ข้าคือหงส์พันปี – ตอนที่ 700 ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ
สายตาของเขาไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย และมองเฉินเสียนอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด
บรรยากาศบนท้องพระโรงกดดันเป็นอย่างมาก องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเลยเอ่ยปากกล่าวถามก่อน “ไม่กี่วันมานี้ท่านอ๋องรุ่ยไปไหนหรือ?”
ซูเจ๋อมองเฉินเสียนแล้วกล่าวตอบว่า “ไปล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนแสยะริมฝีปากเยาะเย้ยขึ้น
เป็นอย่างที่คิดไว้ สองวันมานี้ที่รอเขากลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายคล้ายดั่งเป็นเรื่องตลก
โดยคร่าวๆแล้วเขาไม่ได้สนใจว่าตนเองรอเขาอยู่หรือไม่
ต่อมาเหลียนชิงโจวได้เคลื่อนย้ายเหล้ามาบนท้องพระโรง แต่ละไหตั้งเรียกรายอยู่บนท้องพระโรง ตามด้วยนางกำนัลแบ่งใส่กาเล็ก ส่งมอบไปตั้งบนโต๊ะขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและขุนนาง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องไม่ดี นางกำนัลที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ใช้เข็มเงินจุ่มลงไปในเหล้าเพื่อทดสอบ ไม่มีพิษ
เหลียนชิงโจวชูจอกขึ้นเคารพคารวะทุกคน หลังจากที่เหล้าจอกหนึ่งลงไปในท้องแล้ว เหล่าขุนนางของเป่ยเซี่ยกล่าวชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นเหล้าที่ดีจริงๆ!”
แน่นอนว่าเป็นเหล้าที่ดี มองดูพวกเขาดื่มไปเท่าไหร่แล้ว เมื่อก่อนเฉินเสียนดื่มเหล้าของเหลียนชิงโจวแล้วเคยเสียเปรียบด้วย
เหลียนชิงโจวกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เหล่าใต้เท้าทั้งหลายชื่นชอบก็ดื่มให้มากสักหน่อย”
เฉินเสียนมองเหล้าที่เต็มจอกวางอยู่บนโต๊ะ แม้ว่าเธออยากจะลิ้มลองรสชาติของเหล้าเก่าแก่นี่สักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สัมผัส ยกเพียงแค่ถ้วยน้ำชาขึ้น กล่าวกับเฮ่อโยวว่า “หากวันนี้พวกเจ้าสามารถทำให้ฝั่งตรงข้ามเมาล้มคว่ำได้ กลับไปต้าฉู่ข้าจะรางวัลให้อย่างมากมาย”
ผลสรุปหลังจากที่ผลักจอกแลกถ้วยกัน มีขุนนางเป่ยเซี่ยส่วนหนึ่งได้เมามายไม่ได้สติไปแล้ว และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยืนหยัดดึงสติไว้อยู่
แน่นอนว่าการเข้าสังคมคบค้าสมาคมของเหลียนชิงโจวนั้นมีทักษะที่เยี่ยมยอด ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ล้ำเลิศ ตอนที่ฝั่งตรงข้ามเริ่มลิ้นคับปากพูดไม่ชัด เขายังคงมีสติดังเดิม และหรี่สายตาจิ้งจอกคู่นั้นมอง
ขุนนางของเป่ยเซี่ยอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็พูดถึงเรื่องการมาคืนดีปรองดองกันของต้าฉู่กับเป่ยเซี่ย
ในมือของเฉินเสียนเล่นถ้วยชาอยู่ กล่าวอย่างพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า “เจริญสัมพันธไมตรีกับเป่ยเซี่ย ต้าฉู่ของข้าจะได้รับคุณประโยชน์อันใด?”
ประโยคเดียวทำให้ขุนนางเป่ยเซี่ยหยุดนิ่งไป
ขุนนางเป่ยเซี่ยรีบตั้งสติ กล่าวตอบว่า “ทั้งสองเมืองมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนไม่มี นี่เป็นการทำสิ่งที่ดีต่ออาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมือง หากพูดว่ามีคุณประโยชน์อะไรที่ดี นั่นแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่อาณาประชาราษฎร์สนับสนุน โหยหาปรารถนาให้ผนึกรวมกัน เพียงแค่อาณาประชาราษฎร์สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมีความสุข ก็เป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ”
เฉินเสียนฟัง แล้วกระตุกริมฝีปากขึ้น กล่าวว่า “หลังจากที่อาณาประชาราษฎร์ต้าฉู่ของข้าไม่ได้ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนไม่มีแล้วนั้น ยังคงสงบมีความสุขเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลใจพะว้าพะวัง แต่หลังจากที่สัมพันธไมตรีของต้าฉู่กับเย่เหลียงดีแล้ว อาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมืองแลกเปลี่ยนกันบ่อยมาก ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ”
ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่พักอยู่ที่เป่ยเซี่ยช่วงนี้ ก็เคยเห็นอาณาประชาราษฎร์ของเป่ยเซี่ยซื่อสัตย์สุจริตและสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวล หรือว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ไม่อยากเห็นเล่าอาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมืองมีน้ำใจไมตรีรักใครฉันมิตรอย่างนี้ต่อไปหรือพ่ะย่ะค่ะ? เป่ยเซี่ยกับต้าฉู่เป็นสหายที่ช่วยเหลือและเอื้อผลประโยชน์ต่อกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซวิ่นตอบกลับว่า “เหล่าอาณาประชาราษฎร์เย่เหลียงของข้าซื่อสัตย์สุจริต มีน้ำใจไมตรีรักใคร่ฉันมิตรเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเมือง จะมีมิตรภาพตลอดไปที่ไหนกัน มีเพียงแค่ผลประโยชน์ตลอดไปหรอก”
เฉินเสียนหรี่ตามองแล้วชื่นชมเขาว่า “ข้าคิดว่าองค์ชายหกพูดถูกต้อง”
เย่ซวิ่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาท่านที กล่าวอีกว่า “อีกทั้งอาณาประชาราษฎร์ของเป่ยเซี่ยซื่อสัตย์สุจริต แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับต้าฉู่? ข้ามองว่าเป็นเพราะองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ปิดกั้นการค้าขายของทั้งสองเมือง ทำให้สินค้าของเป่ยเซี่ยขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ และสินค้าของต้าฉู่เข้าไปไม่ได้อีก ยากที่จะทำให้เป่ยเซี่ยได้รับผลประโยชน์? ข้าได้ยินมาว่าเป่ยเซี่ยของพวกท่านมีสถานที่จำนวนไม่น้อยเลยที่เลี้ยงแกะเลี้ยงวัว หลังจากไหลเวียนถ่ายเทกับต้าฉู่น้อยลง ทำให้มีผลกระทบค่อนข้างมาก”
ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวด้วยความร้อนใจว่า “องค์ชายหกกำลังยุแหย่ ทนเห็นเป่ยเซี่ยกับต้าฉู่เจริญสัมพันธไมตรีกันไม่ได้ แต่ทั้งสองเมืองมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน มีความลึกซึ้งกันมาตั้งแต่อดีตแหล่งที่มามีบรรพบุรุษเป็นหลักฐานยืนยัน”
เย่ซวิ่นกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “บรรพบุรุษเป็นหลักฐานยืนยันอะไร พูดมาฟังสิ”
เป็นไปอย่างที่คิดขุนนางเป่ยเซี่ยพูดอย่างคล่องแคล่วว่า “ที่ผ่านมาก็มีการเกี่ยวดองกันคือองค์หญิงเหวินเฉิงแต่งมาที่ต้าฉู่ เป็นแบบอย่างที่ดีของทั้งสองเมืองตลอดไป องค์หญิงเหวินเฉิงเป็นพระธิดาบุญธรรมขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ยิ่งกว่านั้นเป็นเสด็จแม่แท้ๆขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เมื่อสมัยนั้นต้าฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน หากไม่ใช่องค์จักรพรรดิของข้าตั้งทัพบริเวณชายแดนเพื่อทำให้พวกทหารที่ก่อความวุ่นวายในต้าฉู่เกรงกลัว จะมีองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างวันนี้มาได้อย่างไร? พอกล่าวมาเช่นนี้ ต้าฉู่กับเป่ยเซี่ยช่วยเหลือเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ประคับประคองซึ่งกันและกัน ตอนนี้การคืนดีปรองดองกันเป็นการสืบสานอดีตที่เป็นมา ทั้งสองเมืองมีเพียงประโยชน์ไม่มีการทำร้ายกันพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซวิ่นนำหัวข้อสนทนามาถึงขั้นนี้ เขายิ้มเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก กล่าวว่า “อ้อ เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมเลย องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ยังมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันเช่นนี้กับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอยู่ด้วย
ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เย่ซวิ่นมองไปทางซูเจ๋อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างชอบใจ เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับสายตาที่ซูเจ๋อมองเฉินเสียนอยู่ตลอดเวลา กล่าวอีกว่า “เช่นนั้นท่านอ๋องรุ่ยเป็นลูกชายแท้ๆขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ตามการนับรุ่นในวงเครือญาติก็เป็นน้าขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่นะสิ? น้าจ้องมองหลานสาวอยู่ตลอด ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่?”
เฉินเสียนหลุบตาขึ้น สบตากันกับซูเจ๋อชั่วประเดี๋ยวเดียว เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวถามว่า “บนใบหน้าของข้ามีสิ่งใดหรือ?”
เย่ซวิ่นตั้งใจมองใบหน้ของเธอเช่นกัน กล่าวว่า “ไม่มีนะ
เฉินเสียนหัวเราะเยาะเย้ยขึ้น
บนใบหน้าของซูเจ๋อไม่มีอารมณ์แสดงออกมา งอนิ้วกอบกุมจอกเหล้าเปล่าที่อยู่บนโต๊ะแล้วเคาะสองครั้ง นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างยกกาเหล้ามาด้านหน้า แล้วเทเหล้าลงไปในจอกให้กับเขา
เฉินเสียนเห็นนิ้วมือเรียวขาวสะอาดของเขายกจอกเหล้าขึ้น ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างเรียบเฉยก็เลือนรางจางหายไป
ตอนที่น้ำเหล้าเข้าไปในปาก เฉินเสียนยังได้ยินเสียงของตนเองกำลังกล่าวว่า “ท่านอ๋องรุ่ยป่วยหนักเพิ่งจะหาย ดื่มเหล้าแล้วเหมาะสมหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “มิเป็นไร เหมาะสมที่จะดื่มเหล้า สามารถหมุนเวียนเลือดพลังในร่างกายไม่ติดขัด”
แต่เธอจำได้ว่าเขาไม่ดื่มเหล้า ในเมื่อเขาไม่ชอบ เหตุใดยังต้องไปสัมผัสมัน?
แต่บางทีอาจเป็นเมื่อก่อนไม่ชอบ ตอนนี้ชอบแล้ว
ครั้นแล้วเฉินเสียนเลยกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าใช้ชาแทนเหล้า อวยพรให้ท่านอ๋องรุ่ยหายเป็นปกติในเร็ววัน”
ซูเจ๋อเทเหล้าลงจอกที่สอง แต่ทว่าเลิกคิ้วกล่าวว่า “ใช้ชาแทนเหล้า?ข้าจำได้ว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ดื่มเหล้า”
เฉินเสียนหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ตอนที่อยู่คนเดียว ไม่ดื่มเหล้า”
“ตอนที่อยู่คนเดียวหรือ”นิ้วมือของซูเจ๋อชะงัก ทันทีหลังจากนั้นยกจอกเหล้าขึ้น น้ำเหล้าลงคอ เขากล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เหล้านี้รสชาติไม่เลวนะ”
แต่ทว่าเฉินเสียนมองแล้วเจ็บปวดหัวใจ เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เธอปกป้องไม่ให้คนอื่นบีบบังคับเขาดื่มเหล้ามอมเหล้าเขา เธอรักและคำนึงถึงร่างกายของเขา รักและคำนึงถึงความชอบของเขา แล้วเหตุใดเขาถึงไม่รักและคำนึงตนเอง?
เย่ซวิ่นกล่าวอีกว่า “เมื่อครู่พูดถึงไหนแล้ว? อ้อ พูดถึงตอนที่ว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ควรจะเรียกท่านอ๋องรุ่ยว่าน้า แต่นี่เหมือนว่าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกับองค์จักรพรรดิต้าฉู่มีความแค้นกันมาก่อน เพราฉะนั้นตอนนี้ถึงได้พูดถึงเรื่องอะไรนะองค์หญิงเกี่ยวดอง ใช่หรือไม่ว่าเชยเกินไปแล้ว? องค์หญิงที่เกี่ยวดองท่านนั้น ก็เป็นเสด็จแม่ขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ ไม่ใช่ว่าสิ้นพระชนม์ไปนานแล้วหรือ อย่างไรคนก็ไม่สามารถนึกถึงสิ่งที่ผ่านไปอยู่ตลอด อยากจะดูต้องดูปัจจุบันทันที”
ขุนนางเป่ยเซี่ยไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ต่อให้เป็นสหายเก่าก็นับว่าเป็นสหาย นั่นก็เป็นบุคคลที่เป็นประจักษ์พยานรู้เห็นความเป็นมิตรสหายของทั้งสองเมือง !จะยอมให้บุคคลภายนอกมาพังทลายได้อย่างไร!”
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “แต่ตอนนี้ที่เกี่ยวดองกับต้าฉู่เหมือนว่าจะไม่ใช่เป่ยเซี่ย แต่เป็นเย่เหลียง เป็นมิตรสหายที่ดีกับต้าฉู่ก็คือเย่เหลียง”เขายิ้มแล้วเข้าใกล้ตัวของเฉินเสียน กล่าวว่า “ข้ากับองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่อารมณ์ผูกพันลึกซึ้งและยาวไกล เมื่อเทียบกับพวกท่านเป่ยเซี่ยที่เป็นญาติบุญธรรมตามความชอบธรรมน่าจะมั่นคงจริงจังกว่า”
เฉินเสียนหนวกหูจนปวดหัว กล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งสองเมือง จะสามารถพูดตัดสิ้นชี้ขาดกันง่ายๆบนโต๊ะเหล้าได้อย่างไรกัน หากองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมีใจ รอหลังจากที่ข้ากลับต้าฉู่แล้ว สามารถแต่งตั้งส่งราชทูตมาคุยกับข้าได้”
ขุนนางเป่ยเซี่ยทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูอย่างนี้แล้วยังมีโอกาส
แต่ทว่าสีหน้าของเย่ซวิ่นเปลี่ยน หากว่าต้าฉู่กับเป่ยเซี่ยเริ่มมีสัมพันธ์กันทางทูตอีกครั้ง นั่นเป็นการไม่เอื้อผลกับเย่เหลียงเลย
ผู้ใดก็ไม่รู้ความคิดที่อยู่ในใจของเฉินเสียน หากไม่มาที่นี่ล่ะก็ เธออาจจะไม่มีทางเจริญสัมพันธไมตรีกับเป่ยเซี่ยอย่างแน่นอน เพราะว่าเธอมีเจตนาที่เห็นแก่ตัวอยู่ เธอมีจุดมุ่งหมาย
เจตนาที่เห็นแก่ตัวของเธอคิดว่า หลังจากที่เธอใช้อำนาจบีบบังคับเป่ยเซี่ยจนถึงระดับที่แน่นอนแล้ว เธอสามารถทำให้เป่ยเซี่ยจำใจต้องเห็นด้วย และให้ซูเจ๋อกลับมาที่ต้าฉู่
หากสุดท้ายซูเจ๋อยังเลือกที่จะอยู่ที่เป่ยเซี่ยล่ะก็ เธอทำเพื่อสิ่งที่ดีต่อเขาได้จริงๆ ไม่มีทางที่จะโต้แย้งและแย่งชิงอีก อยากให้เขาสบายดี ก็ต้องทำให้เป่ยเซี่ยสงบสุข เธอยินยอมที่จะเป็นมิตรสหายที่ดีกับเป่ยเซี่ยในช่วงที่มีชีวิตอยู่
แต่พอจิตใจว้าวุ่น ตรงหน้าก็มืดดับลงทันที
เฉินเสียนเปิดเปลือกตาขึ้น เห็นซูเจ๋อยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะของเธอ ซูเจ๋อจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง แต่ทว่ากล่าวกับซูเซี่ยนที่อยู่ด้านข้างว่า “อาเซี่ยน เปลี่ยนสลับที่กัน”
ซูเซี่ยนกำลังจะลุกขึ้น เฉินเสียนกล่าวว่า “ฝั่งตรงข้ามเป็นที่นั่งคนของเป่ยเซี่ย เจ้าก็อยากจะไปนั่งหรือ?”
ซูเซี่ยนคิดแล้วคิดอีก เงยหน้ามองซูเจ๋อแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ไปนั่งฝั่งตรงข้าม แต่สามารถถอยให้ท่านพ่อได้ครู่หนึ่ง”
ก่อนที่เฉินเสียนจะเอื้อมมือไปรั้งซูเซี่ยน ร่างน้อยของซูเซี่ยนก็ถอยไปด้านหลังอย่างว่องไว้แล้ว หลังจากนั้นอ้อมผ่านเย่ซวิ่น เบียดไปที่โต๊ะของเฮ่อโยวกับเหลียนชิงโจว
ซูเจ๋ออ้อมผ่านมุมโต๊ะของเฉินเสียน นั่งลงข้างเธออย่างสงบ
บนตัวของเขามีกลิ่นอายที่ชุ่มฉ่ำเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนๆของไม้กฤษณารวมคละคลุ้งกันกับความหอมของเหล้า เป็นความรู้สึกที่พูดอธิบายออกมาไม่ได้ คล้ายดั่งมีรสชาติอารมณ์ทะลวงเข้าไปในสัมผัสทั้งห้าของเธอ
มือที่อยู่ใต้โต๊ะยืนออกมาทันใดนั้นได้จับที่มือของเฉินเสียนไว้ เธอหลบหลีกไม่ทัน ถูกคุมกดไว้บนหัวเข่าของตนเอง
เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก ออกแรงดิ้นรนอยู่ใต้โต๊ะ ดิ้นรนสะบัดไม่หลุด เขากลับกอบกุมแน่นขึ้น แต่ทว่าใบหน้านิ่งสงบราวกับไม่มีอะไร
เฉินเสียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ท่านอ๋องรุ่ยกรุณาระมัดระวังการกระทำของตนเองด้วย”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “อืม ข้าทำไม่เป็น ท่านสอนข้าหน่อยสิ”
เฉินเสียนก็เลยใช้มืออีกหนึ่งข้างของเธอเอื้อมเข้าไปใต้โต๊ะ ทั้งสองมือออกแรง พยายามที่จะหลุดจากเขา
ผลสรุปมือของทั้งสองคนที่อยู่ใต้โต๊ะต่างฝ่ายต่างต่อต้านกันขึ้นมา ต่อสู้กันอย่างลับๆ อาหารที่อยู่บนโต๊ะมีเสียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนหมู่มาก
ต่อมาเฉินเสียนเห็นเขาพัวพันตอแยไม่หยุด รู้หากว่าหากไม่แข็งแกร่งสักหน่อยนั้นก็หลุดออกจากเขาไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เลยเอาจริงเอาจัง มือสลับกันไปมา อยู่ในขอบเขตบริเวณโต๊ะเล็ก มีการใช้ฝ่ามือกำปั้นเกิดขึ้น
น่าขบขันนะ ชายผู้นี้ สูญเสียความทรงจำก็สูญเสียไปแล้ว แต่ทว่าฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เลือนหาย
แรงกำลังและการเคลื่อนไหวบนมือของเขา หยุดยั้งเธอได้ทุกที่
เห็นอาหารบนโต๊ะยิ่งมีการสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ค่อยๆดึงดูดสายตาของผู้คนบนท้องพระโรง มองการเคลื่อนไหวบริเวณโต๊ะที่ไม่มีทีท่าจะหยุดอยู่อย่างเงียบๆไร้การเปล่งเสียงออกมา
จนถึงตอนสุดท้าย ฉับพลันพลังแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนนี้จะทำให้โต๊ะที่อยู่ด้านหน้าพลิกคว่ำลง
คนหนึ่งเก็บงำซ่อนไว้อย่างมิดชิด คนหนึ่งโมโหจนจะระเบิดออกมา
เฉิยเสียนหัวเราะแล้วมองซูเจ๋อ หางตาแดงก่ำ กัดฟันกรอดกล่าวว่า “เป็นข้าที่คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องรุ่ยจะไร้เหตุผลเยี่ยงนี้”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “วันนี้เพิ่งจะมาทำให้ท่านพบเจอได้ ข้าก็เสียใจอย่างมาก”
”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ทุกคนมองอยู่ อย่างไร ท่านจะจับข้าไม่ปล่อยถึงเมื่อไหร่?”ในดวงตาของเธอดื้อรั้น ยั่วยุซูเจ๋อโดยการกระตุกริมฝีปากแดงฉ่ำแล้วหัวเราะ กล่าวว่า “หรือว่าต้องการให้ข้าเรียกท่านอ๋องรุ่ยว่าน้าจริงๆ ท่านอ๋องถึงจะยอมวางมือยุติเรื่องราวใช่หรือไม่? ”
ซูเจ๋อหรี่ตามอง แววตาอึมครึมมองเธอ ไม่รู้เป็นแสงไฟสาดสะท้อนหรือว่าภายใต้แววตาของเขานั้นมีเปลวไฟปะทุขึ้นมา ราวกับว่าช่วงเวลาถัดไปก็จะแผดเผาลุกโชนขึ้นมา นำเธอกลืนกินเข้าไป
ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าว่า “ท่านกล้าเรียกก็ลองดู”
เฉินเสียนยิ้มเยาะเย้ย กล่าวว่า “นี่ ข้าทำไมจะไม่กล้า ท่านอ๋องรุ่ยคิดว่าข้ากลัวท่านหรือ ”เธอจ้องมองแววตาของเขา เธอรวบรวมกำลังแสนยานุภาพทั้งหมดของตนเองขึ้นมา ไม่อยากให้เขาเห็นตนเองอ่อนแอแม้แต่น้อยอีกแล้ว เธอเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้า.…….”
แต่ทว่า พูดออกมาได้แค่คำเดียว ท้องพระโรงก็เงียบวังเวง ตามมาด้วยเสียงหอบแฮกเป็นระยะ
คำที่เหลือนั้น เฉินเสียนพูดไม่ออก เธอพยายามออกแรงเบิกตาจ้องมอง แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ตัดสินใจแน่แน่วแล้ว สุดท้ายก็ถูกซูเจ๋อนำทั้งหมดอุดไว้ในลำคอ
เธอแข็งทื่อทั้งตัว
คิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนคนมากมายเช่นนี้ เขาเอนเอียงตัวมาทันที ใช้มือข้าหนึ่งจับประคองท้ายทอยของเฉินเสียน ก้มศีรษะเอียงลงปลายจมูกเธอ แล้วจูบอย่างดื่มด่ำดุเดือดบ้าคลั่ง
ขุนนางทั้งหมดของเป่ยเซี่ยตะลึงงันแข็งทื่อราวกับหุ่นไก่ แม้แต่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่อยู่บนบัลลังก์มังกรยังตะลึงงันอยู่เนิ่นนานจนพูดไม่ออก
คล้ายดั่งว่าเฉินเสียนใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มี ถึงผลักเขาออกได้ กล่าวออกมาด้วยน้ำสั่นเครือว่า “ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”
จนกระทั่งมือที่สั่นเทาไม่มีแรงของเธอลูบสัมผัสกลิ่นอายบริเวณริมฝีปากที่เขาฝากฝัง และก็ถูกซูเจ๋อจับไว้
ซูเจ๋อออกแรงดึงให้เธอลุก นิ้วมือเรียวยาวจับที่ข้อมือของเธอแน่น แล้วลากเธอออกไปด้านนอกท้องพระโรง กล่าวว่า “ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ”
คอมเม้นต์