Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 106 ปีศาจวัวนัยน์ตาอสูร
บทที่ 106 ปีศาจวัวนัยน์ตาอสูร
เยี่ยฉวนเดินทางลงจากยอดเขาเมฆาอินทนิล ทว่ายังไม่ได้เดินเข้าไปสํารวจในป่าหลังเทือกเขาในทันที เขาเดินทางไปยังหุบเขาที่ตั้งอยู่หลังสํานักหมอกเมฆาก่อน
ปีศาจเขาโค้งนากู๋ซือปลีกตัวอยู่ในถ้ำใต้ดินที่อยู่ไม่ไกลจากหุบเขามังกรปีศาจอย่างสันโดษ เขากําลังนั่งสมาธิฝึกตนอย่างเงียบเชียบ เขาตั้งใจฝึกฝนและเรียนรู้เคล็ดวิชาเก้าอสูรจําแลง เมื่อเห็นประโยชน์ของการใช้เคล็ดวิชาดังกล่าวจากการปลอมตัวเป็นศิษย์ชั้นนอกของสํานักหมอกเมฆา เพื่อสังหารคู่ต่อสู้ในการประลองครั้งใหญ่ระหว่างสามสํานัก นับจากนี้ต่อให้เยี่ยฉวนสั่งการให้เขาบุกเข้าไปในสํานักเครื่องนิลและลอบสังหารเจ้าสํานักโท่วป่าเซียง เขาก็ยินดีทําโดยไม่ปฏิเสธ!
“ถูกแล้ว…การเพียรฝึกตนอย่างเคร่งครัดคือกฏสําคัญของการฝึกฝนเคล็ดวิชาเก้าอสูรจําแลง”
เยี่ยฉวนหยิบใบไผ่ใบหนึ่งโยนไปทางนากู๋ซือ จากนั้นจึงหันกลับเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าลึกหลังเทือกเขาหมอกเมฆา
หากจะปราบปรามคู่ต่อสู้ให้ราบคาบควรวางกลยุทธ์อย่างเป็นขั้นตอน ครั้นศัตรูเพลี่ยงพล้ำจึงจัดการสังหารในคราวเดียว! การซื้อใจคนก็เช่นกัน จะต้องหว่านล้อมที่ละขั้น เมื่อปีศาจเขาโค้งฝึกฝนจนบรรลุขั้นที่สอง แน่นอนว่าย่อมคาดหวังการบรรลุขั้นที่สาม ขั้นที่สี่ และขั้นที่สูงยิ่งขึ้น หากเป็นเช่นนั้นจริงนากู๋ซือจะไม่สามารถปลดปล่อยตนให้เป็นอิสระจากเยี่ยฉวนได้อีกต่อไป!
หากเริ่มเล่นหมากรุกอันดับแรกคือต้องจัดเรียงตัวหมากบนกระดานเสียก่อน ในเมื่ออาวุโสลําดับสามไป๋เยี่ยนหูผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจของเขายังไม่ถูกกําจัดให้พ้นทาง เขาจะต้องจัดเรียงหมากที่ยังอยู่ในความควบคุมให้ดี!
ภพชาติแรกเขาสามารถซ่อนเร้นสวรรค์ทั้งหมดไว้ด้วยฝ่ามือเดียวได้ ทว่าภพชาตินี้เขาไม่ต้องการเพียงเท่านั้น เขาจะต้องก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเหนือกว่าภพที่แล้วให้จงได้!
สํานักหมอกเมฆามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทั้งยังเป็นหนึ่งในสํานักเพียงไม่กี่แห่งในอาณาจักรต้าฉินที่มีมรดกเก่าแก่และสมบัติหายากจากยุคโบราณ แนวเทือกเขาสูงตระหง่านที่ทอดยาวเป็นระยะทางเกือบหนึ่งหมื่นลี้แห่งนี้ ล้วนอยู่ภายใต้การครอบครองของสํานักเบญจลักษณ์และสํานักเครื่องนิล ที่แยกตัวจากการอยู่ใต้อิทธิพลของสํานักหมอกเมฆาและตั้งต้นเป็นใหญ่ ระยะหลังมานี้สํานักที่ก่อตั้งมายาวนานเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ จึงเหลืออาณาเขตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนทิ้งระยะห่างจากสํานักมาไกลโข..
เทือกเขาหมอกเมฆาปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกหนาทึบทั้งปี ผืนป่าที่ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขาก็รกชัฏและมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ไกลออกไปยังมีภูเขาอีกลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ต่อกันเป็นลูกโซ่ ตลอดระยะทางที่เขาเดินขึ้นไป ล้วนได้ยินเสียงสิงสาราสัตว์แผดเสียงคํารามเซ็งแซ่ หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ คงหวาดกลัวเสียจนไม่กล้าเกินต่อ ทว่าเยี่ยฉวนยังคงเดินขึ้นไปด้วยท่าทางผ่อนคลายและรวดเร็วราวติดปีก
ตอนที่เขาอยู่ในสํานักหมอกเมฆา เขาคอยควบคุมความสามารถของตนอยู่เสมอเพราะไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนให้ผู้ใดรับรู้ ทว่าในป่าลึกแห่งนี้เขาไม่จําเป็นต้องพะวงถึงกฏเกณฑ์และข้อจํากัดใดๆ อีกต่อไป! ชายหนุ่มเร่งความเร็วและปลดปล่อยให้ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสองผืนหลั่งไหลออกมาจากร่างอย่างอิสระ พลางสูดกลืนอากาศบริสุทธิ์พร้อมปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินที่ควบแน่นอยู่บนชั้นบรรยากาศอย่างเต็มที่ ราววาฬยักษ์ที่กําลังหิวโหยเหยื่อรสเลิศ!
ยันต์กลืนกินสวรรค์ทําให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งหมื่นแปดพันจิน! เมื่อยันต์ทั้งสองส่วนที่ไหลเวียนอยู่รอบกายสําแดงฤทธิ์ เหล่าสัตว์อสูรต่างๆ ได้แต่หลบหลีกอย่างวุ่นวาย ถึงกระนั้นก็ยังมีสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาต่ำและไม่กลัวตายย่างกรายเข้ามาขวาง
อสูรกายหมานรกกระโจนเข้ามา..ถูกฆ่า!
อสรพิษหลังทองแผ่แม่เบี้ยพร้อมฉกอย่างรวดเร็วถูกตัดหัวขาดสะบั้น!
เยี่ยฉวนยังคงเดินรุดไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ทิ้งระยะห่างจากสํานักหมอกเมฆามากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งอสูรกายหมานรกและอสรพิษหลังทองไม่ใช่สัตว์อสูรกลายพันธุ์ที่เขาตามหา ดังนั้นเขาจึงบดขยี้พวกมันอย่างไม่ลังเล! อาวุธที่ใช้ในการสังหารเป็นเพียงกิ่งไม้ที่เขาหยิบขึ้นมาระหว่างทางเท่านั้น แต่เมื่อเขาโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ กิ่งไม้เพียงอันเดียวก็มีอานุภาพมากพอจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนสิ้นซาก!
เขาเดินทางมาถึงส่วนลึกใจกลางเทือกเขาในเวลาพลบค่ำ ย่ามของเขาเต็มไปด้วยสมุนไพรหลากหลายชนิดที่เก็บมาได้ตามรายทาง แต่พวกมันล้วนเป็นเพียงพืชสมุนไพรธรรมดา เขายังไม่พบพรรณพืชหายากที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาดวงจิตที่บาดเจ็บแม้แต่ต้นเดียว…และยังไม่พบสัตว์อสูรตนใดที่คู่ควรต่อการฝึกฝนให้เป็นบริวาร
หนึ่งวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เยี่ยฉวนตื่นจากการทําสมาธิฝึกตนตลอดทั้งคืนก่อน เดินเข้าไปในป่าเพื่อทําการสํารวจต่อไป ยิ่งเดินลึกเข้าไปเพียงใด สมุนไพรและสัตว์อสูรนานาพันธุ์ก็ยิ่งปรากฏขึ้นมากเท่านั้น! ทว่าของเหล่านั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
คืนที่สองเยี่ยฉวนไม่ได้นอนหลับพักผ่อนหรือทําสมาธิฝึกตน แต่กลับเดินเตร่ต่อไปภายใต้ความมืดมิดยามราตรีที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว ล่วงไปจนเที่ยงคืนเขาก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งที่สูงชันยิ่ง!
บริเวณแห่งนี้คือหุบเขาข้างภูเขาไฟ บรรยากาศโดยรอบร้อนระอุและเต็มไปด้วยเถ้าถ่าน รอยแตกบนพื้นดินบางจุดยังมีลาวาสีส้มแดงที่ยังเดือดพล่าน ภูเขาลูกอื่นยังพอมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ทว่าพื้นที่นี้กลับแห้งแล้ง มีเพียงพืชป่าที่เรียกว่าสมุนไพรมังกรคะนองเท่านั้นที่เจริญเติบโต
เยี่ยฉวนเดินเข้าไปสํารวจใกล้ๆ ก่อนถอนสมุนไพรดังกล่าวที่ขึ้นมาอย่างระมัดระวังเนื่องจากมันมีคุณสมบัติเป็นพิษ หากเผลอกินเข้าไปอวัยวะภายในจะเปื่อยเน่าและหยุดทํางาน ฤทธิ์กัดกร่อนที่ร้ายแรงเช่นนี้ทําให้แม้แต่สัตว์อสูรยังไม่กล้าแตะต้อง ทว่าหากนํามาใช้อย่างถูกวิธีในปริมาณที่เหมาะสมมันจะให้คุณมากกว่าโทษ ดังนั้นนักปรุงยาจึงนิยมใช้มันเพื่อกลั่นเป็นยาเม็ดมังกรคะนอง!
นอกจากนี้ในบริเวณเดียวกันยังปรากฏสมุนไพรมังกรคะ นองอีกหลายต้นทว่าทุกต้นมีอายุเพียงสิบกว่าปี เขาค้นหา ต้นที่เติบโตเป็นระยะเวลาหนึ่งร้อยปีหรือมากกว่านั้นจาก รอยปริแตกของพื้นหินได้ยากยิ่ง ยิ่งเดินสํารวจลึกเข้าไปพื้น ดินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งลาวายังพุ่งขึ้นมาจากใต้พิภพบ่อยครั้ง!
เยี่ยฉวนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์อย่างต่อเนื่องโดยไม่ประ มาทขณะเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ ครั้นผ่านไปครึ่งชั่วยาม จมูกของเขาพลันกระตุกเมื่อได้กลิ่นที่แตกต่างออกไป จึงเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน ทันใดนั้นสมุนไพรมังกรคะนองต้นใหญ่ที่เติบโตอยู่บนหน้าผาอีกฝั่งประจักษ์ชัดต่อสายตา! เขากวาดสายตามองเพียงปราดเดียวก็รู้ทันทีว่ามันต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าเจ็ดร้อยหรือแปดร้อยปีเป็นแน่!
“ประเสริฐนัก!”
แววตาของเขาวูบไหวอย่างตื่นเต้น! ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบวิ่งไปยังบริเวณดังกล่าวและหยุดยืนอยู่บนหินก้อนหนึ่งพลางยื่นมือออกไปหมายเด็ดต้นพืช แต่แล้วกลับชะงักไปชั่วครู่เมื่อตระหนักถึงบางสิ่ง ต้นพืชที่มีอายุมากถึงเจ็ดร้อยปีเช่นนี้ไม่ควรใช้มือถอนขึ้นมาอย่างนุ่มบ่าม เขาจึงเปลี่ยนมาใช้จอบบรรจงขุดสมุนไพรมังกรคะนองขึ้นมาอย่างเบามือโดยระมัดระวังให้ลําต้นและรากอยู่ครบถ้วน
สมุนไพรมังกรคะนองมีสมบัติเป็นหยาง ดังนั้นหากเขานํามันไปปลูกในป่าข้างหุบเหวมังกรปีศาจซึ่งมีปราณหยางหนาแน่นจะต้องเจริญเติบโตอย่างน่าอัศจรรย์!
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังและใกล้เข้ามาในระยะไม่ถึงสิบเมตร!
ใคร?!
เยี่ยฉวนที่กําลังขุดดินอย่างขะมักเขมันหยุดชะงักการกระทําและตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวนั้นทันที!
บุคคลผู้นี้เดินเข้ามาใกล้เกินสิบเมตรโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว เขาคงจดจ่ออยู่กับบางสิ่งจนหลงลืมเรื่องความปลอดภัยของตนเอง!
ชายหนุ่มโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสองใบ สมองคิดวางแผนการโจมตีกลับอย่างลับๆ ขณะหันหลังกลับอย่างเนิบช้า ทันใดนั้นสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง!
สิ่งที่เดินเข้ามาใกล้เขาไม่ใช่มนุษย์ทว่าเป็นลูกวัวตัวเล็กที่เดินออกมาจากความมืด ลักษณะของมันดูแข็งแรงกํายํา ใต้กีบเท้ามีหนังด้านหนาหลายชั้นทําให้มันไม่ส่งเสียงขณะเดิน ดวงตาคู่หนึ่งของมันกลมโตกว่าวัวทั่วไปทั้งยังมีขนาดใหญ่เกือบเท่าถ้วยชาม เวลามันสํารวจสิ่งใดแทนที่จะหันหน้ามองตรงๆ กลับหันหน้าไปทางหนึ่งและมองโดยใช้ตาเพียงข้างเดียว ท่าทางเช่นนั้นดูแล้วน่าขบขันยิ่ง
“ปีศาจวัวงั้นหรือ?! มันเดินมาจากที่ใดกัน?”
เยี่ยฉวนรําพึงด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายลง
วัวลักษณะแปลกประหลาดตัวนี้มีนามว่า ปีศาจวัวนัยน์ตาอสูร หรือเรียกสั้นๆ ว่าปีศาจวัว มันเป็นที่รู้จักดีในดินแดนรกร้าง ทว่าความร้ายกาจของมันทําให้ชื่อเสียงของมันโด่ งดังไปในทางที่เสื่อมเสีย!
ปีศาจวัวมีร่างกายใหญ่โตและแข็งแกร่งแค่ภายนอก อุปนิสัยของมันขลาดเขลาและดื้อรั้น ในเวลาปกติมันจะเบี่ยงหัวไปด้านข้างและมองดูมนุษย์ด้วยดวงตาสุกสว่าง แต่ ตอนที่มันโกรธดวงตาของมันจะเปล่งแสงสีฟ้าออกมาราวกับเป็นอาวุธสังหาร! แม้ความสามารถจะทรงพลังเพียงใดแต่ การเคลื่อนไหวของมันกลับเชื่องช้า หากโจมตีศัตรูหนึ่งร้อยครั้งก็พลาดเป้าไปแล้วถึงเก้าสิบเก้าครั้ง! ดังนั้นพวกมันจึงถูกจัดให้เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำมาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งผู้คนยังนิยมหยิบยกชื่อของมันมาเปรียบเทียบกับคนที่ดื้อรั้นและมุทะลุอยู่เนืองๆ
เยี่ยฉวนหัวเราะก่อนหันกลับไปขุดสมุนไพรมังกรคะนอง ต่อเมื่อเห็นว่าปีศาจวัวไม่ใช่ภัยคุกคามที่เขาต้องเกรงกลัว แต่เขาคิดเช่นนั้นได้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล เมื่อหันกลับไปมองอีกทีจึงเห็นว่าปีศาจวัวนัยน์ตาอสูร เดินออกมาจากความมืดทีละตัวก่อนเพิ่มจํานวนขึ้นเรื่อยๆ พวกมันเบี่ยงหัวไปด้านข้างและมองมนุษย์ผู้บุกรุก จากนั้นดวงตาแต่ละข้างก็ค่อยๆ แปรเป็นสีฟ้าด้วยความไม่พอใจ!
คอมเม้นต์