ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 666 น้อยที่จะมีความรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่
เวลานี้เป่ยเซี่ยจะรีบเร่งประดิษฐ์ต่อเรือก็ไม่ทันแล้ว ยิ่งกว่านั้นเป่ยเซี่ยมีเนินเขาทุ่งหญ้ามากมาย มิสู้ต้าฉู่ที่โครงข่ายแม่น้ำมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เพราะฉะนั้นฝีมือการสร้างเรือก็ไม่ชำนาญ องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทำได้เพียงรีบจัดวางกำลังป้องกันเสริมความแข็งแกร่งบริเวณชายฝั่งทะเล
องค์หญิงจาวหยางฟังท่านอ๋องมู่ที่กลับมาพูดฉอดๆว่า “บอกแล้วว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ไม่ใช่ผู้ที่ง่ายต่อการยุแหย่ ช่วงก่อนหน้านี้ปฏิบัติต่อพระนางอย่างนั้น พระนางทำเพื่อท่านอ๋องรุ่ย สิ่งใดก็สามารถกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจได้ แต่สุดท้ายก็ยังต้องแยกกับท่านอ๋องรุ่ย เช่นนี้แล้วยังปรารถนาให้พระนางละมุนละม่อนกับพวกเราเป่ยเซี่ยหรือ”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวถามว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่จะโจมตีเป่ยเซี่ยของพวกเราหรือไม่เพคะ?”
ท่านอ๋องมู่กล่าวว่า “อาจจะไม่หรอก แต่ถ้าเย่เหลียงเจตนายุให้เกิดการสู้รบจากน่านน้ำทะเล พระนางจำเป็นต้องยืนบนป้อมปราการ เฝ้าสังเกตการณ์สองฝ่ายรบกัน บางทีอาจจะเกื้อหนุนอยู่ด้านข้างก็ยังไม่แน่นอน”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวว่า “ไม่เช่นนั้น นำท่านพี่ส่งไปที่ต้าฉู่เถิดเพคะ เช่นนี้ความสัมพันธ์ต้าฉู่กับเป่ยเซี่ยก็จะสงบอบอุ่นลง เย่เหลียงก็ถือโอกาสหาผลประโยชน์ไม่ได้แล้วไม่ใช่หรือเพคะ” นางฟังท่านอ๋องมู่พูดฉอดๆกับเรื่องเหล่านี้เป็นประจำ เลยเข้าใจสถานการณ์เหล่านี้อยู่บ้าง
ท่านอ๋องมู่ทอดถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวว่า “เสด็จอาของเจ้าคิดไม่ออก จะมีวิธีอะไรอีกละ”
ทุกวันนี้องค์หญิงจาวหยางคิดอยากที่จะไปเหยียบผืนแผ่นดินต้าฉู่ อยากจะไปดูต้าฉู่ ด้วยเหตุนี้ตอนที่นางว่างก็จะวิ่งไปที่จวนท่านอ๋องรุ่ย พยายามชักจูงซูเจ๋อให้แอบไปต้าฉู่กับนาง
เวลาที่ซูเจ๋อว่าง ด้านข้างมือของเขาไม่ห่างจากปิ่นหยกขาวนั่นเลย มันกลายเป็นของเล่นของเขา มีเพียงบางเวลาที่มองปิ่นหยกขาวในมือ สีหน้าก็ค่อยๆอึมครึมลง
องค์หญิงเจ้าพูดวุ่นวายยุ่งเหยิงอยู่ด้านหน้าเขา หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างฮีกเหิมว่า “ท่านพี่ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไร พวกเราไปต้าฉู่กันเถิดนะ”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างราบเรียบว่า “หากข้ารีบร้อนยังพอรับได้ เหตุใดเจ้าถึงรีบร้อนไปที่ต้าฉู่ ที่นั่นมีคนที่เจ้าถูกใจหรือ?”
ชั่วประเดี๋ยวเดียวองค์หญิงจาวหยางก็โมโห กล่าวขึ้นว่า “ท่านอย่าพูดมั่วนะ!ข้าไม่มีคนที่ถูกใจ!ไม่มีอย่างแน่นอน !ท่านพี่ ท่านไม่ได้พบกับจักรพรรดิแห่งต้าฉู่มาหนึ่งปีแล้ว เหตุใดท่านถึงไร้การเคลื่อนไหว แต่เป็นข้าที่รีบร้อนจะตายแล้ว!”
ซูเจ๋อพิงหลังที่เก้าอี้ เก็บปิ่นหยกขาวไว้ในอุ้งมือ กล่าวว่า “รีบร้อนแล้วมีประโยชน์อันใด ร่างกายของข้านี้ฟื้นฟูได้ไม่ดี ไม่เหมือนเจ้าที่สามารถเดินทางไกลด้วยความยากลำบากได้ แอบไปที่ต้าฉู่แล้วอย่างไร ไม่สมเหตุสมผลสุดท้ายก็พูดไม่ได้ไม่สำเร็จก็ถูกส่งกลับมาเหมือนเดิม”
หนึ่งปีมานี้ ซูเจ๋อฟื้นฟูร่างกายอย่างดีละเอียดรอบคอบ ราชสำนักและอาณาประชาราษฎร์ที่อยู่เบื้องบนเบื้องล่างล้วนดูออกว่าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยให้ความสำคัญกับท่านอ๋องรุ่ยเป็นอย่างมาก
อยู่ระหว่างเหล่าพระราชบุตรทั้งหลาย องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยชื่นชอบที่สุดก็คือท่านอ๋องรุ่ย อย่างนี้ต่อไป อนาคตผู้ใดคือองค์รัชทายาทของเป่ยเซี่ย ยังเป็นสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนต้องดูผ่านการพิจารณาก่อน
ดังนั้นเลยไม่นับว่าประตูและลานบ้านของจวนท่านอ๋องรุ่ยเงียบเหงาวังเวง ยิ่งองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาทด้วยแล้ว และอีกทั้งร่างกายของท่านอ๋องรุ่ยก็ค่อยๆฟื้นฟูอยู่
และมีพระราชบุตรจำนวนหนึ่งที่ประลองฝีมือความเก่งกาจกันอย่างลับๆ ต่างฝ่ายต่างโจมตีซึ่งกันและกัน กระชากฉีกหน้ากันต่อสู้จนหัวร้างข้างแตก
ตั้งแต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของซูเจ๋อกับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ลงรอย มีความเห็นไม่ตรงกัน ก็น้อยที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะมาเหยียบจวนท่านอ๋องรุ่ย
พอวันนี้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมา ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องยุแหย่ให้พวกเขาเกิดการต่อสู้ภายในขึ้น?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ตัวอยู่ราชสำนัก เรื่องการแก่งแย่งอำนาจชิงอำนาจไม่ใช่เรื่องปกติ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสีหน้าดูไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากว่าเจ้าต้องการเข้าราชสำนัก แต่เหตุใดเจ้าต้องจัดกับดักให้เหล่าพี่น้องห้ำหั่นกันเอง?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “เกิดในครอบครัวของกษัตริย์ ความรู้สึกพี่น้องกลายเป็นความสำคัญลำดับรองลงมา สำเร็จเป็นกษัตริย์ พ่ายแพ้เป็นโจรผู้ร้าย เหตุผลนี้ผู้ใดก็เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องลำบากไปจัดทำกับดักหรอก”
ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชบุตรเหล่านั้นเดิมก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก โดยพื้นฐานไม่ต้องให้ซูเจ๋อออกแรงมากมาย เพียงแค่จำเป็นต้องยืมคนที่เข้าออกจวนท่านอ๋องรุ่ยไปชี้นำสักหน่อย อย่างนี้ก็สามารถตีแตกความสมดุลที่ละเอียดอ่อนนี้ได้ และทำให้พวกเขาต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูกัน
ซูเจ๋อไม่ต้องออกหน้า ไม่ต้องพัวพันการเมือง ก็สามารถมองเหล่าพระราชบุตรต่อสู้ตีกันเองแล้ว องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจำใจต้องยอมรับ เขาคลื่นสงัดลมสงบไร้ความกังวลกับความคิดที่ลึกล้ำไกลเกินกว่าที่เหล่าพระราชบุตรนั้นจะเทียบเทียนได้
ตามความเป็นจริง จุดนี้สอดคล้องกับจิตใจขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่สุดแล้ว
แต่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกลัวก็คือกลัวว่าจุดมุ่งหมายของซูเจ๋อที่ทำอย่างนี้ไม่ได้บริสุทธิ์
หากซูเจ๋ออยากที่จะเหมือนพระราชบุตรคนอื่น แก่งแย่งชิงอำนาจอย่างบริสุทธิ์ใจนั่นก็ดี แต่องค์จักรพรรดิรู้นิสัยที่ไม่สนใจแยแสของเขา โดยแก่นแท้เขาไม่ใช่ผู้ที่ลุ่มหลงมัวเมากับการต่อสู้ของราชสำนัก
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวถามเสียงอึมครึมว่า “ซูเจ๋อ สรุปว่าเจ้าคิดจะทำอันใด?”
เป็นอย่างนั้นจริง ซูเจ๋อคิดพิจารณาครู่หนึ่ง เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนเป่ยเซี่ยมีความวุ่นวายภายในอย่างต่อเนื่องราวสิบกว่าปี และวันนี้จะมีการต่อสู้ภายในอีกครั้งหนึ่ง บวกกับด้านนอกที่มีศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างต้าฉู่และเย่เหลียง เกรงว่านับตั้งแต่นี้ต่อไปความไม่สงบก็จะเพิ่มขึ้นสินะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโมโหอยู่ภายในใจ แล้วกล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “นี่เจ้าต้องการแก้แค้นข้า เพื่อหญิงผู้นั้น?เจ้าอย่าลืมล่ะ เมื่อสมัยนั้นผู้ใดช่วยชีวิตเจ้ามาจากความตาย!”
ซูเจ๋อหลุบตาขึ้นมองพระองค์ ในแววตาเล็กเรียวยาวนั่นซ่อนความรู้สึกไว้อย่างมิดชิด ไร้อารมณ์และความสั่นไหว กล่าวอย่างเรียบเฉยขึ้นว่า “เมื่อสมัยอายุยังน้อยตอนที่ปรารถนาให้พระองค์มาช่วยพวกเรา ตั้งแต่ต้นจนจบสุดท้ายพระองค์ก็ไม่มา ต่อมาไม่ปรารถนาแล้ว แต่ทว่าพระองค์มา ในไม่กี่ปีนี้ แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ แต่น้อยที่จะรู้สึกว่ายังมีชีวิตอยู่”
คำพูดของซูเจ๋อทำให้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกหนักหน่วงใจ นานถึงได้กล่าวขึ้นว่า “วันนี้เจ้าโทษว่าข้าขับไล่นางใช่หรือไม่?นางทำร้ายเจ้าจนเป็นเยี่ยงนี้แล้ว หรือว่าภายใจของข้ามิได้เจ็บปวดหรือ ข้าหวังดีกับเจ้านะ”
“นางทำร้ายข้าจนเป็นเยี่ยงนี้?”ซูเจ๋อหรี่ตามองแล้วยิ้มพักหนึ่ง “หากว่าพระองค์ไม่กลั่นแกล้งนาง ทำให้นางอับอาย ก็ไม่มีผลที่ตามมาเยี่ยงนี้หรอกนะ ตอนนี้มานึกถึงเรื่องเหล่านั้น ใจของกระหม่อมรู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมล่ะ เจ้าคือพระราชบุตรของเป่ยเซี่ย บนบ่าของเจ้าแบกเกียรติยศและศักดิ์ศรีของเป่ยเซี่ย และตลอดชีวิตไม่ใช่การที่ถูกหญิงนางหนึ่งก่อกวนไม่หยุด!”
“ตอนนี้ไม่ใช่ว่ากระหม่อมกำลังเป็นตามที่พระองค์ปรารถนาหรือ เช่นนี้วันนี้เหตุใดพระองค์ถึงได้มาซักถามกระหม่อม?”
“ดูแล้วข้าเลี้ยงดูคนอกตัญญูไม่รู้บุญคุณคนอย่างแท้จริง!”
สองพ่อลูกพูดคุยกันจนถึงตอนสุดท้ายไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการเลิกคุยแยกกันอย่างไม่สบอารมณ์
องค์จักรพรรดิต้องการยับยั้งการต่อสู้ภายในของพระราชบุตร วิธีที่ดีที่สุดก็คือการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในเวลานี้ เพียงแค่เลือกองค์รัชทายาทไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็สามารถที่จะสงบลง
แต่ในใจขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคนที่เหมาะสมแก่การเลือกเป็นองค์รัชทายาทนั้นคือซูเจ๋อ แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะและโอกาส
หากเวลานี้แต่งตั้งซูเจ๋อเป็นองค์รัชทายาท สามารถนำหัวหอกและความสนใจทั้งหมดหันเหไปทางซูเจ๋อ อยู่ที่เป่ยเซี่ยเขาไม่ได้มีรากฐานลึกซึ้งเลย องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นกังวลอย่างมาก
อีกทั้ง ได้คุยวันนี้ องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยนับว่าเข้าใจแล้ว ตอนนี้ใจของซูเจ๋อไม่ได้อยู่ที่เป่ยเซี่ย เขาไม่ได้เป็นห่วงพี่น้องราชนิกุลเลยแม้แต่น้อย และจิตใจของเขาแปลกประหลาดเปลี่ยนไปร้อยแปดพันเก้าไม่อาจคาดเดาได้ แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทไม่รู้ว่าอนาคตเป่ยเซี่ยจะโชคดีมีความสุขหรือว่าโชคร้ายหายนะ
เพราะฉะนั้นสรุปว่าจะแต่งตั้งผู้ใดเป็นองค์รัชทายาท ยังต้องคิดพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบใหม่
สุดท้ายองค์จักรพรรดิก็ออกไปจากจวนท่านอ๋องรุ่ยด้วยความโมโหเดือดดาล
ห่างไปไม่กี่วัน ตอนที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยต้องการไปปรับปรุงเสริมกำลังการป้องกันแนวชายฝั่งของเมือง ก็ได้พาซูเจ๋อไปด้วย และพักอยู่ภายในราชนิเวศน์ที่ปลูกสร้างเรียบร้อยแล้ว
เพราะว่าสถานที่นั้นห่างจากทะเลไม่ไกล หลังจากที่เข้าคิมหันตฤดูบรรยากาศผ่อนคลาย อำนวยต่อสุขภาพของซุเจ๋อ และยังมีสิ่งที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกังวลที่สุดคือให้ซูเจ๋ออยู่ที่เมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถือโอกาสตอนที่ตนไม่อยู่ ไม่รู้ว่าเขายังต้องการพัดกระพือคลื่นลมพายุอันตรายอะไรออกมาอีก
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยต้องการให้เขาอยู่ในสายตาของตนเอง และเฝ้าจับตาได้ตลอดเวลา
คอมเม้นต์