Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 37 เจ้าอ้วนช่างหน้าใหญ่ใจโตเสียจริง!

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 37 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 37 เจ้าอ้วนช่างหน้าใหญ่ใจโตเสียจริง!

ตลาดมืดตั้งอยู่ในหุบเขาลึกลับ ณ บริเวณพลุกพล่านใจกลางสามสำนักใหญ่อันประกอบด้วยสำนักหมอกเมฆา สำนักเครื่องนิล และสำนักเบญจลักษณ์

เที่ยงตรง เยี่ยฉวนและจ้าวต้าจื่อออกเดินทางไปยังหุบเขาลึกลับ พวกเขาอำพรางตนด้วยหมวกไม้ไผ่ใบใหญ่ที่ปกปิดใบหน้าจนมิด บรรดาจอมยุทธ์ที่สัญจรผ่านไปมาอย่างหนาแน่นส่วนมากอยู่ในเครื่องแต่งกายคล้ายคลึงกัน ไม่มีผู้ใดใคร่จะเปิดเผยตัวตนง่ายๆ มีเพียงศิษย์ชั้นเลิศผู้ทรงอำนาจและจอมยุทธ์ที่ไม่เคร่งครัดเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่ได้ระวังตน

เมื่อมาถึงกลับไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยว่าตลาดมืดตั้งอยู่ที่นี่ แต่หลังจากเดินลงบันไดหินมืดๆ ลึกลงไปใต้ผืนดินกว่าร้อยเมตร ตลาดวิเศษแห่งนี้ก็ปรากฏให้เห็น

บันไดหินซึ่งเป็นทางเข้านั้นแสนธรรมดา อีกทั้งตัวถ้ำก็เป็นถ้ำที่เกิดตามธรรมชาติ แต่ภายในราวกับมีโลกอีกใบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง

ทั้งตลาดเป็นทางเดินใต้ดินไขว้กันไปมาขนาบข้างด้วยถ้ำน้อยใหญ่ ภายในถ้ำเหล่านี้มีผู้คนเร่ขายและจับจ่ายสินค้านานาชนิด แม้ในฤดูที่ร้อนระอุที่สุดก็ยังมีลมเย็นยะเยือกพัดผ่านราวกับถูกห้อมล้อมด้วยสุสานใต้ดินขนาดใหญ่ มีแสงสลัวสะท้อนอยู่ภายใน

เบื้องบนสถานที่มืดมนแห่งนี้เหมือนมีเงาปีศาจซ้อนสลับทับชั้นขึ้นไป ส่วนบนพื้นนั้นมีแมงป่องและตะขาบคลานผ่านไปเป็นครั้งคราว คนขี้ขลาดคงไม่วายกลัวหัวหดในทุกย่างก้าว รูปลักษณ์ของเหล่าพ่อค้าในถ้ำก็น่าเกลียดน่ากลัว แทบทุกคนเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งและไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด บางคนแผ่ปราณแห่งความตายหนาแน่นออกมาจนเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกปีศาจร้าย

“ศิษย์พี่ใหญ่ ระวังอย่าจ้องผู้อื่นนานเกินไปนะขอรับ ตลาดมืดมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันไปหมด ซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานของเหล่าผู้ลี้ภัยและปีศาจร้าย แม้แต่สามสำนักใหญ่ของเรารวมกันก็ยังยากที่จะรับมือ”

เจ้าอ้วนดึงหมวกไม้ไผ่ลงมาปิดบังใบหน้า กล่าวเตือนด้วยเสียงต่ำด้วยรู้ว่าเยี่ยฉวนไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้มาก่อน “หากท่านถูกใจสิ่งไหนอย่าเอ่ยคำใดนะขอรับศิษย์พี่ใหญ่ ให้สัญญาณลับกับข้าแล้วข้าจะจัดการทุกอย่างให้ท่านเอง ศิษย์น้องผู้นี้อาจอ่อนด้อยเรื่องฝึกตน แต่เรื่องการต่อราคาข้ามั่นใจมากทีเดียว”

“เจ้าอ้วน ก่อนเข้าร่วมสำนักหมอกเมฆาเจ้าทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไรหรือ?” เยี่ยฉวนเอ่ยถาม

“ครอบครัวของข้าค้าขายข้าวและเปิดร้านค้าข้าวหลายแห่งสมัยราชวงศ์ต้าชิง ข้าจึงโตมากับการตามพ่อไปซื้อขายข้าว จากนี้หากศิษย์พี่ใหญ่มีโอกาสได้ลงเขาต้องแวะไปเยี่ยมบ้านข้าให้ได้นะขอรับ ถึงเราจะไม่มีสิ่งอื่นใดแต่เรามีข้าวเยอะแยะทีเดียว เอ่อ… ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าท่านกินเยอะนะขอรับ ที่ข้าจะบอกคือ…” เจ้าอ้วนชะงักกลางคันเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากไป การพูดว่าครอบครัวของเขามีข้าวเยอะเท่ากับกล่าวหาอีกฝ่ายว่ากินเยอะซ้ำยังแอบด่าว่ากินจุเป็นหมูไม่ใช่หรือ?

“ไปกันเถอะ”

เยี่ยฉวนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินไปหน้าปากถ้ำหนึ่ง จ้าวต้าจื่อตามหลังเขาไปติดๆ เดิมทีเขาพาเยี่ยฉวนมาที่แห่งนี้เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ติดสอยห้อยตามเสียอย่างนั้น

เยี่ยฉวนปรายตาดูคร่าวๆ เพียงครู่เดียวก็รู้ถึงคุณภาพของสินค้าแต่ละอย่างที่วางเรียงรายอยู่ในถ้ำเป็นอย่างดี เขาแทบไม่ต้องเดินเข้าไปดูเสียด้วยซ้ำ ตลาดมืดเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติและยามากมายแต่ของที่เข้าตาเยี่ยฉวนกลับมีน้อยนิด เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมก็ปรากฎถ้ำขนาดใหญ่ขึ้นตรงหน้า ทั้งภายในและภายนอกปูด้วยหินและมีปราณวิญญาณหนาแน่นเป็นพิเศษ เหนือทางเข้ามีกระบี่บินทองคำฝังอยู่

“นี่คือฐานที่มั่นของสำนักหมอกเมฆาของเราขอรับ ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญของสำนักคอยดูแลรับผิดชอบการค้ายาเม็ดที่ขัดเกลาขึ้นโดยสำนักและคุ้มครองเหล่าศิษย์จากสำนักของเราที่อยู่ในตลาดมืด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังทำหน้าที่กองกำลังป้องกันตลาดมืดอีกด้วย สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ก็มีฐานที่มั่นที่นี่เช่นกัน ทั้งสามสำนักใหญ่ช่วยกันดูแลรักษาความสงบในตลาดเพื่อไม่ให้พวกปีศาจร้ายย่ามใจเกินไปนัก” จ้าวต้าจื่อก้าวขึ้นมากระซิบข้างหูเยี่ยฉวนอย่างรวดเร็ว

“หากเป็นเช่นนั้น วันนี้ผู้ใดเป็นผู้ดูแลที่นี่หรือ?” สายตาแหลมคมของเยี่ยฉวนสังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยภายในถ้ำ จูซือเจียกำลังตรวจตราสมบัติในชุดออกรบสีชาด

“ศิษย์น้องหญิงเจียเจียและทหารอารักขาของสำนักขอรับ” จ้าวต้าจื่อตอบก่อนจะถามขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ เข้าไปทักทายพวกเขาเสียหน่อยดีหรือไม่?”

“ไม่ดีกว่า ไปกันเถอะ”

เยี่ยฉวนสั่นศีรษะก่อนจะเดินผ่านไป เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เบาะแสที่อยู่ของเขานอกจากเจ้าอ้วน ในวันข้างหน้ายังมีโอกาสให้เขาได้เกี้ยวแม่สาวปากร้ายดื้อด้านคนนี้อีกมาก

เยี่ยฉวนเดินต่อมาจนพบสินค้าน่าสนใจในถ้ำหนึ่ง

หน้าไม้ขนาดเล็กตบแต่งอย่างวิจิตร มีอักขระไม่ทราบความหมายสลักอยู่บนตัวหน้าไม้ซึ่งอาจปลุกขึ้นได้ด้วยปราณวิญญาณในร่างผู้ใช้ ถึงจะเล็กแต่อานุภาพของมันไม่ใช่เล็กน้อย สามารถยิงลูกธนูทะลุแผ่นเหล็กหนาสามนิ้วได้ แม้จอมยุทธ์ขั้นซิวฉือระดับหนึ่งก็ยากจะต้านทานพลังของมัน หน้าไม้นี้จึงเป็นอาวุธสังหารที่เหี้ยมโหดโดยเฉพาะในการลอบโจมตีระยะใกล้

เยี่ยฉวนหยิบหน้าไม้ขึ้นมาพินิจดูถี่ถ้วนและทดลองถ่ายโอนพลังวิญญาณเข้าไป

หลังเยี่ยฉวนได้ให้ยาเม็ดชำระล้างไขกระดูกแก่เจ้าอ้วน ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นซิวฉือระดับหนึ่งได้ดังหวังและการเป็นศิษย์ชั้นในก็อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เขาทั้งรู้สึกเคารพและขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ผู้ใจกว้างด้วยความยินดียิ่ง การได้เห็นเยี่ยฉวนถูกตาต้องใจสิ่งนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ตอบแทน จ้าวต้าจื่อโยนถุงเงินให้พ่อค้าด้วยท่าทีหยิ่งผยอง “ศิษย์พี่ ข้าอยากได้หน้าไม้อันเล็กนี้ ราคาเท่าใดเจ้านับเงินไปได้เลย”

“สามพันตำลึง เจ้ายังขาดอีกเยอะ”

ชายชราผู้นั่งอยู่ในถ้ำเงยหน้าขึ้นมองเจ้าอ้วนอย่างเฉยเมย

ใบหน้าของจ้าวต้าจื่อขึ้นสีด้วยโทสะ เขาเพิ่งคุยโวไปไม่นานว่าแม้เขาไม่มีสิ่งอื่นใดแต่ยังมีเงินมากมาย และเมื่อสบโอกาสเขาก็อวดตนออกไปโดยไม่ลังเล ใครจะไปคาดคิดว่าจะโดนตบหน้าทันทีเช่นนี้

“ไปจากที่นี่กันเถิด” เยี่ยฉวนวางหน้าไม้ลงและหันหลังเดินจากไป ครอบครัวของสหายร่างอ้วนผู้นี้ดูท่าจะไม่ร่ำรวยนักและเขาก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อรองราคาดังว่าไว้ สิ่งเดียวที่จ้าวต้าจื่อเชี่ยวชาญเห็นจะมีเพียงการคุยโม้โอ้อวดเท่านั้น

“ศิษย์พี่ใหญ่ รอข้าด้วย!”

เจ้าอ้วนไล่ตามศิษย์พี่ใหญ่พลางเอ่ยด้วยความอับอายชอบกล “ศิษย์พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งไป ถึงมีเงินไม่เพียงพอแต่ข้ายังคิดหาทางอื่นได้ โอ้ใช่ แม่นางเจียเจียอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? รอข้าประเดี๋ยว ข้าจะไปยืมนางมาให้ นางต้องมีเงินมากมายเป็นแน่”

“ลืมไปเสียเถิด  เงินส่วนใหญ่ที่นางมีมาจากการขายยาเม็ดที่ขัดเกลาโดยสำนัก เจ้าคิดว่าจะใช้ได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ

แม้เจ้าอ้วนมีเงินไม่มากพอ แต่หน้าของเขาหนาพอ “ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวหรอกขอรับ ใช้ไปก่อน ผลจะเป็นเช่นไรค่อยว่ากันอีกที ถึงอย่างไรก็ต้องสืบสวนจากเบื้องบนลงมา เรามีแม่นางเจียเจียเป็นไม้กันหมาให้เราอยู่แล้ว”

“ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นจริงๆ เจ้าก็อย่าได้อับอายไป แค่ของเล็กน้อยเท่านั้น ข้าก็ดูไปเรื่อยเปื่อย ถึงอักขระที่สลักอยู่จะน่าสนใจแต่มันยังไม่สมบูรณ์ครบ พลังของมันก็แข็งแกร่งแต่ยังไม่ยืดหยุ่นพอ ถึงจะแลดูทรงพลังแต่ในการประลองจริงกลับใช้งานได้ไม่เกินสามครั้งก่อนจะแตกหัก น่าดึงดูดแต่ไร้ประโยชน์นัก” เยี่ยฉวนเดินจากไป

ได้ยินดังนั้น ชายชราผู้นั่งงัวเงียในถ้ำเบื้องหลังกลับตื่นตกใจ เขาเงยหน้าขึ้นอุทาน “เอ๊ะ ชายผู้นี้รู้ได้อย่างไร? น้ำเสียงฟังดูไม่ได้แก่เฒ่าแถมระดับขั้นการฝึกตนก็ยังต่ำกว่าขั้นซิวฉือ แล้วเป็นไปได้อย่างไร? ศิษย์พี่ใหญ่… สำนักเครื่องนิลหรือสำนักเบญจลักษณ์กันนะที่บ่มเพาะศิษย์พี่ใหญ่ได้ปราดเปรื่องเช่นนี้?”

ชายชราผู้ซ่อนเร้นตัวตนมานานหลายปีประหลาดใจยิ่ง

หน้าไม้เล็กนี้วางขายในตลาดมืดมาตลอดสิบปีเต็ม แม้บางคนจะดูถูกเหยียดหยาม ทว่ายังมีผู้คนอีกมากที่ชื่นชมและหลงใหลในของชิ้นนี้จนแทบไม่อยากพรากจาก แต่ราคาที่สูงเกินไปทำให้ยังขายไม่ออก และเยี่ยฉวนเป็นผู้เดียวตลอดสิบปีที่ผ่านมาที่มองเห็นข้อบกพร่องของหน้าไม้เพียงมองแค่ครั้งเดียว

ชายชรารีบออกไปหมายจะดูว่าเยี่ยฉวนนั้นมาจากที่ใด เคราะห์ร้ายที่เขาช้าเกินไปจึงไม่ทันเห็นแม้แต่ร่องรอย เขาได้แต่พึมพำคาดเดากับตัวเองว่าเยี่ยฉวนคงเป็นคนจากสำนักเครื่องนิลหรือสำนักเบญจลักษณ์

ตลาดมืดซ่อนเร้นอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ผู้มาเยือนแทบทั้งหมดเป็นศิษย์ในสำนักหมอกเมฆา สำนักเครื่องนิล และสำนักเบญจลักษณ์ ไม่กี่ปีมานี้ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆาไร้ชื่อเสียงใด ชายชราจึงมองข้ามสำนักหมอกเมฆาไปโดยสมบูรณ์

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด