Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 51 อ่าวกลืนน้ำ
บทที่ 51 อ่าวกลืนน้ำ
เมื่อออกจากทุ่งเหมืองแร่มณีครามต้องห้ามแห่งสำนักเบญจลักษณ์และเห็นว่าท้องฟ้ายังคงสดใส เยี่ยฉวนก็ออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกลึกเข้าไปในภูเขาลูกใหญ่ เขาตรงไปยังอ่าวกลืนน้ำที่หลิวหงกล่าวถึงทันทีเพื่อลองเสี่ยงโชคว่าจะพบเมล็ดพันธุ์ชิ่งหยางหรือไม่
การประลองอันยิ่งใหญ่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แม้เยี่ยฉวนจะไม่หวั่นกลัวต่อความท้าทายและพายุร้ายใดๆ แต่ก็ยังใส่ใจในทุกรายละเอียด สิ่งนี้เป็นนิสัยเฉพาะตัวของเยี่ยฉวนและเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขากำราบคู่ต่อสู้ขั้นปราชญ์ที่น่าเกรงขามนับไม่ถ้วนจนขึ้นเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อนเร้นสวรรค์เมื่อหลายล้านปีก่อน การกลับมาเริ่มต้นใหม่ในชาตินี้ทำให้ร่างกายของเขายังอ่อนแอ จึงต้องอาศัยความระมัดระวังและรอบคอบยิ่งขึ้น
เมื่อตะวันลาลับขอบฟ้าทางหุบเขาทิศตะวันตก เยี่ยฉวนก็พุ่งทะยานออกไปประหนึ่งเสือชีตาห์ที่วิ่งกวดอย่างบ้าคลั่งไปตามสันเขาชันและภูเขาสูงตระหง่าน
ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกอันบริสุทธิ์ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องและแทรกซึมเข้าไปในร่างของเยี่ยฉวนเพื่อหล่อเลี้ยงกายหยาบและสายโลหิตของเขา ยันต์กลืนกินสวรรค์หมุนวนอย่างรวดเร็วขณะระเบิดกระแสพลังอันแปรปรวนออกมาไม่รู้จบทำให้เยี่ยฉวนเร่งความเร็วขึ้นอีก กล้ามเนื้อขยายตัว เลือดในกายเดือดพล่านด้วยความเร่าร้อน และทั้งร่างราวกับคบเพลิงที่กำลังลุกโชติช่วงเมื่อเขาพุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ!
ความเร็วและความทนทานของเยี่ยฉวนยามไล่ตามหลิวหงนับว่ามหัศจรรย์เสียจนนางตกตะลึงแล้ว ทว่าในความเป็นจริงพลังนั้นยังไม่ใช่ขีดจำกัดสูงสุดของเยี่ยฉวน เขาจงใจข่มทักษะของตนไว้เป็นความลับ
ในตอนนี้เมื่อเขาวิ่งอยู่ท่ามกลางป่าทึบไร้ผู้คน เยี่ยฉวนไร้ความกังวลใจใดๆ และสำแดงพลังของยันต์กลืนกินสวรรค์ออกมาอย่างเต็มที่ เขาพุ่งผ่านแนวผาชันและภูเขาสูงตระหง่านราวกับใช้กระบี่บินที่ว่องไวดั่งพายุหมุน
ตลอดทางมีเหล่าอสุรกายวิ่งพล่าน เยี่ยฉวนตัดหัวเสือลายเมฆ อีกาดำ และอสุรกายระดับต่ำอีกนับไม่ถ้วนขณะวิ่งตรงไปข้างหน้า
หลังผ่านป่าสนไปได้ เยี่ยฉวนหยุดฝีเท้าลง
เบื้องหน้าของเขามีเนินเขาเล็กคล้ายเนินดินที่ปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้และก้อนหิน เดิมทีมันเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ไม่สลักสำคัญท่ามกลางเทือกเขาอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ แต่เยี่ยฉวนกลับสัมผัสได้ถึงอันตราย
บางทีเขาอาจเข้าใจผิดไปเอง แต่ทันใดนั้นพื้นดินกลับสั่นสะเทือนประหนึ่งสัญญาณเตือนว่าจะเกิดแผ่นดินไหว
รอยแตกยาวพลันปรากฏขึ้นบนเนินดิน ก้อนหินพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเนินดินผุดขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาอย่างรวดเร็ว พุ่มไม้และก้อนหินตกอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงและเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิงจนจำแทบไม่ได้
โฮก! แว่วเสียงคำรามไม่ชัดเจนมาจากใต้ดิน
เสียงนี้ฟังดูราวกับเสียงคำรามของพยัคฆ์และมังกรที่ดังทะลุผ่านชั้นดินหนาขึ้นมาแต่กลับทรงพลังยิ่ง เหล่าอสุรกายโดยรอบในรัศมีสิบลี้ต่างแตกตื่นหนีไปหลังได้ยินเสียงดังก้องนั้น
หลังจากวิ่งผ่านภูเขามาเนิ่นนาน เขาก็ได้พบกับศัตรูร่างยักษ์!
เหล่าอสุรกายในบริเวณใกล้เคียงพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงแต่เยี่ยฉวนกลับยืนนิ่ง ไม่ใช่เพราะประมาทแต่เป็นเพราะจิตสังหารอันทรงพลังนั้นจับตำแหน่งของเขาเอาไว้แล้ว แม้อยากจะวิ่งหนีก็ไม่อาจทำได้
โฮก!
เสียงขู่คำรามดังขึ้นและดังขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นกองดินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตก็ระเบิดออกเผยให้เห็นศีรษะขนาดมหึมาตามด้วยลำตัวขนาดใหญ่ ดวงตาเพียงแค่ข้างเดียวก็ใหญ่โตเสียราวกับตะเกียง บนหัวมีเขาแข็งแกร่งคล้ายวัวสั้นๆ คู่หนึ่ง ลำตัวมีเกล็ดและเปลือกสีดำเป็นชั้นกระทบกับก้อนหินจนเกิดเสียงคล้ายโลหะดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายแต่ละส่วนจะมีขาหนึ่งคู่ แลดูประหลาด ดุร้าย และน่ากลัว มันเคลื่อนไหวเหมือนงูและบิดตัวไปมาราวกับไส้เดือนขนาดยักษ์ที่ค่อยๆ คลานออกมาจากส่วนลึกใต้ผืนดิน
“อสุรกายพันขา?”
เยี่ยฉวนนึกถึงอสุรกายโบราณทันที
เมื่อหลายล้านปีที่แล้วในยามที่เขาสามารถซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือ เยี่ยฉวนเคยเผชิญหน้ากับอสุรกายขนาดยักษ์นี้ที่หอหฤทมิฬ ในยามนั้นเขาต่อสู้อย่างแสนสาหัสและแม้แต่ตัวเขาเองก็แทบกระอักเลือด
ยิ่งอสุรกายมีอายุยืนยาวมากเพียงใดความแข็งแกร่งของมันก็ทวีคูณมากเพียงนั้น เมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายยิ่งใหญ่ที่เคยพบในกาลก่อน อสุรกายพันขาเบื้องหน้าเขาตอนนี้ตัวเล็กกว่ามากและมีอายุราวหนึ่งพันปีเท่านั้น แต่พลังการต่อสู้ก็ยังเหนือกว่าสัตว์อสุรกายทั่วไป แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือก็คงถูกกลืนลงท้องในอึดใจเดียวเมื่อมันคลานออกมาจากพื้นได้สมบูรณ์
เยี่ยฉวนลงมือทันใด เขาพุ่งเข้าใส่อสุรกายพันขาอย่างรวดเร็วและคว้าใบมีดบางเฉียบทอประกายสีจางทั้งเก้ามาไว้หว่างนิ้วในพริบตา
แม้ร่างของอสุรกายพันขาจะมีขนาดใหญ่ แต่ด้วยจำนวนขานับพันทำให้มันวิ่งเร็วจนน่าตกใจ การซ่อนตัวจึงไม่ใช่วิธีต่อกรที่ดีที่สุด
เยี่ยฉวนว่องไวมากจนมาถึงหน้าอสุรกายพันขาในชั่วพริบตา เขาไม่ได้เข้าปะทะโดยตรงแต่เลือกที่จะโอบล้อมโดยเข้าโจมตีจากทางด้านหลังหัว จากนั้นก็ติดอยู่บนร่างของมันราวกับปลาไหลตัวลื่นๆ อสุรกายร้ายสะบัดตัวไปมาทันที
อสุรกายพันขามีพละกำลังมหาศาล มีความเร็วในการวิ่งที่น่าทึ่ง ซ้ำยังมีเกล็ดและเปลือกบนตัวที่ไม่อาจทำลายได้ การประจันหน้ากับสัตว์อสุรกายตนนี้จึงเป็นฝันร้ายของจอมยุทธ์ทุกคน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสัตว์ร้ายจะอยู่ยงคงกระพัน ร่างกายของมันใหญ่เทอะทะและยาวเกินไป ระหว่างที่ปีนออกมาจากใต้ดินนั้นความแข็งแกร่งและความเร็วของมันจะอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอที่สุด
เยี่ยฉวนมากประสบการณ์และรู้ดีว่าจะต้องจัดการกับสหายตัวใหญ่น่าเกลียดน่ากลัวนี้อย่างไร
โฮก…
อสุรกายพันขาคำรามดังก้องเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย ร่างของมันสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและกลิ้งไปรอบๆ เพื่อพยายามสลัดเยี่ยฉวนบนหลังออกไป แต่ไม่ว่าจะสะบัดแรงเท่าใดเยี่ยฉวนก็ติดอยู่เหนียวแน่นราวกับตะปู ทำให้กรงเล็บแหลมคมของอสุรกายพันขาไร้ผล
“เจ้าหนู เจ้าออกมาเร็วเกินไปเสียแล้ว หากเจ้าออกมาหลังจากนี้อีกสักพันปี แม้แต่ปรมาจารย์แห่งเต๋าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก แต่น่าเสียดาย…”
เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มเย็นชา เมื่อได้โอกาสเหมาะจึงไถลตัวขึ้นไปบนหลังของมัน
ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า แสงจากใบมีดพลันสว่างวาบอย่างสง่างาม
ท้ายที่สุดอสุรกายพันขาขนาดมหึมาก็กรีดร้องอย่างน่าสยดสยอง จุดเชื่อมเกล็ดระหว่างหัวและคอบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด กระดูกอ่อนที่เปราะบางภายใต้เกล็ดแข็งนั้นถูกฟันขาดสะบั้นในดาบเดียว
เกล็ดสีดำของอสุรกายพันขานั้นแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ แม้จะใช้ค้อนหนักอึ้งทุบตีเพียงใดก็ไม่อาจทำลาย และแม้แต่ดาบที่คมที่สุดก็ไม่อาจแทงทะลุผ่านไปได้อีกทั้งยังสามารถสกัดกั้นการโจมตีจากมนุษย์ได้ทุกรูปแบบ ทว่าจุดเชื่อมระหว่างเกล็ดสองส่วนนั้นกลับบอบบางราวกระดาษและถือเป็นจุดตายของมัน คนธรรมดามักไม่ล่วงรู้จุดอ่อนนี้จึงไม่ได้เข้าประชิดและโจมตีระยะไกลเพียงอย่างเดียว
เยี่ยฉวนนั้นแตกต่างออกไปเพราะเขาเตรียมพร้อมไว้อย่างดีแล้ว
ใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดรู้ดีเรื่องจุดแข็งและจุดอ่อนของอสุรกายพันขาไปกว่าเขา หากอสุรกายพันขาที่กำลังพักฟื้นอยู่ใต้ดินเป็นเวลาพันปีนี้ได้พบกับปรมาจารย์ขั้นซิวฉือคงเรียกลมและอัญเชิญฝนได้ หากแต่การได้พบเยี่ยฉวนนั้นถือเป็นกรรมของมัน
ประกายแสงที่รุนแรงและรวดเร็วพาดผ่านท้องฟ้าเป็นระยะ
เยี่ยฉวนมักไม่ลงมือโดยง่าย แต่เมื่อได้ลงมือแล้วการโจมตีของเขาจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคลื่นโหมกระหน่ำสาดซัดชายฝั่ง นิ้วมือทั้งซ้ายขวากำใบมีดบางเฉียบทั้งแปดไว้แน่นโดยมีใบสุดท้ายอยู่ในปาก เคล็ดวิชาคืบอรุณและใบมีดทั้งเก้าคือความหายนะของอสุรกายตนนี้
เมื่อผู้แข็งแกร่งทั้งสองปะทะกัน การฝึกตนและความแข็งแกร่งย่อมสำคัญมาก แต่เคล็ดวิชาที่มีผลยับยั้งและต้านทานอีกฝ่ายนั้นสำคัญยิ่งกว่า
หากจอมยุทธ์ขั้นซิวฉือบังเอิญได้เผชิญหน้ากับอสุรกายพันขาตนนี้คงจะถูกฝังกลบอยู่ในป่าไปแล้ว แต่เยี่ยฉวนผู้อยู่เพียงขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดกลับทำให้อสุรกายพันขาไร้กำลังจะต่อต้านได้
คอมเม้นต์