Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 187 ความกล้าเพียงน้อยนิด
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 187 ความกล้าเพียงน้อยนิด
“ระวัง! มันคืออสูรหินเศียรพยัคฆ์!”
หลิวหงอุทานและกระโดดขึ้นไปบนโขดหินข้างทางเป็นคนแรก
แม้จะเดินรั้งท้ายแต่สายตาแหลมคมของนางเหลือบไปเห็นร่างใหญ่โตซ่อนอยู่ในรอยแตกของโขดหินเข้าพอดี ไม่ทันขาดคํา ก้อนหินนั้นก็แตกออกเมื่ออสูรหินเศียรพยัคฆ์พุ่งออกมา! ร่างของมันใหญ่โตกว่าอสูรหินเศียรสุนัขก่อนหน้านี้แลดูคล้ายก้อนหินขนาดยักษ์
“ระวัง มันตัวใหญ่มาก!”
“ใช้กระบี่บินแทงตามันซะ!”
ทุกคนกระโดดขึ้นไปบนโขดหินสองข้างทางโดยพร้อมเพรียงกัน พลางกวัดแกว่งและส่งกระบี่บินออกไปโจมตี ส่วนผู้ที่ไม่มีกระบี่บินก็พากันขว้างปาก้อนหินใส่อสูรร้าย ครั้งนี้ศิษย์พี่ลู่ไม่กล้าอวดดีและหยิ่งผยองอีกแล้ว เขากระโดดขึ้นไปบนโขดหินและหลีกทางให้ผู้อื่นแต่โดยดี บัดนี้ผู้โจมตีหลักคือหลิวหง หนาซาน หนาสุย และโทวปาเซียงเนียว
เยี่ยฉวนไม่มีกระบี่บินและต่อให้มีก็คงไม่ยอมใช้โดยง่าย เขาเพียงแต่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่รอบนอกโดยอ้างว่าจะคอยสนับสนุนการโจมตีจากข้างหลัง
พวกเขาใจเย็นลงมากเพราะเคยรับมือกับอสูรหินเศียรสุนัขมาแล้ว แม้การเผชิญหน้ากับอสูรหินเศียรพยัคฆ์สูงราวเจ็ดเมตรจะทําให้กังวลอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าควรทําสิ่งใด
กระบี่บินสี่เล่มฉวัดเฉวียนในอากาศพลางเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วและรุนแรงเมื่อได้จังหวะ
ขั้นซิวฉือระดับสี่ของโท่วปาเซียงเพียวถือว่าไม่สูงมากนัก ทว่าหญิงสาวกลับคล่องแคล่วและฉลาดเป็นกรด เพียงไม่นานก็สามารถตามจังหวะการต่อสู้ของหลิวหงและผู้อื่นได้ กระบี่บินสี่เล่มรวมตัว กันเป็นกระบวนท่าใหม่ ทั้งสี่สลับตําแหน่งกันอย่างต่อเนื่องเพื่อหลบหลีกการโต้กลับจากอสูรหิน ขณะที่ศิษย์พี่ลู่ร่างกํายําคอยเข้าไป ช่วยเหลือคนที่ทําท่าจะเพลี่ยงพล้ํา
เสียงคํารามแสบแก้วหูดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
อสูรหินเศียรพยัคฆ์แข็งแกร่งและว่องไวกว่าอสูรหินเศียรสุนัข อีกทั้งยังสามารถกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินได้ ความสามารถในการต่อสู้จึงเหนือชั้นกว่ามาก ทว่าความเร็วของมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากระบี่บิน การโจมตีจึงได้ผลอยู่หลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับดวงตาได้ไม่ว่าจะแทงเข้าไปกี่ครั้ง ซ้ํายังทําให้มันยิ่งเกรี้ยวกราดและโจมตีรุนแรงขึ้นจนพวกเขาเกือบพลาดท่าซ้ําแล้วซ้ําเล่า
“เราจะสู้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้ ล่อมันเข้าไปในป่าหินแล้วล้มมันซะ!”
หลิวหงหลบหลีกการโจมตีของอสูรหินอย่างชํานาญและกระโดด เหยียบกระบี่บินขึ้นไปบนโขดหินใหญ่ นางออกคําสั่งพลางมองดูอสูรหินผู้ทรงพลังด้วยความกังวลที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ
อสูรหินเศียรพยัคฆ์แข็งแกร่งประหนึ่งพลังของมันไม่มีวันหมด แต่ทุกคนไม่เป็นเช่นนั้น หากสู้อย่างหมาจนตรอกเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงอ่อนแรงลงจนเหลือทางเลือกเพียงสองทางคือยอมตายในเงื้อมมือของอสูรร้ายหรือยอมล่าถอย ซึ่งนางยอมรับไม่ได้ทั้งสองทาง!
การใช้กระบี่บินแทงตาอสูรร้ายเป็นเรื่องยากหากแต่เป็นวิธีที่ปลอดภัย พวกเขาสามารถถอยมาตั้งหลักได้ทันทีที่ล้มเหลว การขัดขามันให้ล้มเสี่ยงกว่ามากเพราะพวกเขาต้องวิ่งล่อมันเป็นเส้นตรง หากถูกเหยียบเข้าคงได้กลายเป็นเนื้อบดแน่!
หลิวหงหันไปมองเยี่ยฉวนที่ยืนช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง ถึงยามคับขันที่เขาจะต้องลงมืออีกครั้งแล้ว!
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว ขั้นการฝึกตนของข้าต่ําต้อยนัก คราวที่แล้วข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น ขาของอสูรหินตนนี้แข็งแกร่งเหลือเกิน…” เยี่ยฉวนกล่าวออกเชื่องช้า
เขาเป็นผู้ปลิดชีพอสูรหินเศียรสุนัขเมื่อครู่แต่ก้อนผลึกมนุษย์กลับตกไปอยู่ในมือของหลิวหง แม้ไม่ได้พยายามแย่งชิงมาแต่ก็ทําให้เยี่ยฉวนรู้สึกขัดใจไม่ใช่น้อย หากนางต้องการให้เขาเสี่ยงกําราบอสูรร้ายอีกครั้งคงไม่ง่ายนัก
“สมบัติใดก็ตามที่พบในร่างของมันให้ถือเป็นของท่าน” หลิวหงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมจนผิดปกติ นางรู้วิธีเกลี้ยกล่อมให้ผู้อื่นยอมทําตามในยามวิกฤต
“ค่อยเข้าท่าขึ้นมาหน่อย!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าก่อนเริ่มโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสี่ แต่ยังไม่ทันได้ลงมือร่างสูงบนกระบีบินกลับพุ่งผ่านเขาไปพร้อมกล่าวออก “ไอ้หนู ล่อมันไปยังป่าหินเสีย ส่วนที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
หนาสู่ยหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่หลิวหงไว้วางใจเหยียบกระบี่บินพุ่งเฉียดเยี่ยฉวนพลางเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
อสูรหินเศียรพยัคฆ์ทั้งใหญ่โตและดุดันกว่าอสุรหินเศียรสุนัขมาก หนาสุยจึงเชื่อว่าต้องมีสมบัติที่ทรงพลังกว่าซุกซ่อนอยู่ภายใน อาจเป็นสมบัติเก่าแก่หรือก้อนผลึกมนุษย์ที่จารึกเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า หากโชคดีอาจได้ครอบครองเคล็ดวิชาฝึกตนขั้นปฐพีระดับสูงหรืออาจถึงขั้นเทวาลัยก็เป็นได้
หลิวหงเผยข้อเสนอเพื่อให้เยี่ยฉวนยอมเคลื่อนไหว ทว่าหนาสุ่ยกลับไม่ทําเช่นนั้น เขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ขุมทรัพย์แห่งอาณาจักรสวรรค์มาอยู่ในครอบครอง ศิษย์ผู้นี้ไม่อยากแบ่งเนื้อเต็มหม้อให้ผู้อื่นแม้แต่ชามเดียว ไม่สิ แม้แต่คําเดียวก็ไม่อาจยินยอม!
“ศิษย์น้องหนาสู่ย เจ้าแน่ใจแล้วหรือ?” เยี่ยฉวนเกาจมูก เขามองดูศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“อะไร? เจ้าไม่มีความกล้าแม้แต่จะล่ออสูรหินหัวพยัคฆ์งั้นหรือ?”
หนาสู่ยถามกลับด้วยอคติที่มีต่อเยี่ยฉวน
ก่อนหน้านี้มีเพียงสองพี่น้องเท่านั้นที่ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นราวดอกไม้บานสะพรั่งจากหลิวหง นางพร่ําบอกให้พวกเขาปกป้องนางทําให้ความปรารถนายิ่งทวีคูณ และหวังจะได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางในเร็ววัน ทว่าฝันหวานของพวกเขากลับต้องแตกสลายราวฟองสบู่เมื่อเยี่ยฉวนปรากฏกายขึ้น แม้หลิวหงจะยังส่งยิ้มให้ดังเดิม แต่กลับห่างเหินยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่พี่น้องแช่หน่าจะไม่ชอบหน้าเยี่ยฉวนตั้งแต่แรกพบ!
“ทํานองนั้น ข้าบอกแล้วว่าข้าอ่อนแอนัก จึงมีความกล้าเพียงน้อยนิดเท่านั้น”
เยี่ยฉวนเกาจมูกอีกครั้งก่อนหันไปทางหลิวหง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่หลิว ในเมื่อศิษย์ของเจ้าว่าเช่นนั้นข้าก็จําต้องฝืนใจทํา แต่เจ้าคงไม่ถอนคําพูดหลังจากกําจัดอสูรหินและพบสมบัติใช่หรือไม่?”
“ไม่ ไปได้แล้ว” หลิวหงรู้สึกอึดอัดกับคําถามตรงไปตรงมาของเยี่ยฉวน ไม่รู้จักอ้อมค้อมบ้างหรืออย่างไร?
ว่ากันตามตรงนางวางแผนจะใช้เล่ห์กลมอบสมบัติให้แก่หนาสุ่ย หลังสังหารอสูรหินเศียรพยัคฆ์ แต่ในเมื่อเยี่ยฉวนถามขึ้นมาเช่นนี้ก็ไม่อาจใช้อุบายเช่นนั้นได้จึงต้องยอมแพ้และรอโอกาสครั้งต่อไป
“เยี่ยม! ว่ากันว่ายอมรับแต่โดยดีย่อมดีกว่าปฏิเสธโดยสุภาพ!”
เยี่ยฉวนยกยิ้มก่อนกระโดดลงจากโขดหิน แต่เคราะห์ร้ายที่ตกลงไปหลังอสูรหินเศียรพยัคฆ์พอดิบพอดี! ร่างมหึมาราวกับหินหันกลับมาจนเกือบชนเข้ากับเขา หากปะทะโดยตรงคงได้กลายเป็นเนื้อบดแน่!
“ระวัง!”
โท่วปาเซียงเพียวกรีดร้องและเหยียบกระบี่บินตรงเข้าไปช่วยเยี่ยฉวนโดยไม่รู้ตัว ศิษย์พี่ลู่ก็แบกหินก้อนใหญ่ขว้างใส่มันเช่นกัน มีเพียงหลิวหง หนาซาน และหนาสู่ยที่ยืนเฉย
“โฮก!”
อสูรหินเศียรพยัคฆ์อ้าปากคํารามกึกก้องก่อนออกแรงตบอย่างดุดัน
ในที่สุดเหยื่อก็ตกมาอยู่ตรงหน้าหลังจากไล่ล่ามานาน…. อสูรร้ายเหวี่ยงมือหมายจะตบเยี่ยฉวนให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ!
คอมเม้นต์