาไว้ แล้วก็ก้มตัว ลงไปอุ้มซูเซี่ยนมากอดไว้แล้ววางไปบนไหล่ของตัวเขาเอง เขาโอบกอดขาเล็กๆของซูเซี่ยนเพื่อให้ซูเซี่ยนนั่งได้อย่างมั่นคง
ซูเซี่ยนตกตะลึง จากนั้นใบหน้าก็ยิ้มแย้มขึ้นมา แม้จะเงียบสงบแต่ก็มองออกว่าเขานั้นดีใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เขาได้นั่งบนไหล่ของพ่อตัวเองแล้ว สายตาก็จดจ่อกับการเล่าเรื่องภูตผีอย่างตั้งใจ ตอนที่ผู้คนต่างตกใจหวาดกลัว เขาเพียงแต่กระพริบตา
เฉินเสียนหันไปมองสองพ่อลูก ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่าไหล่ของซูเจ๋อนั้นแข็งแรงกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าการได้เป็นพ่อคนนั้นสูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขา
ซูเจ๋อก้มลงมามองเฉินเสียน แววตาที่เรียวยาอย่างลึกซึ้งนั้นก็ถูกย้อมไปด้วยแสงไฟจากโคม เขายิ้มมุมปากให้กับเธอ แล้วยกมือที่ประสานมือกับเธอขึ้นมาจูบอย่างนุ่มนวล
ความหวานและความสุขของสามคนพ่อแม่ลูกนั้น มันอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
เมื่อออกมาจากการฟังเล่าเรื่องแล้ว ซูเจ๋อก็ไม่ได้ปล่อยซูเซี่ยนลงเดิน ให้เขาได้นั่งอยู่บนไหล่ของตัวเองต่อไป เป็นเช่นนี้เขาสามารถที่จะมองออกไปได้กว้างไกลขึ้น ยื่นมือออกไปราวกับได้สัมผัสโคมไฟที่อยู่ข้างทาง
จากนั้นเมื่อถึงร้านขายหน้ากากปีศาจ สามคนพ่อแม่ลูกจึงเลือกหน้ากากปีศาจร้ายอันใหญ่มาสองอัน และอันเล็กอีกหนึ่งอัน แล้วก็สวมใส่หน้ากากเดินเข้าในกลับกลุ่มคน
เมื่อตอนที่เดินเข้าใกล้แม่น้ำหยางชุน เฉินเสียนก็ได้ซื้อโคมดอกบัวมาสองอัน เวลานั้นในแม่น้ำก็เต็มไปด้วยโคมดอกบัวที่ส่องแสงไฟประกายระยิบระยับ ราวกับมีทางช้างเผือกมาส่งแสงแวววาวอยู่บนผิวน้ำ
“อาเซี่ยน อยากไปลอยโคมดอกบัวหรือไม่?”
ซูเซี่ยนจึงปีนลงมาจากไหล่ของซูเจ๋อ แม่และลูกทั้งสองนั่งยองๆอยู่ริมน้ำโดยที่มีไม้ค้ำยันเอาไว้ เมื่อจุดไฟที่โคมดอกบัวแล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆวางโคมดอกบัวให้ลอยไปบนผิวน้ำ
เป็นช่วงเวลาที่เฉินเสียนและซูเซี่ยนมีความสุข ซูเจ๋อที่อยู่คอยเฝ้าอยู่ด้านหลังของสองแม่ลูกอย่างเงียบๆก็ได้ยิ้มออกมา เขายังจำได้ว่าเมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เขาได้พาเฉินเสียนมาที่ดูโคมไฟที่ริมแม่น้ำ พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เขาปรารถนาที่ยังได้เฝ้าอยู่ข้างกายสองแม่ลูกนี้ตลอดไป
เมื่อเดินเล่นกันอยู่ที่ริมแม่น้ำหยางชุนกันอยู่สักครู่ สามคนพ่อแม่ลูกก็ได้เดินไปตามริมแม่น้ำที่มีต้นหลิวพัดพลิ้วไหว
มีมันเทศย่างขายอยู่ข้างทาง ส่งกลิ่นหอมลอยเย้ายวนมาแต่ไกล
เมื่อเฉินเสียนยืนอยู่หน้าร้านขายมันเทศย่าง ซูเซี่ยนถามขึ้นว่า“อร่อยกว่าผลไม้เคลือบน้ำตาลหรือเปล่า?”
“เจ้าอยากกินผลไม้เคลือบน้ำตาลหรือ?”
“ข้าไม่ชอบ มันเปรี้ยวจนเข็ดฟัน”
เฉินเสียนหัวเราะแล้วพูดว่า“อันนี้ไม่เปรี้ยวเข็ดฟัน แต่มันจะร้อนๆปากหน่อย”
เมื่อเดินไปถึงสะพานที่อยู่ไม่ไกล สามคนพ่อแม่ลูกก็ค่อยๆห่างออกมาจากบริเวณถนนที่มีคนพลุกพล่าน ราวจับบนสะพานไม้นั้นกว้างและหนา เฉินเสียนจึงนั่งเอนพิงตัวลงไปแล้วอุ้มเจ้าน่องน้อยไว้ข้างกาย
เธอเริ่มปลอกมันเทศย่างแล้วส่งให้กับซูเซี่ยน
ซูเซี่ยนเมื่อได้เห็นสีเหลืองทองของมันเทศย่างนั้น ก็เกิดความอยากอาหารขึ้นมาทันที เขาจึงถอดหน้ากากลงแล้วถือมันเทศเอาไว้ด้วยสองมือ ค่อยๆกินอย่างเอร็ดอร่อย
ในมือเฉินเสียนที่กำลังปลอกมันเทศย่างอีกอันหนึ่งอยู่ ถามขึ้นว่า“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเซี่ยนนึกถึงรสชาติอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า“หวานมาก”
เฉินเสียนหันไปชำเลืองที่ซูเจ๋อ แล้วถามขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านจะกินหรือไม่?”
ซูเจ๋อมองเธอแล้วตอบว่า“กลับไปแล้วค่อยกิน”
เฉินเสียนพูด“กลับไปก็ไม่หมดแล้วล่ะ”
ซูเจ๋อหัวเราะเย็นชา แล้วพูดว่า“หมดแล้วก็ไม่เป็นไร”
บนสะพานนี้จะมีผู้คนเดินผ่านไปมาอยู่บ้างเพื่อที่จะข้ามไปฝั่งตรงข้าม เฉินเสียนและซูเซี่ยนที่นั่งแทะมันเทศย่างอยู่ที่ราวสะพานนั้นเป็นทำให้ผู้คนสะดุดตา
สายลมยามราตรีได้พัดให้โคมไฟนั้นทำให้โคมไฟนั้นแกว่งไปมาอย่างแผ่วเบา แสงไฟจากโคมไฟสาดส่องกระทบไปที่ผิวน้ำระยิบระยับอย่างงดงาม
เวลานั้นก็ได้มีเหล่าชายชราที่คาดว่าน่าจะกำลังจะกลับบ้านหลังจากกลับงานเลี้ยงอย่างมีความสุข พูดคุยกันอย่างเสียงดังมาตั้งแต่หัวสะพาน
“ท่านเฮ่อให้พวกเราพาลูกสะใภ้ไปให้เขาดู สถานการณ์ในคืนนี้ทุกคนต่างก็ได้เห็น มันไม่ง่ายเลยที่ลูกสาวคนเล็กของข้านั้นจะไม่นึกถึงชื่อเสียงที่เสียหายเมื่อก่อนของหลานชาย และเต็มใจที่ออกมาพบหน้า แต่หลานชายนั้นก็วิ่งหนีหายไปเร็วกว่าใคร!มันช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง”
“เฮ้อ ลูกสาวของเจ้าหน้าตาเหมือนเจ้ามาก!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?เจ้ารังเกียจที่ลูกสาวของข้าหน้าตาไม่สวยงั้นรึ?”
“ข้ายังไม่ทันได้พูด เจ้าก็พูดออกมาเอง”
“เจ้านั้นแหละที่น่าตาอัปลักษณ์ ”
“ถุ้ย ตาเฒ่า ท่านพูดดีๆหน่อยไม่ได้หรือไง!”
……
เหล่าชายชราที่กำลังพูดคุยกันต่างก็ไม่มีใครยอม แล้วกำลังเดินขึ้นมาจากหัวสะพานเพื่อมาทางนี้
เสียงพูดคุยเหล่านั้นก็ลอยเข้ามาในหูของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อหันไปมองที่เฉินเสียนกับซูเซี่ยน แล้วเอ่ยว่า“กินกันอิ่มหรือยัง ควรจะไปต่อได้แล้ว”
ทั้งสองแม่ลูกนั้นยืนหยัดที่จะต้องการกินมันเทศย่างให้หมดก่อนไม่เช่นนั้นก็จะไม่ลุกออกจากสะพาน
ดังนั้นไม่นาน เหล่าชายชราก็ได้เดินมาถึงบริเวณกลางสะพาน เดิมทีก็เดินไปแล้วก็โต้เถียงกันไปโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบๆสะพาน
แต่อาจจะเป็นเพราะบนราวสะพานนั้นมีหญิงสาวและเด็กชายที่กำลังนั่งแทะมันเทศไปทำให้สะดุดตา คนผ่านไปผ่านมักจะต้องหันมามอง
เมื่อมองแวบแรก ในความคิดแรกของเหล่าชายชรานั้นก็รู้สึกได้ว่า เด็กชายคนนี้นั้นผิวขาวสะอาดช่างงดงงามเสียจริง หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวว่า เอ้ย ทำไมรู้สึกคุ้นตาเช่นนี้
เหล่าชายชราที่กำลังเดินข้ามกลางสะพาน ได้หยุดเดินแล้วหันมามองหน้ากัน แล้วเอ่ยว่า“หรือว่าจะตาลาย?”
“ไป กลับไปดูกัน”
เหล่าชายชรานั้นเดินกลับมาดูด้วยลักษณะท่าทางกระวนกระวาย
ซูเจ๋อหรี่ตามองภายใต้หน้ากาก แล้วพูดเสียงเบาว่า “อาเสียน จะไปกันได้หรือยัง?”
เฉินเสียนพูด“อีกสองคำก็จะหมดแล้ว ข้าไม่ชอบเดินไปกินไป”
ซูเซี่ยนก็พูดสบทบว่า“ข้าก็ไม่ชอบ”
มองแล้วมันเทศย่างนั้นก็คงจะทั้งหวานและนิ่มอร่อย จนทำให้ทั้งสองแม่ลูกนั้นไม่อยากจะขยับไปไหน
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นซูเจ๋อจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาจึงเอนร่างเพรียวยาวของเขากับราวสะพาน ชายเสื้อสีดำลอยขึ้นราวกับคลื่นน้ำในสายลมยามราตรี แววตาดูผ่อนคลายจึงพูดได้เพียงว่า“ช่างเถิด อย่างนั้นกินเสร็จแล้วค่อยเดินต่อแล้วกัน”
เช้นนั้นผลที่ก่อเกิดขึ้นโดยตรงก็คือ——เหล่าชายชรานั้นได้เดินย้อนกลับมาที่กลางสะพาน แล้วจ้องมองจนลูกตาดำนั้นเกือบจะถล่นออกมาข้างนอก แล้วใช้นิ้วชี้ไปที่เฉินเสียนและซูเซี่ยน “นี่ นี่……”
คอมเม้นต์