Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 103 ยอดเขาพยัคฆ์ขาว
บทที่ 103 ยอดเขาพยัคฆ์ขาว
ครู่หนึ่งผ่านไป หนานเทียนโตว จูซือเจีย และคนอื่นๆ ก ลับมารวมตัวกันบนยอดเขาเมฆาอินทนิลของเยี่ยฉวนด้วยความขุ่นเคืองใจ
“จู่ๆ ก็เกิดเพลิงไหม้โดยบังเอิญเช่นนี้จะเป็นฝีมือของคนสํานักเครื่องนิลได้อย่างไร?”
“ใช่ขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นมือสังหารจากสํานักเครื่องนิลจะบังเอิญตายหมดเช่นนี้หรือ? ศิษย์พี่ใหญ่สืบสวนเรื่องนี้เถอะขอรับ พวกเราควรส่งถ้อยแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังอาวุโสสูงสุดเพื่อให้มีการสอบสวนเข้มงวดจนถึงที่สุด!”
เจ้าอ้วนและคนอื่นๆ ร้องตะโกนโดยพร้อมเพรียงกัน เหตุเพลิงไหม้นี้บังเอิญเสียจนน่าสงสัย จินจื่อคุนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกทั้งอี้สั่วยังถูกไฟคลอกตายทําให้เบาะแสทั้งหมดถูกทําลายทันที
“เจียเจีย เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เยี่ยฉวนถาม
“ศิษย์พี่ใหญ่ตัดสินใจเถิด” จูซือเจียตอบ แม้จะโกรธเยี่ยฉวนที่ทําตัวไร้สํานึกและไปเดินกับหลิวหง แต่นางเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้และปล่อยให้เยี่ยฉวนเป็นผู้ตัดสิน
“เทียนโตว เจ้าล่ะ?” เยี่ยฉวนถามหนานเทียนโตวผู้สุขุมเยือกเย็น
“ข้าพร้อมทําตามที่ศิษย์พี่ใหญ่จัดการ” หนานเทียนโตวตอบอย่างประหยัดคําพูดราวกับมันคือทองคํา
เทียนโตวไม่เคยกล่าวยกย่องเยินยอผู้ใด ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาหยิ่งทะนง สันโดษ และไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด มีเพียงเยี่ยฉวนที่เขานับถือและการประลองครั้งยิ่งใหญ่ที่ผ่านมาทําให้ความนับถือทวีคูณขึ้นไปอีก เยี่ยฉวนอาจเทียบเขาไม่ได้ในด้านการฝึกตนแต่ด้านการวางอุบายนั้นเหนือชั้นกว่าแน่นอน
“ใช่ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านตัดสินใจเถิด พวกเราจะทําตามคําสั่งของท่านเอง ต้องสืบสวนอย่างเข้มงวดและสืบสวนให้ถึงที่สุด!” เจ้าอ้วนเอ่ยด้วยความแค้นเคือง
เยี่ยฉวนยกยิ้มขณะมองดูจ้าวต้าจื่อ “เจ้าอ้วน เหตุใดจึงใจร้อนเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้ถามเจ้าเลย”
“เอ่อ…”
ใบหน้าของเจ้าอ้วนแดงจัดราวกับผลแอปเปิ้ล ผู้คนพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นท่าที่อับอายนั้น
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน”
เยี่ยฉวนกวาดตามองฝูงชนก่อนกล่าวออกอย่างเรียบเฉย “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปจงทําตัวตามปกติ ลืมเรื่องเพลิงไหม้ไปเสีย ท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นแล้ว ทุกคนแยกย้ายได้”
“ศิษย์พี่ใหญ่” จูซือเจียและเจ้าอ้วนร้องเรียกด้วยความกังวล
“พวกเจ้าไม่ได้บอกว่าจะเชื่อฟังข้าหรอกหรือ? อะไรกัน? ยังไม่ทันไรก็ขัดคําสั่งข้าเสียแล้ว”
เยี่ยฉวนยิ้มยียวนพลางส่งสายตาให้จูซือเจีย ใบหน้าของหญิงสาวขึ้นสีเรือเมื่อนึกถึงคําพูดของเยี่ยฉวนที่ว่า “หากไม่เชื่อฟัง ข้าจะตีก้นเจ้าเสีย” เขามองนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “จริงอยู่ที่การตายของอี้สั่วทําให้เบาะแสหายไป แต่ผู้ที่ต้องร้อนใจคือผู้ที่บงการเรื่องนี้ไม่ใช่พวกเรา สํานักของเรากําลังฟื้นตัวขึ้นทุกวัน คนผู้นั้นคงเหลือเวลาอีกไม่มากนัก อีกทั้งอาวุโสสูงสุดก็ดูแลสํานักของเรามาหลายปี พวกเจ้าคิดว่าท่านได้เขี้ยวเล็บอย่างนั้นหรือ? วางใจเถิด สิ่งที่ต้องทําตอนนี้คือพยายามฝึกตนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ถึงที่สุดไป! แยกย้ายได้!”
“ขอรับ!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าลา!”
พวกเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเยี่ยฉวนพูดถูกจึงทยอยแยกย้ายไปทีละคน ลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาอินทนิลในยามนี้เหลือเพียงเยี่ยฉวนและปีศาจเพลิง หลังจากคิดทบทวนแล้วเยี่ยฉวนตัดสินใจไม่พาปีศาจเขาโค้งกลับมายังสํานักหมอกเมฆาหากแต่ปล่อยเขาไปยังภูเขาเบื้องหลังแทนปีศาจเขาโค้งแตกต่างจากปีศาจเพลิงเนื่องจากเป็นปีศาจที่แท้จริง เขาจึงไม่ควรเผยตัวจนกว่าจะใช้เคล็ดวิชาเก้าอสูรจําแลงได้อย่างสมบูรณ์
“ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อะไรเช่นนี้! หมากกระดานนี้น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว!”
เยี่ยฉวนปืนขึ้นไปบนยอดเขาเมฆาอินทนิลก่อนจะทอดสายตามองสํานักอันเงียบสงัดภายใต้ท้องฟ้าที่พร่างพรายไปด้วยหมู่ดาว ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิลงและนําโคมบงกชสีครามออกมา ดวงจิตของเขาลอยวนรอบยอดเขาก่อนจะโบยบินออกไป
ณ ภูเขาม่านหมอก อาวุโสลําดับสองกําลังดูแลไผ่ผิวมังกรอย่างพิถีพิถันราวกับไม่รู้สึกถึงความขุ่นเคืองเมื่อครู่
ณ ลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาสีคราม จูซือเจียไม่รู้สึกง่วงงุนแต่อย่างใด นางถอดเสื้อผ้าทิ้งไปเหลือไว้เพียงชั้นในบางเบาพลางเดินกลับไปกลับมาด้วยความโกรธ เรือนร่างเย้ายวนใจเสียจนแม้แต่เยี่ยฉวนก็ยังประหม่าเมื่อได้เห็นนางสวมใส่น้อยชิ้นเช่นนี้
ถึงอย่างนั้นดวงจิตของเยี่ยฉวนก็วนเวียนอยู่ในลานกว้างแห่งยอดเขาเมฆาสีครามอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะมุ่งตรงไปยังยอดเขาพยัคฆ์ขาว
ยอดเขาพยัคฆ์ขาวอันสูงตระหง่านมีรูปร่างเหมือนพยัคฆ์ร้ายหมอบนิ่งอยู่ในสํานักและได้รับการอารักขาอย่างเข้มงวดเนื่องจากเป็นที่พํานักของอาวุโสลําดับสาม
ดวงจิตของเยี่ยฉวนลอบเข้าไปอย่างระมัดระวังโดยพยายามหลีกเลี่ยงค่ายกลตรวจจับวิญญาณและหน่วยลาดตระเวนประจํายอดเขาพยัคฆ์ขาว
การประลองครั้งยิ่งใหญ่ทําให้ชื่อเสียงของเยี่ยฉวนแพร่กระจายอย่างกว้างขวางและนําความภาคภูมิยินดีมายังสํานักหมอกเมฆาที่ถูกกดขี่มาเนิ่นนาน ความอาภัพและโชคร้ายตลอดหลายปีที่ผ่านมาถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้น ศิษย์ทั้งหลายให้คําปฏิญาณว่าจะพากเพียรฝึกตนเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการฟื้นฟูในสํานัก ทว่าความตายของเจ้าแห่งหอแปรธาตุและศิษย์สายตรงอย่างอี้สั่วทําให้อาวุโสลําดับสามสูญเสียทั้งมือซ้ายและมือขวาไปพร้อมกัน อีกทั้งการสังหารอี้สัวอย่างโหดเหี้ยมเป็นการทําลายเบาะแสและกระตุ้นความเคลือบแคลงใจของอาวุโสสูงสุดมากขึ้นไปอีก บัดนี้สถานการณ์ของอาวุโสลําดับสามจึงไม่สู้ดีนัก เขาต้องเคลื่อนไหวภายในสํานักอย่างระแวดระวังเพราะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
เยี่ยฉวนเฝ้ารอให้อาวุโสลําดับสามเผยตัวอย่างใจเย็นแต่การสอดแนมก็เป็นสิ่งจําเป็น ดังคํากล่าวที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
เป็นเวลาเกือบรุ่งสางทว่ายอดเขาพยัคฆ์ขาวยังคงสว่างไสวด้วยโคมไฟ
กลุ่มทหารอารักขาท่าทางดุดันยืนอยู่ภายนอก แม้พวกเขาจะเป็นระดับหัวกะทิแต่กลับมีสีหน้าหวาดหวั่น ทั้งหมดปิดปากแน่นจนแทบไม่กล้าหายใจ
ภายในหอพยัคฆ์ขาวเงียบสงัด คบไฟที่แขวนเรียงรายอยู่บนผนังลุกโชติช่วงทว่าอากาศกลับเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง ร่างกายผ่ายผอมของอาวุโสลําดับสามนั่งนิ่งไร้การเคลื่อนไหวอยู่บนแท่นสูง สีหน้าอาฆาตแค้นนั้นซีดเผือด ทั้งร่างเย็นเฉียบไร้ปราณและโลหิตราวกับศพที่เพิ่งคลานออกมาจากหลุม
ดวงจิตของเยี่ยฉวนล่องลอยอยู่ใต้ชายคาของหอพยัคฆ์ขาวโดยพยายามข่มกระแสพลังงานให้อ่อนลงที่สุด
อาวุโสลําดับสามเป็นผู้ฝึกตนอีกประเภทที่แตกต่างจากจินจื่อคุนผู้ฝึกฝนกายหยางศักดิ์สิทธิ์ เขาฝึกฝนดวงจิตด้วยเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจเป็นพิเศษอีกทั้งยังมีรูปลักษณ์ถึงสองแบบ ชายชรามักจะยิ้มแย้มต่อหน้าผู้คนประหนึ่งไม่มีพิษภัยแต่กลับเผยธาตุแท้ทันที่ที่กลับมายังหอพยัคฆ์ขาว แม้แต่ร่างกายยังแผ่รังสีเย็นเยียบและหดหูทําให้ผู้คนโดยรอบสันเทาด้วยความหวาดกลัว
เยี่ยฉวนนั้นมากล้นด้วยประสบการณ์ เมื่อมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าอาวุโสลําดับสามอันตรายยิ่ง
ร่างของผู้ฝึกกายหยางศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่ว่ากระบี่หรือหอกก็ไม่อาจกล้ำกรายอีกทั้งเลือดและปราณยังเดือดพล่านไปด้วยปราณหยางจึงทนทานต่อปราณหยินทุกรูปแบบ ทว่าร่างกายของปรมาจารย์ผู้ฝึกดวงจิตกลับไม่เป็นเช่นนั้นหากแต่อันตรายกว่ายิ่งนัก หากดวงจิตตกอยู่ในมือของผู้ฝึกตนประเภทนี้ไม่ว่าจะร้องขอชีวิตหรือความตายก็ไร้ซึ่งความหวัง
อาวุโสลําดับสามนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบลูกแก้วออกมาจากอก เขาใช้เคล็ดวิชาดึงดวงจิตออกมาจากลูกแก้วและแปรเปลี่ยนเป็นเงาพร่ามัว ลักษณะบนใบหน้าบ่งบอกว่านี่คืออี้สั่วผู้ถูกไฟคลอกตายในสถานจองจํา
“ท่านอาจารย์ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย! อี้สั่วผิดไปแล้วเข้าผิดเองท่านอาจารย์ โปรดไว้ชีวิตข้า” อี้สั่วอ้อนวอนขอความเมตตาเสียงดังลั่น ร่างเงาของเขาสั่นสะท้าน
ร่างกายของเขาถูกเผาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ทว่าอาวุโสลําดับสามสามารถเก็บรักษาวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์นี้ไว้ได้ด้วยวิธีการบางอย่าง
“เจ้าทํางานของเจ้าสําเร็จหรือไม่?” อาวุโสลําดับสามเอ่ยถามอย่างมืดมน
อี้สั่วพยักหน้าตามสัญชาตญาณก่อนจะสั่นศีรษะอีกครั้ง “ไม่สําเร็จขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ศิษย์พลาดไปแล้ว ข้าขอร้องท่านอาจารย์
“ใครบอกให้เจ้าเข้าร่วมการประลองครั้งยิ่งใหญ่?” อาวุโสลําดับสามขัดจังหวะอย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์ ข้า” ร่างของ อี้สั่วสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“จินจื่อคุนอยู่ไหน?” อาวุโสลําดับสามถามขึ้นอีกครั้ง
อี้สั่วสั่นศีรษะอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้จริงๆ ท่านอาจารย์ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ต่อจากนี้ศิษย์จะ…”
“ไม่มีต่อจากนี้ ในเมื่อเจ้าทําไม่สําเร็จแล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร?”
อาวุโสลําดับสามตวัดมืออย่างไร้อารมณ์ ดวงจิตของอี้สั่วกรีดร้องสยดสยองเมื่อถูกฟาดจนตาย!
ชายชราผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมเสียจริง!
เยี่ยฉวนผู้คุ้นเคยกับวิธีการอํามหิตไร้ความปรานีเช่นนี้ยังอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งโดยไม่ตั้งใจ คลื่นพลังวิญญาณแพร่กระจายออกไปเล็กน้อย ฟาดศิษย์สายตรงที่บ่มเพาะมาหลายปีจนตายอย่างไร้อารมณ์เช่นนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?
“ใครกัน?”
อาวุโสลําดับสามเงยหน้าขึ้นฉับพลันก่อนจะฟาดฝ่ามือไปทางดวงจิตของเยี่ยฉวนที่ซ่อนอยู่ใต้ชายคาทันที!
คอมเม้นต์