Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 42 ลูกหมูป่าขนสีขาว
บทที่ 42 ลูกหมูป่าขนสีขาว
เยี่ยฉวนเร่งร้อนออกจากตลาดมืดทันที และกลับถึงสำนักหมอกเมฆาเมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า…
“เจ้าอ้วน อย่าบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด! แม้แต่จูซือเจีย…”
เยี่ยฉวนกำชับอีกฝ่ายก่อนหมุนกายเดินขึ้นยอดเขาเมฆาอินทนิล จ้าวต้าจื่อพยักหน้าและรับคำอย่างมั่นเหมาะ
เขาไม่ได้โง่…ทั้งยังรับรู้ความนัยที่ศิษย์พี่ใหญ่ต้องการสื่อ หากผู้อื่นรู้ว่าพวกเขาครอบครองเมล็ดพันธุ์พืชล้ำค่าเหล่านี้ อาจถูกตามรังควาญไม่จบสิ้น
ครั้นเยี่ยฉวนกลับถึงลานกว้างบนยอดเขาก็วุ่นวายอยู่กับเมล็ดพันธุ์ที่ได้มา…ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าไม่ควรนำเมล็ดพันธุ์ประมาณสิบเมล็ดในมือปลูกบริเวณลานกว้างแห่งนี้ และคิดว่าจะนำมันไปปลูกบริเวณหลังหุบเขามังกรปีศาจแทน
เมล็ดพันธุ์สีฟ้าอ่อนเหล่านี้ทำให้เขาหวนนึกถึงต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เคยเห็นเมื่อหลายล้านปีก่อน ทว่าความทรงจำนั้นเลือนลางจนไม่อาจยืนยันแน่ชัดว่าเป็นต้นเดียวกันหรือไม่ รู้เพียงว่าการที่โคมบงกชสีครามตอบสนองต่อเมล็ดพันธุ์เหล่านี้นับเป็นสัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน
หุบเขามังกรปีศาจมีความอันตรายและเร้นลับน่ากลัว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีอสุรกายตนใดซ่อนกายอยู่เบื้องล่างบ้าง จิตสังหารแผ่ออกมาจากก้นเหวเป็นวงกว้างราวระลอกคลื่น ทั้งยังทวีความรุนแรงจนทำให้ท้องฟ้ามีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ สถานที่แห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพรหายากบางชนิด เพราะปราณฉีและปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินพลุ่งพล่านมากกว่าบริเวณอื่น
เยี่ยฉวนกวาดสายตามองรอบ ๆ อย่างถี่ถ้วนก่อนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ ริมฝีปากบริกรรมคาถาอย่างเงียบเชียบขณะเคลื่อนก้อนหินยักษ์จำนวนเกือบหนึ่งร้อยก้อน พร้อมจัดเรียงให้พวกมันแปรสภาพเป็นป่าหินโบราณเพื่อปกป้องเมล็ดพันธุ์พืชที่เพิ่งปลูกลงดิน
มนุษย์ทั่วไปอาจมองป่าหินแห่งนี้เป็นเพียงกองหินที่ไร้ระเบียบ ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนและอสุรกายดุร้ายมันคือก้อนหินที่ทรงพลังยิ่ง หากพวกเขาเข้าใกล้ก้อนหินในระยะสามเมตรหรือเพียงสัมผัส หินเหล่านั้นจะก่อตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งและเปลี่ยนรูปร่างเป็นค่ายกลศิลาปีศาจทันที!
ปัจจัยสำคัญที่เขาเลือกบริเวณหลังหุบเขามังกรปีศาจ เพราะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดและสามารถป้องกันสัตว์ร้ายนานาชนิดจากเมล็ดพันธุ์วิเศษได้เป็นอย่างดี ทั้งสำนักหมอกเมฆายังประกาศให้พื้นที่นี้เป็นที่ต้องห้าม…จึงไม่มีผู้ใดมาที่นี่โดยพลการอย่างแน่นอน
เขาเตรียมการทุกอย่างตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งปราณจิตวิญญาณฟ้าดินหนาแน่นมากเท่าใด สมบัติล้ำค่าก็ปรากฏขึ้นมามากเท่านั้น ทั้งสองสิ่งเป็นพลังงานชั้นดีที่ดึงดูดสัตว์ร้ายให้เข้าใกล้
ภพก่อนที่เขายังเป็นมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์ เพียงกระดิกปลายนิ้วป่าหินก็ถูกสร้างสำเร็จได้ในพริบตา ทว่าภพนี้เขาถือกำเนิดในร่างกายธรรมดาสามัญ ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงในการสร้าง วิธีนี้เป็นกระบวนการน่าอัศจรรย์มากแล้วสำหรับผู้บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับที่หก แต่หากเขาสามารถบรรลุขั้นซิวฉือจะทำให้สำแดงศักยภาพของวิทยายุทธต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น
เยี่ยฉวนพาร่างอ่อนล้าของตนกลับไปยังลานกว้างบนยอดเขาเมฆาอินทนิลหลังตรวจสอบป่าหินอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าไร้ช่องโหว่ เขานั่งลงกับพื้นก่อนเข้าสู่ห้วงสมาธิ พลางท่องเคล็ดวิชาปีศาจกลืนกินสวรรค์อย่างเงียบเชียบ ปราณฉีและปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินผสานพลังบนท้องฟ้า และค่อยๆ ถ่ายเทไปยังร่างกายของเขา ทำให้อวัยวะภายในเย็นตัวลง
กระบวนการบรรลุจากขั้นอู่เจ๋อระดับที่หกสู่ระดับที่เจ็ดทำให้สมดุลของอวัยวะภายในร่างกายแปรปรวนมาก จนอาจทำให้ผู้ฝึกตนกระอักเลือด หากผิวหนัง กล้ามเนื้อ เอ็น โลหิต กระดูก ไขกระดูกและอวัยวะภายในถูกขัดเกลาโดยละเอียดแล้ว ร่างกายของเขาทุกส่วนจะเริ่มปรับสภาพและบรรลุสู่ขั้นซิวฉืออย่างแท้จริง!
เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนสวรรค์จากสุสานเทพเจ้ามีความแข็งแกร่งยิ่ง เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน อวัยวะภายในร่างกายก็ถูกขัดเกลาจนบริสุทธิ์ ระบบไหลเวียนเลือดพลุ่งพล่านเป็นสัญญาณว่าบรรลุขั้นอู่เจ๋อระดับที่เจ็ดโดยสมบูรณ์! แม้เยี่ยฉวนแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าอาการบาดเจ็บจากการถูกปราณหยางของจินจื่อคุนเล่นงานคราวก่อนก็ยังไม่หายเป็นปลิดทิ้ง
“จิน…จื่อ…คุน!”
เยี่ยฉวนเผยสีหน้าเย็นเยือกขณะกล่าวเน้นชื่อของศัตรูทีละพยางค์…
จินจื่อคุนมีสติปัญญาล้ำเลิศ ทั้งทักษะวิทยายุทธยังสูงกว่าจินหัวและเหอไท่ซวีอย่างชัดเจน ครั้งหน้าการตอบโต้ของเขาคงทวีความรุนแรงจนเยี่ยฉวนรับมือได้ยากยิ่งขึ้น!
ทุกครั้งที่เยี่ยฉวนพบเจอคู่ต่อสู้เช่นนี้ เขามักชิงโจมตีอีกฝ่ายก่อนเพราะต้องการถือครองความได้เปรียบ ทั้งยังสามารถกำจัดภัยคุกคามและปัญหาที่มองไม่เห็นได้อย่างราบคาบ หากตนบรรลุถึงขั้นซิวฉือคงจะดีไม่น้อย…ยามนี้ขืนนำร่างกายที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อต่อสู้กับจินจื่อคุนผู้บรรลุขั้นสูงกว่า ร่างกายของเขาอาจมอดเป็นจุณราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา!
เขาผ่อนลมหายใจพลางละทิ้งความคิดอันสับสนและยุ่งเหยิงเหล่านั้น พร้อมหลับตาและเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตนต่อไป…
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาเร่งกวาดลานกว้างก่อนตรงดิ่งไปยังหลังหุบเขามังกรปีศาจ เมื่อมาถึงสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาทำให้เขาประหลาดใจยิ่ง!
เพียงชั่วข้ามคืนเมล็ดพันธุ์ล้ำค่าที่เขาปลูกไว้โผล่พ้นผิวดินเป็นต้นอ่อนสูงประมาณสามฟุต ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเจือจางในอากาศ ทว่าสำหรับอสุรกายและสัตว์ร้ายต่างๆ ที่มีประสาทสัมผัสไวกว่ามนุษย์ กลิ่นนั้นกลับหอมหวานดึงดูดนัก! เขาพบซากสัตว์ร้ายเช่นปักษาอสูรที่มีฟันและกรงเล็บแหลมคม อสรพิษสีนิลและปีศาจสุนัขสองหัวหลายตัวตายเกลื่อนกลาดอยู่รอบบริเวณป่าหิน หากเยี่ยฉวนไม่บริกรรมคาถาให้หินเหล่านั้นกลายเป็นศิลาหุ่นปีศาจปกป้องเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าเหล่านี้คงไม่เหลือแม้เศษเสี้ยว
“กลิ่นหอมจริง! มันคือต้นอะไรกันแน่?”
เขาสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมเจือจางในอากาศเข้าไปจนเต็มปอดอย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นดวงจิตของเขาเริ่มเกิดความปั่นป่วน!
เยี่ยฉวนพิจารณาเมล็ดพันธุ์ที่เปลี่ยนเป็นต้นกล้าสูงประมาณสามฟุตภายในชั่วข้ามคืนด้วยความพิศวง จิตใจของเขาเกิดความสงสัยว่าการเจริญเติบโตเช่นนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะของพันธุ์พืช หรือเป็นผลจากการกลายพันธุ์และสภาพแวดล้อมเพราะมันถูกปลูกในบริเวณหุบเขามังกรปีศาจ จากนั้นเขาใช้เวลาไม่นานจัดการฝังซากสัตว์ร้ายเหล่านั้นจนหมดสิ้น พร้อมซ่อมแซมก้อนหินบางส่วนที่เกิดความเสียหาย ครั้นมองไปยังเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านลดหลั่นสูงต่ำไม่เท่ากัน และหุบเขามังกรปีศาจที่แผ่จิตสังหารอยู่เบื้องหลัง จึงสร้างภาพลวงตาโดยร่ายคาถาให้หมอกควันสีขาวปกคลุมเหนือป่าหินเพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกเมื่อมีผู้ใดมาพบเห็น
เหลือเวลาเพียงห้าวันเท่านั้นก็จะถึงการประลองครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสามสำนัก…
หากต้องรับมือกับยอดฝีมือทั้งจากสำนักเครื่องนิลและสำนักเบญจลักษณ์ในงานประลอง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ยามนี้เขาต้องการเพียงฟื้นฟูให้ดวงจิตแข็งแกร่งพอที่จะควบคุมราชันจักจั่นทองคำได้เท่านั้น คงไม่จำเป็นต้องรอให้คืนสู่สภาพเดิมทุกประการ ดวงจิตเมื่อบาดเจ็บหนักหนึ่งก็ครั้งยากจะรักษาให้หายขาด ดังนั้นเขาจึงฝากความหวังของตนไว้ที่ต้นกล้าล้ำค่าเหล่านี้…
เขาโคจรพลังป้องกันตนก่อนนั่งลงข้างปากเหวมังกรปีศาจพร้อมเข้าสู่ห้วงสมาธิ..
ท้องฟ้าเหนือหุบเขามังกรปีศาจปรากฏปราณหยางลอยตัวอย่างหนาแน่น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูดวงจิตของผู้ฝึกตนยิ่ง ทว่าการฟื้นฟูให้ดวงจิตแข็งแกร่งและกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว จำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากปราณหยางเหล่านั้นอย่างพอประมาณ
เยี่ยฉวนฝึกตนอยู่ที่นั่นกระทั่งปรากฏดวงดาวลอยเด่นบนฟากฟ้า จึงลืมตาออกจากภวังค์ก่อนกลับไปยังลานกว้างบนยอดเขาเมฆาอินทนิล จากนั้นจึงนั่งสมาธิฝึกตนอย่างสงบ เดิมทีเขาวางแผนว่าจะไปตรวจดูต้นกล้าวิเศษในยามรุ่งเช้า ทว่าตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า…ระหว่างคิ้วพลันกระตุกเป็นเชิงบอกลางสังหรณ์บางอย่าง จึงเร่งรุดไปยังหุบเขามังกรปีศาจทันที! เดินไปจนครึ่งทางก็ได้ยินเสียงคำรามก้องดังขึ้นจากทิศที่ตั้งของป่าหิน ลมหนาวที่พัดโชยทำให้กลิ่นหอมเบาบางอบอวลไปทั่ว ครั้นมาถึงป่าหินเขาก็รู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง!
ผ่านพ้นมาอีกหนึ่งคืน ต้นกล้าเติบโตเป็นต้นไม้ที่มีความสูงประมาณหนึ่งเมตร ทั้งยังออกผลสีแดงอมเขียวส่งกลิ่นหอมขจรขจาย ผสมกับความแปรปรวนของพลังปราณวิญญาณพิสุทธิ์ไปทั่วบริเวณ รอบป่าหินปรากฏซากสัตว์ร้ายตายเกลื่อนเช่นเดิม ทว่าหินบางส่วนถูกสัตว์บางชนิดทำลายอย่างรุนแรงจนแตกหัก ตรงหน้าของเยี่ยฉวนมีอสรพิษยักษ์เก้าหัวลำตัวใหญ่เท่าถังบรรจุน้ำ และลูกหมูป่าขนสีขาวกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงผลไม้เหล่านั้น!
ลูกหมูตัวนั้นมีลำตัวเล็กจิ๋วคล้ายเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน ทั้งยังอ้วนพุงป่องและดูนุ่มนิ่มน่ารักเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ น่าแปลกที่เขาไม่เคยเห็นหมูที่ลักษณะโดดเด่นเช่นนี้ในหุบเขาหลังสำนักมาก่อน แม้ตัวของมันจะเล็ก แต่กลับเผชิญหน้ากับอสรพิษเก้าหัวที่ดุร้ายและมีขนาดใหญ่กว่าอย่างกล้าหาญ เสียงคำรามของมันดังลั่นประหนึ่งเสียงมังกรพยัคฆ์ ชัดเจนแล้วว่ามันคือสัตว์อสูรประเภทหนึ่งในดินแดนอรัญญิก!
“นะ…นี่มัน…ผลชิ่งหยาง!”
เยี่ยฉวนอุทานออกขณะมองลูกหมูป่าขนขาวและอสรพิษยักษ์เก้าหัว ก่อนหันขวับมองผลไม้สีแดงอมเขียวด้วยดวงตาวูบไหวราวเปลวไฟที่โชติช่วง!
คอมเม้นต์