ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 677 ทำลงไปแล้ว จะกลัวอะไรกับคำพูดคนอื่น
ซูเซี่ยนหรี่ตาและบอกว่า “เรากำลังพูดถึงท่านพ่อของข้าอยู่ ดูเหมือนคำถามของท่านจะอยู่นอกเหนือการสนทนาของเรานะ”
พวกเขากลับมาถึงพระราชวังตอนเที่ยงตรงพอดี เห็นได้ชัดว่าเฉินเสียนยังไม่กลับมา เธอกับซูเจ๋อยังอยู่ด้วยกันและคงจะไม่กลับมาเร็วๆ นี้
ดังนั้นเฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวจึงต้องไปกินข้าวกลางวันเป็นกับซูเซี่ยน
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ตอนนี้พระองค์ยังโกรธเคืองท่านพ่ออยู่หรือเปล่า ถึงแม้จะสูญเสียความทรงจำ แต่เขาก็ยังอยากกลับต้าฉู่เพื่อไปอยู่กับพวกท่านนะ”
ซูเซี่ยนเงยหน้าขึ้นและถามว่า “ข้าบอกตอนไหนว่าข้าโกรธเคืองเขา”
เฮ่อโยวจึงกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “แล้วเหตุใดท่านยังทำเหมือนโกรธเขาเช่นนี้”
“ข้าก็แค่เตือนเขาให้รู้ว่าวิกฤตมีอยู่ทุกที่ ถ้าเขาไม่กลับไป ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องการแม่ของข้า”
ในตัวเมือง ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเดินแทรกตัวไปมาท่ามกลางฝูงชน เฉินเสียนถูกเขาลากมาอย่างไม่เต็มใจ ข้อมือถูกคว้าไว้ด้วยแรงกำลังที่เธอไม่อาจต่อต้าน
เฉินเสียนกำลังคิดว่าตั้งแนวร่วมกันไว้อย่างดี เตรียมแผนเปลี่ยนกลยุทธ์กันไว้อย่างดี แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญจริงๆ แม้แต่ลูกชายก็ยังทอดทิ้งเธออย่างเมินเฉย นี่เขายังเป็นลูกของเธอใช่ไหมนะ
เธอบังคับตัวเองไม่ให้สนใจในตัวซูเจ๋อ เธอจะคิดถึงอะไรก็ได้ จะมองอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่เธอจะคิดถึงหรือมองเขาไม่ได้
มือข้างที่จับข้อมือของเธอไว้เคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดจะปล่อยเธอไป ภายใต้แขนเสื้อนั้น นิ้วของเขาค่อยๆ ขยับเคลื่อนลงมาจากข้อมือของเฉินเสียน
จนกระทั่งสัมผัสกับมือของเธอ
เฉินเสียนหดนิ้วของตัวเองกลับโดยอัตโนมัติ ทว่าเธอช้าไปหนึ่งก้าว สุดท้ายก็ถูกนิ้วของเขาเกี่ยวกักไว้ไม่ยอมปล่อย จนในที่สุดสิบนิ้วก็ประสานกันไว้แน่น
สัมผัสและอุณหภูมิจากฝ่ามือของเขาซึมซาบเข้ามาบนฝ่ามือของเธอและซึมลึกเข้าไปถึงจิตใจ เฉินเสียนที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังเงยหน้ามองแผ่นหลังของซูเจ๋อ หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยเจ็บปวด ทว่าริมฝีปากกลับแย้มยิ้ม “ต่อหน้าธารกำนัลกลางวันแสกๆ ท่านจูงข้าไปตามถนนเช่นนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะเอาไปนินทาหรืออย่างไร”
ซูเจ๋อเหมือนจะหัวเราะออกมาและบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทำลงไปแล้ว จะกลัวอะไรกับคำพูดคนอื่น”
จนถึงตอนนี้ยังมีอะไรให้ต้องพะว้าพะวังหรือหลบเลี่ยงอีก เขาอยากให้ทุกคนเห็นจะแย่ว่าเขารักที่จะจูงผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน
“ท่านจะพาข้าไปไหน”
“ไม่ได้บอกแล้วหรือว่าจะพาท่านเดินดูให้ทั่ว”
ภายใต้แขนเสื้อนั้น เฉินเสียนพยายามต่อต้านมือของซูเจ๋ออยู่เงียบๆ แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยเลยสักนิด ในใจของเธอทั้งกลัดกลุ้มและขมขื่น ความหวานชื่นที่เธอเคยเรียกร้องในอดีตกลับกำลังแสดงออกมาภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้
เฉินเสียนไม่อาจสงบจิตสงบใจได้เหมือนเขา แม้ว่าเธอจะผ่านประสบการณ์และขัดเกลาตัวเองมามากมาย ถึงแม้จะฝึกฝนจิตใจจนสงบเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูเจ๋อ สุดท้ายแล้วสติของเธอก็ยังกระเจิดกระเจิงได้อยู่ดี
ซูเจ๋อเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพาเฉินเสียนเดินเข้าไป
เฉินเสียนขืนตัวและบอกว่า “ข้าไม่ดูเครื่องประดับ”
ซูเจ๋อที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหันหน้ามามอง สายตาอันลุ่มลึกหยุดมองบนใบหน้าของเธอ เมื่อเห็นกกหูที่กลายเป็นสีแดงเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าอยากดู ได้ไหม?”
“ถ้าอยากดูท่านก็เข้าไปสิ” เฉินเสียนเอ่ยอย่างขัดใจ พร้อมกันนั้นก็ละสายตาออกมา หลีกเลี่ยงที่จะสบตากับเขา
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูเจ๋อต้องลากเธอเข้าไปด้วยแน่นอน ซูเจ๋อหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาดูหลายต่อหลายอันเมื่อเข้ามาในร้าน
ในขณะนั้นเฉินเสียนกำลังนั่งเหม่ออยู่หน้ากระจกทองแดง เธอกำลังจะลุกขึ้นแต่กลับถูกมือหนึ่งกดลงบนไหล่ให้นั่งลงตามเดิม
เธอมองผ่านกระจกทองแดงและเห็นรางๆ ว่าซูเจ๋อยืนอยู่ข้างหลังเธอ มีปิ่นปักผมอันหนึ่งติดอยู่บนนิ้วที่ขาวสะอาดนั้น จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ปักปิ่นนั้นลงมาบนผมของเธอ
เฉินเสียนตั้งสติไม่ได้
ซูเจ๋อโน้มตัวลงมาช้าๆ ขยับเข้ามาใกล้ลำคอของเธอ มองลึกเข้าไปในดวงตาฉ่ำน้ำผ่านกระจกทองแดง
กลิ่นไม้กฤษณาจางๆ ทำให้เฉินเสียนหายใจติดขัด เธอรีบก้มหน้าลงให้ห่างจากเขา พร้อมกันนั้นก็เอื้อมมือไปสัมผัสปิ่นปักผมและเอ่ยอย่างขบขันว่า “ท่านคิดจะมอบปิ่นปักผมให้ข้าหรือ”
เธอกลัวจริงๆ ว่าตนเองจะทนไม่ไหวและเผลอตัวเข้าใกล้เขา
ซูเจ๋อถามว่า “ให้ไม่ได้หรือ” เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนจะหยิบมันออก เขาจึงพูดอีกว่า “ข้าจ่ายเงินไปแล้ว อยากจะทิ้งหรือเก็บไว้แล้วแต่ท่านเถิด” เขาพูดต่อหน้าเฉินเสียน จากนั้นจึงดึงปิ่นไม้ของเธอออกมาและซุกเก็บไว้ในอกของตัวเอง
เฉินเสียนเงียบไปครู่หนึ่ง ผมเธอจะยุ่งเหยิงจนออกไปไม่ได้ถ้าไม่มีปิ่นปักผมม้วนผมไว้ ครั้นแล้วเธอจึงละทิ้งความคิดที่จะดึงปิ่นปักผมออก
หลังจากนั้นซูเจ๋อจึงพาเธอไปกินอาหารกลางวัน
เมืองชิงไห่อยู่ติดทะเล แน่นอนว่าภายในเมืองจะต้องมีอาหารทะเลรสเลิศมากมาย ซึ่งอาหารทะเลที่สดและรสชาติอร่อยที่สุดก็คืออาหารจำพวกกุ้งและปูที่งมขึ้นมาสดๆ จากท้องทะเล
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนไปถึงชายฝั่งแห่งหนึ่ง ที่ชายหาดมีเพิงที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเปิดเป็นแผงขายของมากมาย ในเพิงเหล่านั้นกำลังนึ่งอาหารทะเลจนได้กลิ่นหอมกรุ่นลอยมาแต่ไกล
หลายคนในเมืองนี้ชอบมาที่นี่เพื่อกินอาหารทะเลเพราะมีวัตถุดิบสดใหม่ แม้ขั้นตอนการปรุงจะไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน แต่แค่รสชาติดั้งเดิมของอาหารก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้น้ำลายสอ
ณ เวลานั้นแสงแดดด้านนอกสว่างจ้า ทั้งสองคนเข้าไปนั่งในเพิงหลังหนึ่ง ในร้านโรยพื้นด้วยหินกรวดซึ่งทำให้ค่อนข้างสบายเท้าเมื่อก้าวเข้าไป
เถ้าแก่ถามพวกเขาว่าอยากกินอะไร ซูเจ๋อจึงบอกว่าอยากได้อาหารขึ้นชื่อของพวกเขา
เฉินเสียนไม่พูดอะไรสักคำ
ซูเจ๋อจึงถามว่า “ไม่ชอบสถานที่แบบนี้หรือ”
เฉินเสียนจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนซูเจ๋อเคยพาเธอไปกินอาหารที่ร้านแผงลอยธรรมดาๆ แบบนี้ ทำให้เธอได้กินบะหมี่ถงซินซึ่งเธอยังจำได้ไม่มีวันลืม
ริมฝั่งแม่น้ำหยางชุนแห่งนั้นก็เหมือนกับชายทะเลในตอนนี้ เป็นที่ที่ใครๆ ก็มาได้และเธอกับเขาก็ไม่ต่างจากอะไรจากชาวบ้านทั่วๆ ไปเลย
ตอนนั้นเฉินเสียนรู้สึกว่าซูเจ๋อแตกต่างจากคนอื่น เขาเดินเข้าออกตลาดได้โดยไม่สนใจใคร มีความเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งความสง่างาม ไม่ใช่แค่เพียงผิวเผิน แต่ลึกซึ้งเข้าไปถึงจิตใจ
ยังคงเป็นเหมือนอย่างที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้
เมื่อเฉินเสียนไม่ตอบ ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ถ้าไม่ชอบ งั้นข้าจะพาท่านไปที่อื่น”
ยังไม่ทันขยับตัว เฉินเสียนก็คว้าชายเสื้อของเขาไว้และปล่อยแทบจะทันที “ในเมื่อท่านพาข้ามาแล้ว จะคาดเดาไม่ถูกได้อย่างไรว่าข้าชอบหรือไม่ชอบ ท่านเป็นคนประเภทที่ไม่ตระเตรียมอะไรล่วงหน้าหรืออย่างไร”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาพาเธอไปกินบะหมี่ถงซิน แม้แต่เหรียญที่พกไปเขายังคำนวณไว้พอดิบพอดี
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้าจำรสชาติอาหารที่ท่านชอบไม่ได้ แต่แค่อยากพาท่านมาลองชิมอาหารท้องถิ่นของที่นี่ ซึ่งท่านอาจจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้”
เฉินเสียนพยักหน้าและบอกว่า “ก็จริง… ท่านจำอะไรไม่ได้เลย”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะจำไม่ได้ตลอดไป” ซูเจ๋อเอ่ยเบาๆ ราวกับจะปลอบเธอ “หมอผีบอกว่า สักวันหนึ่งความทรงจำของข้าอาจจะค่อยๆ กลับคืนมา”
ในตอนนั้นเอง ปูทะเลที่เพิ่งนึ่งสดๆ ร้อนๆ ก็ถูกยกมาวางลงบนโต๊ะ แต่ละตัวทั้งใหญ่ทั้งอ้วนพี ทว่ากระดองนั้นแหลมคม ดูแล้วเหมือนจะไม่มีทางลงมือกินได้เลย
ซูเจ๋อทำความสะอาดมือและหยิบปูขึ้นมาตัวหนึ่ง เฉินเสียนมองดูนิ้วของเขาที่กำลังแกะกระดองปูและดึงเนื้อปูสีขาวนวลออกมา จากนั้นจึงวางลงในชามของเฉินเสียน
เขาแกะปูทะเลด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ นิ้วเรียวยาวซึ่งโค้งงอเล็กน้อยดูเหมือนจะมีแรงกำลังมากกว่าที่เฉินเสียนคิด กระดองปูแข็งๆ ถูกกะเทาะออกมาด้วยมือของเขา เฉินเสียนได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วนั้น
ต้องยอมรับว่าท่าทางการแกะปูของเขาดูดีมากจริงๆ ดูดีจนรู้สึกว่าแค่ได้ชื่นชมการแกะปูของเขาก็เพียงพอแล้ว
ซูเจ๋อดูเหมือนจะจดจ่ออยู่กับมือของตัวเอง ทว่าริมฝีปากกลับวาดเป็นเส้นโค้งและเอ่ยว่า “อึ้งอะไรอยู่หรือ ถ้าไม่กินจะเย็นชืดเอานะ”
คอมเม้นต์