Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 186 ช่างน่าโมโหอะไรเช่นนี้
บทที่ 186 ช่างน่าโมโหอะไรเช่นนี้
ขณะหลิวหงพินิจขั้นพลังอันแปลกประหลาดของก้อนผลึกน้อยที่วางอยู่บนฝ่ามืออย่างถี่ถ้วน เยี่ยฉวนกลอบพิจารณามันเช่นกัน
สมบัติชิ้นนี้มีระดับเพียงขั้นปถพี่เท่านั้น ไม่ควรค่าที่จะแย่งชิงมาครอบครอง เมื่อครั้งอดีตสมัยที่เขาสามารถซ่อนเร้นสวรรค์ไว้ด้วยฝ่ามือ เขารอบรู้เคล็ดวิชามากถึงสามพันอย่าง แม้แต่สมบัติระดับเทวาลัยยังมีในครอบครองนับไม่ถ้วน กระทั่งต้องมอบเป็นของกํานัลให้ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ราชินีอสูรเมตรสีคราม และบริวารคนอื่นๆ
แต่เมื่อเพ่งพินิจก้อนผลึกนั้นให้นานขึ้นดวงตาของเขากลับเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นทันใด!
บนพื้นผิวของมันสลักตราอักขระโบราณไว้เป็นจํานวนมาก หากสังเกตเพียงผ่านๆ อาจเห็นเป็นลวดลายที่ไร้ระเบียบ แต่เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าเป็นตําราเคล็ดวิชาบางอย่างที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นแตกต่างจากเคล็ดวิชาที่พบเห็นได้ทั่วไปในดินแดนรกร้างภายนอก!
เยี่ยฉวนและหลิวหงพยายามวิเคราะห์และดกลับทําไม่สําเร็จเสียที คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยตระหนักว่ามีบางสิ่งผิจัดการแบ่งก้อนผลดังกล่าวออกเป็นสัดส่วนที่เหมาะสม แต่แม้ใช้ความเพียรมากเพียงใดปกติ
“นายท่าน นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชาทั่วไป แต่เป็นเคล็ดวิชาขัดเกลาอักขระ..ศาสตร์แห่งการขัดเกลาอักษร!” เสียงของวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยดังก้องกังวานขึ้นในห้วงความคิดของเยี่ยฉวน
“เคล็ดวิชาขัดเกลาอักขระงั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนประหลาดใจยิ่ง! แม้ตัวเขาไม่ชํานาญด้านการขัดเกลาอักษรโบราณมากนักแต่ก็เคยขลุกตัวอยู่กับตําราเหล่านั้นอยู่บ้างในภพชาติก่อน นับเป็นครั้งแรกที่เขาพบเคล็ดวิชาดังกล่าวด้วยตนเอง
“อืม…มันไม่ใช่เคล็ดวิชาขัดเกลาอักขระทั่วไป แต่มาจากอีกโลกหนึ่งที่อยู่เหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์!”
วิญญาณร้ายเฮยกุ้ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริม “หากอ้างอิงตามตํานาน…เคล็ดวิชาการฝึกตนของสํานักหุ่นกระบอกของข้าก็มาจากสถานที่แห่งนั้นเช่นกัน นับตั้งแต่ท่านเจ้าสํานักได้รับมันมาและทําการฝึกฝนจนบรรลุ เขาจึงก่อตั้งสํานักหุ่นกระบอกขึ้น นายท่าน…หากการคาดเดาของข้าไม่ผิดพลาด นอกจากเคล็ดวิชาขัดเกลาอักขระนี้จะมาจากอีกโลกหนึ่ง ก้อนผลึกรูปมนุษย์นี้ยังมีปราณที่ซึมซับมาจากโลกใบนั้น การขัดเกลามันย่อมมีพลังเหนือธรรมดาอย่างแน่นอน!”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบทว่าดวงตาฉายแววสดใสขึ้นทุกขณะ
ตลอดระยะเวลาที่เขาถูกจองจําในสุสานเทพเจ้า เขาไม่อาจรับรู้ว่าเหตุการณ์ภายนอกเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แต่วิญญาณร้ายเฮยกุ้ยที่สิงสถิตอยู่ในตุ๊กตาหุ่นกระบอกย่อมมีประสบการณ์มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย! ต่อให้ชายชราไม่รู้ วิญญาณร้ายตนอื่นที่แข็งแกร่งกว่าและมีช่วงชีวิตบนดินแดนรกร้างในอดีตยาวนานกว่าย่อมรู้เป็นแน่! หากเขาตามหาพวกมันและสร้างพันธะโลหิตดึงมาเป็นบริวารเยี่ยฉวนจะสามารถชดเชยช่วงเวลาที่เสียไปได้ จากคําบอกเล่าของวิญญาณเหล่านั้น!
ความรู้สึกกระตือรือร้นก่อเกิดขึ้นในจิตใจ สมองอันปราดเปรื่อง คิดวางแผนการสํารวจดินแดนรกร้างอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภพชาตินี้จนจะมีโอกาสได้พบราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ราชินีอสูรเนตรสีคราม และบรรดาผู้ติดตามคนอื่นๆอีกครั้ง
หากเขาต้องการก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของยุทธภพอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาต้องใช้ความเพียรพยายามสูงกว่าผู้อื่นหลายเท่า ทว่า เขามีหนทางที่ง่ายกว่าคือการยืนอยู่บนไหล่ยักษ์จนตนอยู่สูงเหนือทุกสรรพสิ่ง เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ที่เขามีจะทําให้เขาเป็นนายเหนือสัตว์อสูรและวิญญาณชั่วร้ายทั้งมวลในใต้หล้า ทั้งยังมีสาวกผู้ติดตามที่แข็งแกร่งมากมายเฉกเช่นภพชาติก่อนอีกครั้ง แม้แต่ยักษ์สูงใหญ่ยังอยู่ใต้บังคับบัญชา หนําซ้ํายังมีสิ่งที่เรียกว่าพลังไร้เทียมทานอยู่ในกํามือ ถึงเวลานั้นใครเล่าจะหยุดยั้งเขาได้?!
จะทําการค้าให้รุ่งเรืองต้องพึ่งพาอํานาจ…การฝึกตนก็เช่นกัน!
คําพูดของวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยทําให้เยี่ยฉวนจมดิ่งสู่ห้วงจินตนาการอันลึกล้ํา!
“คุณชายเยี่ย! เป็นอะไรไป? คุณชายเยี่ย…”
หลิวหงเดินเข้าใกล้เยี่ยฉวนพลางกระซิบเสียงทุ่มต่ําเมื่อเห็นเขานิ่งงันไปครู่ใหญ่ ดวงตากลมโตของนางกะพริบปริบด้วยความสงสัย
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว เรื่องนี้ไม่เห็นต้องไตร่ตรองให้มากความ ในเมื่อข้าเป็นคนสุดท้ายที่ทําการโจมตีจนมีชัยชนะเหนืออสูรหิน ก้อนผลึกอันน้อยนั้นก็ควรเป็นของข้าไม่ใช่หรือ?!” เยี่ยฉวนตื่นขึ้นจากภวังค์พลางมองไปที่หลิวหงด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ เขาไม่เรียกขานอีกฝ่ายว่าแม่นางหลิวอีกต่อไปแต่กลับเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ตามศิษย์พี่น้องทั้งสอง!
ใบหน้าหลิวหงแดง…เมื่อได้ยินคําพูดของเยี่ยฉวน ทว่าทักษะการควบคุมอารมณ์ของนางเหนือกว่าโท่วปาเซียงเนียวหลายเท่า สีหน้านางแปรเปลี่ยนกลับเป็นปกติขณะฉีกยิ้มอย่างอ่อนหวานก่อน กล่าวออก “ขออภัยด้วยคุณชายเยี่ย…ข้ามีเรื่องต้องเจรจาในส่วนนี้ การต่อสู้เมื่อครู่ที่หนาซานได้ใช้ความพยายามอย่างมาก ทั้งขั้นการฝึกตนของเขายังไม่สูงนัก ซ้ําร้ายยังไม่มีเคล็ดวิชาประจํากาย ต่อให้เขาเปี่ยมด้วยพรสวรรค์แต่หากมีขั้นการฝึกตนต่ําต้อยคงไม่เหมาะสมเท่าใด คงจะเป็นการดีกว่าหากมอบมันให้พี่หนาซาน ป่าหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ข้าเชื่อว่าเบื้องหน้าคงมีสมบัติอีกมากมายรออยู่ไม่น้อย อีกอย่างอสูรหินในที่แห่งนี้คงไม่ได้มีเพียงตัวเดียว พวกเราทุกคนย่อมมีโอกาสได้ครอบครองก้อนผลึกอย่างเท่าเทียม ข้อนี้คุณชายเยี่ยคิดเห็นอย่างไร?”
หลิวหงต้องการผูกขาดสิทธิ์ครอบครองก้อนผลึกรูปมนุษย์ที่สกัดได้จากอสูรหินเศียรสุนัข หญิงสาวไม่กล่าวถึงความต้องการนี้ตามตรง แต่กลับยกหนาซานมาเป็นข้ออ้างอย่างแนบเนียน สิ่งที่นางกล่าวไม่ใช่การเจรจา ทว่าเป็นการยกเหตุผลอื่นมาสนับสนุนความชอบธรรมยิ่งขึ้น ส่วนหนาซานและหนาสู่ยยังเสแสร้งเล่นละครตามผู้เป็นนาย สีหน้าของเขาหมองเศร้าอย่างน่าสงสาร หากเยี่ยฉวนกล่าวเพียงประโยคเดียวว่าไม่เห็นควร เข่าของทั้งคู่คงทรุดลงกองกับพื้นอย่างผิดหวัง
“เช่นนั้นเหตุผลยิ่งไม่สมควรใหญ่ ผู้ใดบ้างไม่ต้องการสมบัติล้ําค่า?! หากยกขั้นการฝึกตนของพี่หนาซานมาเป็นเครื่องชี้วัด ดังนั้นขั้นการฝึกตนของข้าก็ด้อยกว่าอย่างชัดเจน! ในบรรดาพวกเจ้า ข้าอ่อนแอที่สุดแล้ว…ข้าต่างหากที่ควรได้รับมัน!”
เยี่ยฉวนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย หลิวหงผู้ยิ้มแย้มสดใสทั้งยังแสดงท่าที่ยินดีและกระตือรือร้นกลับเผยรอยยิ้มแข็งที่อปราศจากไมตรีจิต สีหน้าของหนาซานและหนาสู่ยคล้ําหม่นอย่างไม่น่ามองยิ่งกว่าเก่า สายตาของเยี่ยฉวนลอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงของหลิวหงและศิษย์ร่วมสํานักทั้งสองคนด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย “แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องการครอบครองก้อนผลึกรูปมนุษย์ชิ้นนี้ แต่ในเมื่อศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิวเป็นหัวหน้า เช่นนั้นก็ให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจก็แล้วกัน!”
เยี่ยฉวนต้องการครอบครองเคล็ดวิชาโบราณจากโลกเหนือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่มังกรปีศาจทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณครั้งที่นางเคยช่วยเขาตามหาเมล็ดซึ่งหยาง จึงตัดสินใจปล่อยวางมันเสีย สิ่งที่นางกล่าวว่าในป่าหมื่นอสูรแห่งนี้ย่อมมีอสูรมากกว่าหนึ่งตัวไม่เกินความจริง เขาเชื่อว่าสิ่งที่ดีกว่ามักรอเขา อยู่เบื้องหน้าเสมอ
“ประเสริฐ! เช่นนั้นข้าขอคํานับคุณชายเยี่ยในนามของพี่หนาซาน”
หลิวหงโค้งคํานับเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มแต้มบนใบหน้า ครั้นหันหลังกลับสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นบึงตึงอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงสั่งการให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
การต่อสู้ครั้งนี้แม้พวกเขาจะได้รับชัยชนะเหนืออสูรหินเศียรสุนัข และได้รับสมบัติล้ําค่าเช่นก้อนผลึกรูปมนุษย์มาโดยบังเอิญ แต่คนทั้งหกยังไม่รอดพ้นจากอันตรายโดยสมบูรณ์ อาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ลู่ร้ายแรงที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด หลิวหงหยิบขวดโอสถมาจากใครสักคนก่อนช่วยรักษาบาดแผลให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางอ่อนหวานไร้เดียงสาราวเด็กสาวแรกรุ่นที่กําลังมีความรัก ท่วงท่าอันทรงเสน่ห์และกล้าหาญนั้นต้องตาชายหนุ่มไม่น้อย เรียวขาขาวผ่องและทรวดทรงอันเย้ายวนทําให้เขาไม่อาจละสายตา พี่ใหญ่ลู่ผู้ที่ชีวิตนี้ไม่เคยผ่านสตรีนางใดมาก่อนในชีวิตหรือจะทนต่อการยั่วยวนเช่นนี้ได้
หลังจากหยุดพักจนความเหนื่อยล้าบรรเทาลง กลุ่มคนทั้งหกจึงออกเดินเท้าสํารวจพื้นที่อีกครั้ง
หลิวหงหัวเราะสดใสและชวนทุกคนพูดคุยตลอดทาง สร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายมากขึ้น ตอนนี้พี่ใหญ่ลู่หลงเสน่ห์นางอย่างหัวปักหัวป่า แม้ร่างกายบาดเจ็บหนักแต่เขายังคงประคองร่างตนให้เดินกะเผลกไปนําหน้าเช่นเคย ราวกับเขาชํานาญเส้นทางในอาณาจักรสวรรค์แห่งนี้เป็นอย่างดี
เยี่ยฉวนลอบสังเกตการกระทําของหญิงสาวทุกย่างก้าวโดยไม่ให้คลาดสายตา ท่าทีของเขานิ่งสงบทว่าในใจนึกระวังตนจากจิ้งจอกสาวเจ้าเล่ห์ตัวนี้
บรรยากาศอันชื่นมื่นก่อเกิดขึ้นในกลุ่มของพวกเขาได้ไม่นานเท่าใด…ภยันตรายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง!
พี่ใหญ่ลู่ผู้เดินนําหน้าชะงักฝีเท้าโดยกะทันหันก่อนเผยสีหน้าหวาดกลัวจนร่างสั่นสะท้าน! เบื้องหน้าปรากฏก้อนหินขนาดยักษ์ตั้งขวางทาง ครั้นทุกคนเงียบเสียงลงและจ้องมองมันอย่างละเอียด หินก้อนนั้นพลันปริร้าวทีละน้อย จากนั้นอสูรหินตัวใหญ่จึงกระโจนออกมาจากรอยแตกพร้อมคํารามอย่างเกรี้ยวกราดด้วยเสียงดัง กัมปนาทเสียดแก้วหู!
คอมเม้นต์