Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 62 ทูตแห่งโลกันตร์
บทที่ 62 ทูตแห่งโลกันตร์
ทูตแห่งโลกันตร์ผู้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอาวุโสลำดับสามอย่างลึกลับสัมผัสถึงคลื่นวิญญาณประหลาด และเขาต้องการกลืนกินดวงจิตของเยี่ยฉวน!
ยอดฝีมือ!
บุคคลผู้นี้คือยอดฝีมืออย่างแท้จริง!
เยี่ยฉวนตื่นตระหนกยิ่ง! ทักษะพลังยุทธ์ของทูตแห่งโลกันตร์มีความพิเศษเหนือคนทั่วไป…อาจบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับสูงสุดด้วยซ้ำ! แม้แต่อาวุโสสูงสุดและอาวุโสลำดับสองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มีความสามารถทัดเทียม รวมถึงตัวเขาที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อ…ต่อให้รอบรู้เคล็ดวิชาลับกว่าสามพันเคล็ดวิชาก็ไร้ประโยชน์ เพราะพลังยุทธ์ไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับชายผู้นี้
เขาบังคับดวงจิตให้ลอยหลีกหนีไปในความมืดมิดยามราตรีอย่างรวดเร็วแต่อีกฝ่ายเร็วกว่า…มันพุ่งตามดวงจิตของเขามาอย่างกระชั้นชิด ใบหน้าเลือนรางใหญ่โตปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้า ดุร้ายราวเทพปีศาจยุคโบราณที่เพิ่งปีนขึ้นมาจากสุสาน
ทันใดนั้นแสงสีแดงฉานตัดกับความมืดยามค่ำคืนปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า!
คลื่นความร้อนแผดเผาระเบิดขึ้นเป็นกำแพงเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ เข้าคั่นกลางระหว่างทั้งคู่ปกป้องเยี่ยฉวนเอาไว้ ใบหน้าขนาดใหญ่ที่พุ่งตามมาจึงชนเข้ากับกำแพงนั้นโดยแรงจนสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด ใบหน้าสลายกลายเป็นหมอกสีเข้มลอยกลับมายังชายสวมชุดดำ เสียงกรีดร้องแผดก้องไปทั่วท้องฟ้าก่อนแปรเป็นเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว!
ทูตแห่งโลกันตร์โกรธาถึงขีดสุด แต่เมื่อเขาดับไฟที่ลุกไหม้บนตัวจนหมด ดวงจิตของเยี่ยฉวนก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว!
ปีศาจเพลิงไม่ใส่ใจว่าพลังยุทธ์ในร่างกายของตนยังไม่แข็งแรงพอ เขาบุกมาช่วยเยี่ยฉวนจากการถูกทูตแห่งโลกันตร์ไล่ล่าอย่างทันท่วงที!
อาวุโสลำดับสามออกมาจากที่หลบซ่อน ครั้นเห็นทูตแห่งโลกันตร์เกรี้ยวกราดก็รู้สึกกระวนกระวายใจ ขณะนั้นเองทหารอารักขาทั้งหลายวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน แต่แล้วกลับชะงักกึกเมื่อเห็นบุคคลประหลาดผู้มีหมอกสีดำปกคลุมทั่วร่าง ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยถามคำใดเกี่ยวกับชายผู้นั้นให้กระจ่าง ก็ถูกอาวุโสลำดับสามตัดศีรษะจนขาดกระเด็น!
“ฮึ่ม! ตามหามันซะ! ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องจับตัวดวงจิตหยินท่องราตรีนั้นมาให้ได้! ไป๋เยี่ยนหู เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากยังควบคุมสำนักหมอกเมฆาไม่ได้อีก…หุบเขามังกรปีศาจจะกลายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของเจ้า!”
ทูตแห่งโลกันตร์พ่นลมหายใจเย็นเยือก ก่อนโบกมือแยกอากาศออกเป็นช่องว่างและหายวับไป…
“ขอรับ ไป๋เยี่ยนหูรับคำสั่ง!”
อาวุโสลำดับสามที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อโค้งคำนับส่งทูตชุดดำ ก่อนหน้านี้เขาดำรงตนอย่างสันโดษอยู่ในสำนัก ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับทูตแห่งโลกันตร์ผู้ลึกลับ เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ!
“มีมือสังหารบุกรุก! ป้องกันท่านอาวุโส!”
“ศิษย์มาช้า…ขอท่านอาวุโสโปรดอภัย!”
เหล่าทหารอารักขาและบรรดาศิษย์ต่างเร่งรุดเข้ามาพร้อมอาวุธและคบเพลิงในมือเตรียมพร้อมต่อการต่อสู้!
แสงสว่างจากคบเพลิงทำให้บริเวณลานกว้างรกร้าง และร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารอารักขาปรากฏชัดต่อสายตา นอกจากอาวุโสลำดับสามก็ไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับตัวตนของทูตแห่งโลกันตร์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดวงจิตหยินนิรนามจึงตกเป็นแพะรับบาปจากเหตุการณ์นี้ไปโดยปริยาย
“ตามหาผู้ที่บังอาจใช้เคล็ดวิชาดวงจิตหยินท่องราตรีโจมตียอดเขาพยัคฆ์ขาวให้พบ แล้วจับตัวมันมาให้ข้า! ในเมื่อทางเข้าสำนักไร้เบาะแสด้านการเข้าออก หมายความว่ามันต้องเป็นคนในสำนักของเราเป็นแน่!”
ชายชราเอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความหวั่นเกรงระคนโกรธา ความกลัวที่ก่อเกิดในจิตใจของเขาไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้!
เขาเป็นผู้รวบรวมและคัดกรองเหล่าทหารอารักขาและบรรดาศิษย์ที่ไว้ใจได้ด้วยตนเอง จนมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการครอบครองหอศาสตราวุธแต่เพียงผู้เดียว แม้อาวุโสลำดับสูงสุดไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากวางเฉย เจ้าสำนักหยุนเฟยหวู่ออกท่องยุทธภพเป็นเวลาหลายปี…สถานะไม่ชัดเจนว่าเขาตายตกหรือยังมีชีวิตอยู่ ถึงกระนั้นอาวุโสสูงสุดก็ไม่กล้ากระทำการใดเป็นกบฏสั่นคลอนรากฐานของสำนัก หากตัวตนของทูตแห่งโลกันตร์ถูกเปิดเผยและรับรู้ว่าผู้ที่ชักนำศึกนอกเข้ามาเป็นเขา ซู่โกวหงไม่มีทางนิ่งเฉยและเอาชีวิตตนเข้าปกป้องอย่างแน่นอน!
เหล่าทหารรักษาการณ์และลูกศิษย์จำนวนหนึ่งถือคบเพลิงตามหาคนไปทั่วทั้งสำนักอย่างละเอียดจนแผ่นดินและท้องฟ้าแทบพลิกกลับด้าน ศิษย์ชั้นเลิศภายในสำนักหลายรายถูกไต่สวน
ขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของอาวุโสลำดับสามสร้างความปั่นป่วนและตื่นตระหนกไปทั่วทั้งหย่อมหญ้า ทว่ายอดเขาเมฆาอินทนิลกลับเงียบสงัดไร้ผู้ใดรบกวน…
เยี่ยฉวนไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย…คนเหล่านั้นไม่ใส่ใจมาสอบสวนเพราะต่างรู้ว่าเขายังบรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อเท่านั้น ทุกคนสันนิษฐานว่ามือสังหารนิรนามผู้ใช้เคล็ดวิชาดวงจิตหยินท่องราตรีบุกรุกยอดเขาพยัคฆ์ขาว จะต้องเป็นยอดฝีมือเป็นแน่! เพราะการถอดดวงจิตถือเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่ยังไม่บรรลุถึงชั้นซิวฉือ
ค่ำคืนนี้ประตูทางเข้ายอดเขาเมฆาอินทนิลถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา…
ดวงจิตของเยี่ยฉวนรวมเข้ากับกายหยาบทันทีที่กลับถึงที่พำนัก…ใบหน้าของเขาซีดเผือดไร้เลือดฝาด
ครู่นี้เขารอดพ้นจากการถูกทูตแห่งโลกันตร์ไล่ล่าอย่างหวุดหวิด ทว่าคลื่นพลังล่องหนจากอีกฝ่ายกลับกระแทกอย่างรุนแรง ดวงจิตที่มีอาการบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งสาหัส ด้วยร่างกายที่บรรลุขั้นการฝึกตนเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่เจ็ดทำให้เกือบทานทนความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว
เลือดแดงสดไหลรินออกจากมุมปากของปีศาจเพลิง ใบหน้าของเขาซีดเผือดด้วยความอิดโรยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บหนักจากการปะทะกับปีศาจเฒ่าถงปี่ที่อ่าวกลืนน้ำ ตามจริงแล้วเขาควรหยุดพักรักษากาย…ไม่ควรไปต่อสู้กับผู้อื่นอีก ทว่าเมื่อครู่เขากลับเข้าขัดขวางการโจมตีของทูตแห่งโลกันตร์เพื่อช่วยเหลือเยี่ยฉวน จนอาการบาดเจ็บของเขายิ่งสาหัส ผิวหน้าปริแตกอีกครั้งราวผืนดินที่แห้งแล้ง…ผิวกายเหี่ยวแห้งราวไม้ยืนต้นเฉาตาย ร่างสุริยันแผดเผาปะทุขึ้นจนเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่บนร่าง!
“ปีศาจเพลิง! กินยาเม็ดเชี่ยนหยางนี้เสีย!” เยี่ยฉวนหยิบเม็ดยาเชี่ยนหยางยื่นให้อีกฝ่าย
ร่างของปีศาจเพลิงสั่นสะท้าน แม้กายสุริยันแผดเผาปะทุรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าสามัญสำนึกย้ำเตือนให้เขายังไม่กินยาระดับสวรรค์เม็ดนั้นในทันที “คุณชาย…แล้วท่านล่ะ?!”
“ไม่เป็นไร ข้ายังมีวิธีอื่น…ทั้งยังเหลือยาเม็ดเชี่ยนหยางอีกหนึ่ง”
เขาวางเม็ดยาเชี่ยนหยางบนฝ่ามือของปีศาจเพลิง คราวนี้แม้ยังเกิดความลังเลอยู่บ้างแต่ก็ไม่ผลักไสอีก ทันทีที่กลืนยาเม็ดลงคอ ร่างกายก็ค่อยๆ ฟื้นฟูจนอาการดีขึ้น กายสุริยันแผดเผาไม่ลุกไหม้อย่างไร้การควบคุมอีกแล้ว…ยามนี้ร่างกายของปีศาจเพลิงกลับสู่สภาวะปกติ แต่หากช่วงนี้ต้องต่อสู้อีกครั้ง เขาก็ไม่มั่นใจว่ายังสามารถรักษาให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเช่นนี้ได้อีกหรือไม่…
เยี่ยฉวนปล่อยให้ปีศาจเพลิงฟื้นฟูพลังยุทธ์ด้วยตนเอง ก่อนลงกลอนประตูห้องตำราเพื่อเข้าสู่สมาธิฝึกตนอย่างเงียบเชียบ เขากางแผนที่เทือกเขาหมอกเมฆาออกพลางตรวจสอบอย่างพิจารณา…
สำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ผู้โหดเหี้ยมราวหมาป่าและพยัคฆ์ร้าย ตั้งอยู่ขนาบข้างสำนักหมอกเมฆา ทั้งสำนักยังต้องเผชิญการแทรกแซงจากราชสำนัก เพราะองค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฉินมีพระราชโองการให้ปรุงยาเม็ดจำนวนมหาศาลถวาย แน่นอนว่าสำนักที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยราชาโอสถหัตถ์วิญญาณย่อมผ่านพ้นปัญหาไปได้ด้วยดี ตัวเยี่ยฉวนผู้เคยผ่านร้านผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนก็ไม่ได้ยี่หระกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่สิ่งที่เขาเป็นกังวลคือภยันตรายจากมังกรปีศาจยุคโบราณในก้นหุบเหวหลังสำนัก และการคุกคามจากทูตแห่งโลกันตร์ลึกลับ
‘ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี!’ เขาสลัดความคิดยุ่งเหยิงนั้นทิ้ง การประลองครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสามสำนักใกล้จะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นเขาต้องจัดการกับความท้าทายนี้เสียก่อน คิดเช่นนั้นแล้วจึงหยิบแผ่นกระดาษที่จูซือเจียเขียนรายชื่อบรรดาศิษย์ชั้นเลิศในสำนักขึ้นตรวจสอบ…สายตาคมอ่านแต่ละรายชื่ออย่างละเอียดก่อนมาหยุดอยู่ตรงคำว่าอี้สั่ว ทันใดนั้นรอยยิ้มเย็นเยือกพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในบรรดารายชื่อศิษย์ชั้นยอดที่จูซือเจียเขียนขึ้น อี้สั่วถูกจัดอันดับให้อยู่ในบรรทัดต้นๆ เนื่องจากเขามีทักษะการฝึกตนที่โดดเด่น แต่เนื่องจากเขาเป็นศิษย์เอกของอาวุโสลำดับสามนางจึงขีดฆ่าชื่อของเขาออกโดยไม่ลังเล ในฐานะที่นางรับรู้สถานการณ์ภายในสำนักเป็นอย่างดีจึงมีสายตาเฉียบแหลมในการคัดเลือกคนเพื่อช่วยเหลือเยี่ยฉวน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงตัดสินใจเลือกศิษย์ชั้นยอดตามรายชื่อที่นางร่างให้ ทว่าหลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสาม…ความคิดบางอย่างก็โลดแล่นขึ้นมา!
“สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกรึ?! ไม่กล้าเผชิญหน้าแต่กลับวางแผนการสกปรก…สุนัขแก่สองตัวนี้ยังไม่เข็ดหลาบสินะ!” อ่านนิยายก่อนใครที่ novelza.com
เยี่ยฉวนเยาะเย้ย หากจินจื่อคุนและอาวุโสลำดับสามกล้ามาต่อสู้กันซึ่งหน้าเขาไม่เคยหวาดกลัว แต่ตาเฒ่าสองคนนี้กลับคิดลอบกัดโดยใช้แผนการสกปรก หากพวกมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะใช้วิธีใด…เช่นนั้นเขาจะช่วยหาวิธีให้เอง!
คอมเม้นต์