Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 9 หุบเขามังกรปีศาจ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 9 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 9 หุบเขามังกรปีศาจ

ณ ยอดเขาเมฆาอินทนิล…เยี่ยฉวนเริ่มเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตนหลังกลับจากหอศาสตราวุธ

เขาต้องเตรียมพร้อมเพื่อเข้าร่วมการประลองครั้งใหญ่ระหว่างศิษย์ทั้งสามสำนักในสนามประลองเมฆาวาโยที่ไกลออกไปหนึ่งร้อยลี้

ตัวอักษรคำว่า คืบอรุณ ปรากฏขึ้นหลังจากเยี่ยฉวนปัดฝุ่นออก สายตานั้นจับจ้องตัวอักษรพร้อมลูบไล้มันอย่างเบามือ

ความทรงจำครั้งที่ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณมาพบ ก่อนที่จะเอ่ยขอให้เขาชี้แนะวิธีการฝึกยังแจ่มชัดอยู่ในใจ…

ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณมีเคล็ดวิชาคืบอรุณติดตัวมาแต่กำเนิด เยี่ยฉวนใช้เวลาศึกษามันอย่างพิถีพิถันและเป็นผู้ชี้แนะ ทำให้เคล็ดวิชาของกระต่ายเฒ่ามีระดับสูงขึ้นและก้าวขึ้นไปยังจุดสูงสุดในเวลาต่อมา จนกลายเป็นเจ้าสำนักรุ่นแรกที่คนอื่นๆ รู้จักกันในนาม ‘มหาปราชญ์หัตถ์วิญญาณ’

กระต่ายที่เจ้าเล่ห์อาจมีสามโพรง ทว่าราชาโอสถหัตถ์วิญญาณนั้นหาใช่เพียงกระต่ายเจ้าเล่ห์พวกนั้น เขาเป็นกระต่ายเฒ่าที่มีความละเอียดอ่อนยิ่ง เนื้อหาส่วนใหญ่ในเคล็ดวิชาคืบอรุณอาจชวนให้เข้าใจผิดว่าไร้ประโยชน์ ทว่าแท้จริงมีเคล็ดลับสามข้อซ่อนอยู่ในทุกๆ สามหน้า สามประโยค และสามคำ

แม้เยี่ยฉวนล่วงรู้เคล็ดลับที่ซ่อนอยู่ในตำราของราชาโอสถหัตถ์วิญญาณแต่ก็ยังใช้เวลาเรียบเรียงถึงครึ่งชั่วยาม ครั้นศึกษาจนจำได้ทุกตัวอักษรแล้วจึงเผาตำราทิ้ง เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น แขนทั้งคู่ตรงนิ่ง มือขวาใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบใบมีดบางและเริ่มหมุน

เริ่มแรกใบมีดค่อยๆ หมุนช้าๆ และติดขัดเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็เคลื่อนเร็วขึ้นโดยที่แขนกับข้อมือไม่ขยับเลย ด้วยนิ้วมือเพียงไม่กี่นิ้วส่งผลให้ใบมีดนั้นหมุนเคว้งอย่างรวดเร็ว หากขยับเพียงนิดใบมีดนั้นก็สามารถเชือดเฉือนและเคลื่อนไหวไปมาในอากาศ

ความแกร่งฉกาจของเคล็ดวิชาคืบอรุณใกล้จะปรากฎออกมาแล้ว!

จุดเด่นของเคล็ดวิชาคืบอรุณคือการปะทุพลังรุนแรงออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งการโจมตียังรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต! หากเขาใช้ใบมืดนี้ในระหว่างการประลองก็จะสามารถตัดเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอของฝ่ายตรงข้ามได้ในพริบตา!

เยี่ยฉวนนั่งลงแล้วเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกฝนอีกครั้ง ไม่นานใบมีดในมือเขาก็เพิ่มจำนวนเป็นสอง สาม และสี่เล่ม มือทั้งสองที่ปรากฎใบมีดถึงสี่คู่ค่อยๆ ขยับ ในปากของเขาก็มีใบมีดอยู่เช่นกัน หากแลบลิ้นออกมาจะเห็นใบมีดส่องประกายแวววับ ใบมีดทั้งเก้าหมุนด้วยความเร็วสูงพร้อมแผ่รัศมีสังหารอันเย็นเยียบออกมาโดยที่เขาไม่ขยับร่างกายแม้แต่น้อย อีกทั้งดวงตาทั้งสองยังปิดสนิท

แมลงวันตัวหนึ่งไม่สามารถอดทนต่อจิตสังหารที่รุนแรงนั้นได้ มันพุ่งทะยานออกจากมุมห้องและบินผ่านหน้าของเยี่ยฉวนไปด้วยความเร็วสูง

ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท ทว่าหูของเขากลับกระดิกตอบสนองเมื่อได้ยินเสียง ใบมีดพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงเฉียดผ่านลำตัวของแมลงนั้นในทันใด!

ราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอันตราย แมลงวันเร่งความเร็วของปีกจนถึงขีดสูงสุด

ครั้งนี้ใบมีดอีกเล่มพุ่งออกมาจากมือเยี่ยฉวนตัดปีกซ้ายของแมลงวันจนขาดครึ่ง!

แมลงตัวเดิมร่วงลงบนโต๊ะและส่งเสียงหึ่งๆ มันพยายามบินไปทางหน้าต่างอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับบินส่ายไปมา

“หึ่งๆ!” ขณะที่แมลงวันตัวนั้นบินไปจนเกือบจะออกจากหน้าต่าง เยี่ยฉวนก็พ่นใบมีดออกจากปากลอยพุ่งตรงไปตัดกลางลำตัวจนขาดสองท่อน

“น่าเสียดายนักที่ข้ายังไม่สามารถควบคุมเคล็ดวิชานี้ได้อย่างชำนาญพอ”

เขามองซากแมลงบนขอบหน้าต่างพลางส่ายศีรษะก่อนเก็บใบมีดทั้งเก้าเล่ม เขาหยิบขวดแก้วใสที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู แม้เวลาจะผ่านไปสองวันแล้ว ทว่าแมลงวันอสูรในขวดก็ยังมีชีวิตอยู่! และมันกำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำยาสมุนไพร ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจในพลังความแกร่งของมัน

เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าท้องฟ้ามืดลงตั้งแต่เมื่อใด แสงจันทร์สีนวลส่องประกายลงมา ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นนั้นมีกลิ่นจางๆ ลอยมาตามสายลม บรรดาแมลงที่หลบซ่อนตัวในช่วงกลางวันก็เริ่มบินออกมาและตรงไปยังพุ่มพืชสมุนไพรเพื่อดูดเอาความชื้นทันที

เยี่ยฉวนเขย่าขวดแก้วพร้อมกับเปิดฝาออก

แมลงวันอสูรที่ถูกขังอยู่ในขวดแก้วเริ่มดิ้นรนจนเกิดเสียงดังและบินออกมาอย่างรวดเร็ว มันต่างจากแมลงวันทั่วไปเพราะไม่บินไปเกาะต้นสมุนไพรใดๆ เลย แต่กลับบินตรงไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังสำนัก

เยี่ยฉวนจึงเดินติดตามมันไปห่างๆ

ยาสมุนไพรที่หยดลงไปในขวดแก้วแม้จะดูเหมือนกับของเหลวทั่วไป แท้จริงแล้วมันให้ฤทธิ์มึนเมาสำหรับมนุษย์แต่เมื่อใช้กับแมลงก็ให้ผลเช่นเดียวกัน! ก่อนหน้านี้มันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเยี่ยฉวนทำให้ไม่สามารถดูดเอาความชื้นจากสมุนไพรได้ ตอนนี้มันจึงบินกลับรังโดยไม่รอช้า

การปรากฏตัวของแมลงวันอสูรเป็นเรื่องที่แปลกยิ่ง เยี่ยฉวนจึงต้องการตรวจสอบอย่างละเอียดว่าเกิดจากสาเหตุใดกันแน่!

โดยปกติสำนักหมอกเมฆามีค่ายกลโบราณปกป้องอยู่ทำให้สัตว์ร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไป! เขามาถึงด้านหลังของภูเขาที่ทอดยาวออกไปหลายพันไมล์แล้ว ที่แห่งนี้มีอันตรายแฝงตัวอยู่ทุกหนแห่ง ทั้งยังมีสัตว์ร้ายหลายร้อยชนิดส่งเสียงคำรามระคนโหยหวนอยู่รอบๆ

เขาเดินตามอย่างสงบ ไม่รีบเร่ง

หลังจากติดตามแมลงวันอสูรมาครึ่งชั่วยาม เขาก็เดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เยี่ยฉวนกวาดสายตาไปรอบๆ อย่างพิจารณา ทันใดนั้นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาตื่นตระหนกยิ่ง!

มันคือหุบเหวลึกไร้ก้น!

เมื่อมองลงไปในหุบเหวโดยมีเพียงความสว่างจากแสงจันทร์อันรางเลือน จะพบกลุ่มหมอกสีแดงฉานดุจเลือดลอยขึ้นมา เมื่อยืนอยู่บนขอบผาสูงชันเช่นนั้นเขาเริ่มควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ ภายในอากาศมีพลังปราณหยางอันปั่นป่วนลอยอยู่ กลิ่นที่โชยมาตามลมชวนให้รู้สึกกังวลใจ รับรู้ได้ว่านั่นคือเศษซากของค่ายกลโบราณ

นั่น…หุบเขามังกรปีศาจ!

เยี่ยฉวนตามรอยแมลงวันอสูรไปจนถึงพื้นที่ต้องห้ามของเทือกเขาหมอกเมฆา!

หุบเขามังกรปีศาจมีอยู่ตั้งแต่ประมาณหนึ่งล้านปีก่อน สมัยราชาโอสถหัตถ์วิญญาณเริ่มก่อตั้งสำนักหมอกเมฆา มีเรื่องเล่าขานว่าก้นหุบเขานี้มีปราณหยางไหลเวียนอยู่มากเหตุเพราะมีมังกรปีศาจถูกกักขังอยู่ในเหวลึกแห่งนี้! นับแต่นั้นนั้นมันก็กลายเป็นสถานที่ลงโทษศิษย์ทรยศหรือศิษย์ที่กระทำผิดร้ายแรงจนต้องโทษประหาร ใครเล่าจะรู้ว่ามีโครงกระดูกกองทับถมในหุบเขามากมายเท่าใดตามคืนวันผันผ่าน! หุบเขาแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่ต้องห้าม!

ก่อนเยี่ยฉวนจะติดอยู่ในสุสานเทพเจ้า เขาเคยมาที่นี่แล้ว ตอนนั้นมันถูกเรียกว่าสถานที่ต้องห้ามแต่กลับไม่ดูน่าสะพรึงเท่านี้มาก่อน…เขายืนอยู่บนขอบหน้าผาพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้เลยว่าช่วงหลายล้านปีที่ผ่านมามีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ก้นเหวนั้น!

“ปราณหยางที่นี่เข้มข้นยิ่ง จริงอยู่ที่มันมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกเคล็ดวิชาหยางวิสุทธิ์ แต่อย่ายืนบนหน้าผานานนักล่ะ หมอกที่ลอยขึ้นมาจากเหวลึกนั้นมีพิษ …” เสียงแหบแห้งดังขึ้น

เขาหันขวับไปตามเสียง พบเข้ากับชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ชายผู้นั้นโพกศีรษะด้วยผ้าทรงสี่เหลี่ยมและสวมชุดสีเขียว คาดเดาได้ว่าเขาอาจเป็นเพียงนักปราชญ์รูปงาม เนื่องจากพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างเบาบางเกินไป! ชายผู้นั้นเดินคืบเข้ามาใกล้ ฝีเท้าและการหายใจของเขานั้นไร้เสียง แม้เยี่ยฉวนเริ่มฝึกตนใหม่ความทรงจำอื่นของเขาก็ยังคงแม่นยำ แต่เขาไม่อาจจำชายผู้นี้ได้ “เจ้าเป็นใคร?!”

“ข้าเป็นใครงั้นหรือ?”

ชายชุดเขียวหัวเราะเยาะตนเอง เขาเผยสีหน้าขมขื่นก่อนกล่าวคำเบา “เจ้าเรียกข้าว่าอาวุโสลำดับเจ็ดก็ย่อมได้!”

จากนั้นชายชุดเขียวก็หมุนตัวจากไปโดยที่เยี่ยฉวนไม่ทันได้เอ่ยถามสิ่งใด การก้าวเดินของชายคนนี้ไม่รวดเร็วนักทว่าเขากลับหายไปภายในพริบตา

“อาวุโสลำดับเจ็ดหรือ?” เยี่ยฉวนขมวดคิ้ว

สำนักหมอกเมฆามีผู้อาวุโสเพียงห้าคน! แล้วจะมีอาวุโสลำดับเจ็ดได้อย่างไร?!

ทันใดนั้นเสียงปะทุก็ดังขึ้น หมอกสีแดงฉานดุจเลือดพลันม้วนตัวขึ้นมาจากเบื้องล่างของหุบเหว พร้อมกันกับสายลมที่พัดเอาหมอกพิษปะทะเข้ากับใบหน้าของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด