Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 97 กระดานหมากรุกแห่งฟ้าดิน
บทที่ 97 กระดานหมากรุกแห่งฟ้าดิน
โท่วป่าเซียงโยนแผนที่เหมืองแร่ให้เยี่ยฉวนเมื่อได้ยินคํา ถามของเขา ก่อนจะจากไปพร้อมกองทัพสํานักเครื่องนิลอย่างขุ่นเคือง
“อีกหนึ่งปีหากเจ้าไม่มาหาข้า ข้าจะไปฆ่าเจ้าที่สํานักหมอกเมฆาเสียเอง!”
โท่วป่าเซียงเนียวมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเดินจากไป
“ยอดรัก หนึ่งนานเกินไป ข้าทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มาพบข้าเย็นนี้จะเป็นไร” เยี่ยฉวนยิ้ม เขามองตามแผ่นหลังอันสง่างามของโท่วป่าเซียงเนียวพลางหวนนึกถึงจินหัวขึ้นมา
เมื่อมองย้อนไปเด็กหนุ่มผู้นั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับความอยุติธรรม ในยามนั้นนกอินทรียักษ์จําแลงกายเป็นโท่วป่าเซียงเนียวทําให้เขาหวาดกลัวและต้องการหนีงานแต่งงาน ไม่คาดคิดว่าโท่วป่าเซียงเนียวตัวจริงจะงดงามและทรงเสน่ห์ถึงเพียงนี้
โท่วป่าเซียงเนียวชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินคําของเยี่ยฉวน นางหันมาส่งสายตาดุดันพลางขบกรามแน่นก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นางไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไปด้วยกลัวว่าคําพูดของเยี่ยฉวนจะทําให้อับอายจนเกินจะสู้หน้า
เจ้าเล่ห์ เลวทราม ต่ำช้า ไร้ยางอาย
โท่วป่าเซียงเนียวสาปแช่งเยี่ยฉวนเป็นพันครั้งในใจขณะเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ โดยมีเสียงหัวเราะของบรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆาดังแว่วตามหลังมายินดีปรีดายิ่ง!
ผู้เปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะในการประลองวิทยายุทธ์และทิ้งห่างจนแทบไม่เห็นฝุ่นในการประลองสติปัญญา มิหนําซ้ำยังเชี่ยวชาญด้านการเกี้ยวหญิง อีกทั้งเพียบพร้อมด้วยความกล้าหาญ หลักแหลม และซื่อสัตย์ ช่างสมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวจริง!
ศิษย์ทั้งหมดในสํานักหมอกเมฆาทั้งภูมิใจและยินดี ตอนนี้จิตใจของพวกเขาปลอดโปร่งไร้กังวล บ้างถึงกับรีบเร่งกลับไปยังสํานักเพื่อแจ้งข่าวดีนี้
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้บรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆาต่างถูกข่มเหงและกดขี่จากสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ ยามออกไปสั่งสมประสบการณ์ภายนอก ทําให้ต้องต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมักจะพ่ายแพ้เสียเป็นส่วนใหญ่ การชนะการประลองครั้งยิ่งใหญ่จึงทําให้ศิษย์ทั้งหมดยินดีปรีดาเกินบรรยาย
“คุณชายเยี่ย ยินดีกับชัยชนะหมดจดของท่านด้วย”
หลิวหงเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเยี่ยฉวน นางอยู่ในชุดเกราะรัดรูปที่เผยให้เห็นผิวขาวดุจหิมะและร่องลึกเหนือหน้าอก ท่อนล่างสวมใส่กระโปรงหนังที่สั้นกว่าปกติเผยให้เห็นต้นขาขาวเนียนและเรียวขายาวชัดเจน
“ขอบใจ ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น” เยี่ยฉวนยิ้ม
เจ้าอ้วนและผู้อื่นแอบมองหลิวหงผู้เย้ายวนและร้อนแรง ทว่าเยี่ยฉวนกลับมองดูนางอย่างเปิดเผยตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะสั่นศีรษะ “อา! น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายนัก…”
“ท่านเสียดายอะไร? มีสิ่งใดไม่เหมาะสมงั้นหรือ?” หลิวหงสงสัย นางแสร้งเขินอายและพยายามดึงกระโปรงหนังลง
“ไม่ เจ้าเหมาะสมดีงามทุกอย่าง ข้าหมายความว่าน่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ศิษย์สํานักหมอกเมฆาและไม่ใช่ศิษย์น้องหญิงของข้า ไม่เช่นนั้นหากเจ้าทําผิดข้าก็สามารถฟาดก้นเจ้าได้” เยี่ยฉวนตอบ
หลิวหงหัวเราะคิกคักพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาของเยี่ยฉวน เสียงหัวเราะทําให้นางดูน่ามองขึ้นไปอีก
พวกเขาพ่ายแพ้ทั้งการประลองวิทยายุทธ์และการประลองสติปัญญา อีกทั้งยังสูญเสียสมบัติอันทรงพลังอย่างหอกโลหิต อาวุโสทั้งห้าแห่งสํานักเบญจลักษณ์มีสีหน้าเศร้าหมองและไม่อาจล่าถอยไปเช่นนี้ได้ การตายของศิษย์พี่ใหญ่อย่างกู่ชานเหลิงไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะพวกเขาสามารถเลือกผู้อื่นขึ้นแทนได้ตามปกติ ถึงอย่างไรก็มียอดฝีมือรุ่นเยาว์ในสํานักมากมาย ทว่าหอกโลหิตในเงื้อมมือของเยี่ยฉวนนั้นต่างออกไปแต่พวกเขาไม่รู้จะชิงคืนมาด้วยวิธีใด
สีหน้าของอาวุโสผู้หดหู่จนศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง มีเพียงหลิวหงที่เดินเข้าไปสนทนากับเยี่ยฉวนอย่างไม่ใส่ใจ
“ฮึ่ม ไร้ยางอายจริงๆ!”
รอยยิ้มของจูซือเจียเลือนหายไปจากใบหน้าเมื่อหันไปมอง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางกําลังสาปแช่งเยี่ยฉวนหรือหลิวหงผู้แต่งตัวอย่างใจกล้ากันแน่
“คุณชายเยี่ย พักหลังมานี้มีผู้ฝึกตนมากมายจากแดนไกลมาที่ตลาดมืดโดยนําผลไม้
สมุนไพร และเมล็ดพันธุ์ประหลาดมาด้วย ท่านสนใจหรือไม่? บางทีเราอาจหาเวลาไปเดินชมด้วยกันได้” หลิวหงกระซิบข้างหูเยี่ยฉวน
“คือข้า…” เยี่ยฉวนพึมพําโดยไม่ตอบคําถามทันที
หลิวหงรูปร่างหน้าตาสวยงามน่ารักและทําให้ผู้คนหลงเสน่ห์ได้โดยง่าย ทว่าสําหรับเยี่ยฉวนแล้วนางยังด้อยประสบการณ์นัก ไม่มีสตรีงามใดที่อดีตนักปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์อย่างเขาไม่เคยพบและเขาเชื่อว่าหญิงงามมักจะนําภัยพิบัติมาให้ เยี่ยฉวนจึงไม่อยากใกล้ชิดนางมากนักเพื่อเลี่ยงปัญหาที่ไม่จําเป็น
“มีอะไรหรือคุณชายเยี่ย ท่านกล้านําผู้ติดตามเข้าแข่งขันในการประลองครั้งยิ่งใหญ่และกล้าเข้าไปในเขาวงกตเพียงผู้เดียว แต่กลับไม่กล้าเดินเล่นในตลาดมืดกับข้าอย่างนั้นหรือ? อีกสามวันข้าจะรอท่านที่ตลาดมืดใต้ดินยามพลบค่ำ แล้วพบกัน ข้าจะไม่เอ่ยคําใดไปมากกว่านี้ไม่เช่นนั้นศิษย์น้องหญิงของท่านคงได้ระเบิดเป็นแน่” หลิวหงกระซิบบอกเยี่ยฉวนก่อนจะปรายตามองจูซือเจียและเดินไปสมทบกับกลุ่มสํานักเบญจลักษณ์ โดยมีเจ้าอ้วนและผู้อื่นมองตามบั้นท้ายกลมตาไม่กะพริบ
“ฮึ่ม! นี่เจ้ายังมองไม่พออีกหรือ? นางจิ้งจอกนั่นสวยนักหรืออย่างไร?!”
จูซือเจียจ้องเยี่ยฉวนเขม็ง นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องฉุนเฉียวขึ้นมาเพียงแค่เห็นหลิวหงและยิ่งโกรธขึ้นไปอีกเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่กับเยี่ยฉวน
“งดงาม เป็นทิวทัศน์ที่งดงามนัก”
เยี่ยฉวนยิ้ม คําพูดของเขาทําให้จูซือเจียโกรธจนแทบคลั่ง ชายหนุ่มจึงชี้ไปยังก้อนหินที่เขาวงกตพลางเอ่ยคําเบา “อย่าเข้าใจผิดไป เขาวงกตแห่งผาปากอินทรีและยอดเขาโดยรอบนี้ไม่สวยงามแปลกตาดีหรอกหรือ?”
เยี่ยฉวนตกอยู่ในภวังค์เมื่อทอดสายตาไปยังที่ไกลแสนไกลเพื่อมองดูยอดเขาสูงตระหง่านโดยรอบพร้อมเผยสีหน้าอ้างว้างสุดจะพรรณนา
ความรู้สึกโดดเดี่ยวจนถึงกระดูกแผ่ออกมาจากเบื้องลึกของจิตวิญญาณและโอบล้อมหัวใจของทุกคนในที่แห่งนี้ แม้แต่จูซือเจียก็ยังสับสนในจิตใจจนต้องกลืนคําสาปแช่งที่ปลายลิ้นกลับเข้าไป
“ข้าไม่เห็นความแตกต่างเลยศิษย์พี่ใหญ่ ยอดเขาพวกนี้แปลกตาอย่างไรหรือ?” จ้าวต้าจื่อสั่นศีรษะ แม้จะพินิจดูอย่างถี่ถ้วนอีกกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
คนจากสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์เดินหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว บนผาปากอินทรีเหลือเพียงผู้คนจากสํานักหมอกเมฆา เยี่ยฉวนไม่ได้ก้าวเท้าไปที่ใดจึงไม่มีใครขยับเขยื้อนแม้แต่ผู้เดียว
“ไม่มีอะไร เพียงแค่ยอดเขาเหล่านี้งดงามมากเท่านั้นเอง อย่าเพิ่งกลับคืนนี้เลย เรากลับกันพรุ่งนี้เถิด”
เยี่ยฉวนยิ้มบางๆ ก่อนจะกลับเข้าไปในเขาวงกตอีกครั้ง เขาปีนขึ้นไปบนก้อนหินที่สูงที่สุดก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงและพึมพํา “ด้วยผืนดินคือกระดานและยอดเขาคือตัวหมาก… หลายล้านปีผ่านไป ข้า เยี่ยฉวน ได้กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้ง แต่พวกเจ้าจากไปแล้ว…”
เยี่ยฉวนรู้สึกตื้นตันจนอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาท่ามกลางความงุนงงของผู้อื่น
นานแสนนานมาแล้วสภาพแวดล้อมของผาปากอินทรีไม่ได้เป็นเช่นนี้ บริเวณโดยรอบไม่ใช่ยอดเขาหากแต่เป็นพื้นที่ราบโดยมีเพียงผาปากอินทรีตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลาง เยี่ยฉวนได้มอบความบันเทิงแก่เหล่ายอดฝีมือในที่แห่งนี้โดยใช้ผืนแผ่นดินเป็นกระดานหมากรุกและยอดเขาเป็นตัวหมากรุก พวกเขาใช้พลังมหาศาลเคลื่อนย้ายยอดเขาเหล่านี้จากที่ห่างไกลเพื่อเล่นหมากรุกและเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
เขาวงกตบนผาปากอินทรีถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาขัดจังหวะการเล่นหมากรุก ในยามนั้นสหายของเขาคือราชาโอสถหัตถ์วิญญาณผู้ก่อตั้งสํานักหมอกเมฆารวมถึงเหล่าพยัคฆ์ร้ายและหมาป่าซึ่งเป็นผู้ติดตาม น่าเศร้าที่พวกเขาทั้งหมดได้จากไปเสียแล้ว
เจ้าอ้วนและผู้อื่นหันกลับไปวุ่นวายกับการจัดแจงค่าย ทว่าจูซือเจียกลับเหม่อเมื่อได้ยินเสียงพึมพําแผ่วเบาของเยี่ยฉวนแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงแววตาของอาวุโสลําดับสองที่ทอประกายกล้า เมื่อพินิจดูแล้วเขาพบว่ายอดเขาที่รายล้อมอยู่นั้นมีทิศทางตัดกันประหนึ่งริบบิ้นไหมสีขาวทอดยาวระหว่างหุบเขาสีเขียวและแม่น้ำสีดําจนเกิดเป็นแนวเส้นบางอย่าง
“ด้วยผืนดินคือกระดานหมากรุกและยอดเขาคือตัวหมาก… เยี่ยฉวน นี่เขา…”
หนานกงเหรินสั่นสะท้านและแววตาวูบไหวเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในจิตใจ จากนั้นจึงสงบสติอารมณ์ลง ในยามนี้สํานักหมอกเมฆากําลังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จึงต้องการศิษย์พี่ใหญ่ที่สามารถยืนหยัดท่ามกลางเหล่าผู้ติดตามและสามารถพลิกสถานการณ์ได้ เรื่องอื่นนั้นสําคัญรองลงมา
อาวุโสลําดับสองแสร้งทําเป็นไม่รู้สิ่งใดและหันหลังจากไป เยี่ยฉวนมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยรอยยิ้มบาง
แม้ชายชราผู้นี้จะอารมณ์ร้อนและหุนหันพลันแล่น ทว่ากลับฉลาดหลักแหลมกว่าผู้ใดทั้งสิ้น!
คอมเม้นต์