Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 303 กระทิงคลั่ง

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 303 กระทิงคลั่ง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 303 กระทิงคลั่ง

เยี่ยฉวนไม่ได้ออกจากยอดเขามังกรสวรรค์เป็นเวลาสามวัน

สามวันที่ผ่านมา เขาไม่เพียงขัดเกลาแหวนแห่งโลกันตร์ แต่ยังฝึกปรือเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์เพื่อทําความเข้าใจปริศนาแห่งฟ้าดิน

ยิ่งขึ้นการฝึกตนสูงส่งมากเท่าใดยิ่งตระหนักถึงพลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชาที่ได้รับจากสุสานเทพเจ้ามากเท่านั้น หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากปีศาจเฒ่าหลัวเต๋อ จักจั่นทองคําหกปีก และสัตว์อสูรกายอื่นๆ การโค่นล้มสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์คงไม่ราบรื่นถึงเพียงนี้ ยันต์กลืนกินสวรรค์เพียงหนึ่งใบให้พลังถึงหนึ่งหมื่นแปดพันจินและยันต์ใบใหม่กําลังอยู่ระหว่างการก่อ รวมทําให้เยี่ยฉวนตั้งตารอการบรรลุขั้นต่อไปด้วยใจจดจ่อ

ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนการฝึกตนอย่างสันโดษของเยี่ยฉวนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นในเช้าตรู่วันที่สี่ จูซือเจียจึงรีบรุดเข้ามาเพื่อรายงานสถานการณ์ในขณะนี้

สํานักหมอกเมฆาแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าทวีหลังผนวกกําลังเข้ากับสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ มิหนําซ้ํายังยึดยุทโธปกรณ์ ชุดเกราะ เม็ดยา และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการทําศึกมาได้จํานวนมาก โดยเฉพาะก้อนผลึกหลากชนิดซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน ก้อนผลึกที่ได้มาทําให้ไม่ต้องกังวลเรื่องแหล่งพลังงานสําหรับค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ที่ห่อหุ้มทั้งสํานักอีกต่อไป ต่อให้ถูกจักรวรรดิต้าฉันหรือสํานักอสูรเมฆาปิดล้อมก็ยังมีก้อนผลึกพอใช้อีกเป็นปี

ยิ่งมีทรัพยากรในการทําศึกสงครามมากเท่าใดยิ่งดีเท่านั้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นอุปสรรคคือการจัดการเชลยศึกจํานวนมาก พวกเขามีเชลยราวเจ็ดพันคน ส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากทั้งสองสํานักและส่วนที่เหลือเป็นคนงานและข้ารับใช้ สํานักหมอกเมฆาต้องประสบปัญหาไม่รู้จบในการรับมือกับคนเหล่านี้ตลอดหลายวันที่ผ่านมา การฆ่าล้างผลาญพวกเขานับว่าขัดต่อกฎแห่งสวรรค์ และการปลดปล่อยอาจทําให้ข้อมูลภายในเทือกเขาหมอกเมฆารั่วไหลออกไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขารวมตัวกันก่อกบฏขึ้นมาคงเกิดปัญหาเป็นแน่ หากแต่สํานักหมอกเมฆาไม่มีพื้นที่พอจะคุมขังพวกเขาได้หมด

จซื้อเจียไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้จึงมาขอคําปรึกษาจากเยี่ยฉวน

“ศิษย์พี่ใหญ่ ปล่อยหรือฆ่า…พวกเรารอคําสั่งจากเจ้าอยู่ จักรวรรดิต้าฉันและสํานักอสูรเมฆายังไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ยิ่งล่าช้าเท่าใดการบุกโจมตียิ่งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเท่านั้น เราต้องรีบจัดการหนามยอกอกนี้โดยเร็วที่สุด” จูซือเจียกล่าว เดิมทีนางเห็นด้วยกับการฆ่าล้างบางเชลยศึกทั้งหมดเพื่อตัดปัญหา แต่การพูดย่อมง่ายกว่าการลงมือทํา นี่ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองชีวิต หากแต่มีถึงเจ็ดพันชีวิต ไม่ว่าหญิงสาวจะเด็ดเดี่ยวมากเพียงใดก็ทําไม่ลง

“จักรวรรดิต้าฉันยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีกหรือ?” เยี่ยฉวนโพล่งถามนอกเรื่อง

“ยัง หนําซ้ํายังไม่มีข่าวสารใดจากท่านปูนับตั้งแต่ท่านไปเยือนเมืองหลวง” จซื้อเจียขมวดคิ้วย่น นางคะนึงหาซโกวหงแต่กลับไม่มีวี่แววของเขาเลย หากสํานักหมอกเมฆาไม่ได้กําลังเผชิญกับศัตรอันน่าเกรงขาม นางอาจออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อตามหาอาวุโสสูงสุดแล้วก็เป็นได้

“จักรพรรดิต้าฉันรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้ดีจริงๆ หรือพระองค์ทําได้เพียงขู่ฟอคุกคามผู้อื่นให้ขวัญกระเจิงเท่านั้น หากเราไม่ส่งส่วยให้อาจไม่เป็นไร พระองค์คงไม่บังอาจแตะต้องสํานักหมอกเมฆาเมื่อเห็นความแข็งแกร่งและความรุ่งเรืองในขณะนี้”

เยี่ยฉวนหัวเราะกับตนเอง สํานักหมอกเมฆาหลังเข้ายึดครองอีกสองสํานักใหญ่แตกต่างจากก่อนหน้านี้นัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจเทียบชั้นสองยักษ์ใหญ่อย่างจักรวรรดิต้าฉันและสํานักอสูรเมฆาได้ จักรวรรดิต้าฉันอาจมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการในขณะนี้หรืออาจกําลังซุ่มเตรียมการโจมตี ทรงพลังเพื่อกวาดล้างเทือกเขาหมอกเมฆาให้ราบเป็นหน้ากลอง

บางคราพายุโหมกระหนก็ไม่น่าหวาดหวั่นอย่างที่คิด หากแต่เป็นค่ําคืนก่อนลมพายุต่างหากที่ยากจะทานทน

“ศิษย์พี่ใหญ่ เราจะทําอย่างไรกันดี?” จซื้อเจียถามขึ้น

“ไม่ยาก ส่งเชลยเหล่านี้เข้ายึดครองชุมชนเมืองรอบเทือกเขาหมอกเมฆาเสีย” เยี่ยฉวนตอบ

“แต่…แต่ว่าจักรวรรดิต้าฉันอาจใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการบุกโจมตีได้ไม่ใช่หรือ? ถ้าถึงตอนนั้น..” จซื้อเจียมองดูเยี่ยฉวนด้วยความสับสน

“หากพวกเขาต้องการบุกโจมตีจริงๆ ต่อให้ไม่มีเหตุอันใดก็จะหาข้ออ้างมาจนได้ ในเมื่อฝ่ายนั้นยังไม่ยอมเคลื่อนไหวเราคงต้องกระตุ้นและยั่วยุเสียบ้าง บางที่อาจบีบให้พวกเขารีบร้อนจู่โจม ก่อนที่จะเตรียมการแล้วเสร็จได้ มิหนําซ้ําการกระจายเชลยศึกล้อมรอบเทือกเขาหมอกเมฆายังใช้เป็นเขตรับแรงกระแทกจากการบุกโจมตีกะทันหันได้อีกด้วย” เยี่ยฉวนได้ไตร่ตรองและวางแผนมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

จซื้อเจียอัศจรรย์ใจกับแผนการอันแยบยลของเยี่ยฉวนยิ่ง!

“ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเชลยเหล่านั้นจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเรา? เราจะทําอย่างไรให้พวกเขากวาดล้างชุมชนเมืองโดยรอบอย่างสุดกําลัง?” จซื้อเจียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชี้ให้เห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

เยี่ยฉวนมองดจซื้อเจียด้วยความชื่นชม “เรื่องนั้นก็ไม่ยาก ให้พวกเขาโจมตีเหล่าขุนนางที่ปกครองดินแดนโดยรอบ ผู้ใดทําได้ดีที่สุดจะได้รับการอวยยศเป็นขุนนาง ณ ที่แห่งนั้นตบรางวัล ให้พวกเขาด้วยยาเม็ดชั้นเลิศและเคล็ดวิชาการฝึกตน วางใจเถิดเจียเจีย พวกเขาจะมีความ ทะเยอทะยานมากขึ้นหลังถูกปล่อยตัว ยิ่งอยากไต่เต้ามากเท่าใดยิ่งต้องการการผลักดันมากเท่านั้น พวกเขาจะแย่งชิงกันทํางานตัวเป็นเกลียวเพื่อเราโดยที่เราไม่จําเป็นต้องพยายามทําสิ่งใดเสียด้วยซ้ํา ที่ข้าพูดเป็นเพียงแนวทางทั่วไปเท่านั้น เจ้าสามารถหารือและวางแผนเพิ่มเติมกับปีศาจเพลิงและคนอื่นๆ แต่เร่งลงมือหน่อยก็ดี”

“ย่อมได้ ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่ใหญ่ ที่เขากล่าวกันว่าแม้แต่วิญญาณร้ายอันน่าสะพรึงกลัวและจิ้งจอกพันปียังไม่อาจเทียบชั้นเจ้าเห็นจะจริง”

จซื้อเจียรับคําสั่งและทําท่าจะจากไปแต่ไม่ลืมหันกลับมาทิ้งท้ายก่อนออกจากประตู “อ้อ… หน่วยสอดแนมรายงานว่าโท่วป่าเซียงและโท่วป่าเซียงเนียวขึ้นเรือไม้ลาเล็กออกสู่มหาสมุทร พวกเขาต้องการไปให้ไกลจากสํานักหมอกเมฆาเพื่อตามหาดินแดนอมตะโพ้นทะเล จากนี้เจ้าคงไม่ได้เห็นโท่วป่าเซียงเพียวอีก ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะไม่ใจสลายหรอกหรือ?”

“ข้าจะใจสลายไปด้วยเหตุใด? แค่มีศิษย์น้องหญิงเจียเจียอยู่เคียงข้างข้าก็พอใจแล้ว ข้าเปรียบเหมือนวัวกระทิงส่วนเจ้าเปรียบเสมือนผืนนา ข้าไม่ต้องการอะไรอีกเพียงได้อยู่เคียงข้างพื้นนาหนึ่งไร่นี้ ข้ายอมไถพรวนและเก็บเกี่ยวจากผืนนาของเจ้าไปตลอดชีวิต” เยี่ยฉวนยิ้มยียวน

“ไม่ ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าคือกระทิงคลั่งที่ป่าเถื่อนกว่าวัวกระทิงตัวผู้เสียอีก”

จซื้อเจียกลอกตาก่อนเดินจากไป แม้ภายนอกจะดูหงุดหงิดแต่ความรู้สึกอ่อนหวานกลับก่อตัวขึ้นภายในโดยไม่ทราบสาเหตุ “ไม่ต้องการอะไรอีกหากได้อยู่เคียงข้างผืนนาหนึ่งไร่นี้งั้นรึ? เหอะ… เยียฉวน พูดมาได้ไม่รู้จักเขินอายเสียบ้าง!

คล้อยหลังจซื้อเจีย รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยฉวนพลันเลือนหายไป ชายหนุ่มแลดูเปล่าเปลี่ยวเมื่อภาพเรือนร่างบอบบางฉายชัดขึ้นในจิตใจ

“เซียงเพียว อยู่ห่างไกลจากข้าเช่นนี้คงดีกับเจ้ามากกว่าใช่หรือไม่?”

เยี่ยฉวนทอดถอนใจ

การตามหาโท่วป่าเซียงเพียวไม่ใช่เรื่องยากหากนางยังอยู่ในจักรวรรดิต้าฉัน แต่เมื่อนางออกเดินทางสู่ดินแดนโพ้นทะเลเช่นนี้ ความหวังในการกลับมาพบกันคงริบหรี่เต็มทน ต่านานเล่าขานว่าสุดขอบทะเลตะวันออกมีดินแดนโบราณของผู้เป็นอมตะตั้งอยู่ ผู้คนนับไม่ถ้วนออกเดินทางตามหามันมาตลอดหลายล้านปี แต่จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ค้นพบ หลายคนตัดสินใจปลิดชีพตนเองเพราะทนความโดดเดี่ยวบนเกาะร้างอันห่างไกลไม่ไหว

“เอ๊ะ บางที่ภูตทะเลสาวอาจจะ…”

เยี่ยฉวนพลันฉุกคิดขึ้นได้เมื่อนึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ก่อนอัญเชิญภูตทะเลไห่ลี่ลี่ออกมา หากเขาต้องการใครสักคนที่รอบรู้เรื่องราวของหมู่เกาะโพ้นทะเลเป็นอย่างดี ภูตทะเลสาวถือเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด