Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 275 เข้าสู่เทือกเขา
บทที่ 275 เข้าสู่เทือกเขา
คําสั่งของเยี่ยฉวนถูกส่งต่อไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับ
ศิษย์สํานักหมอกเมฆาทั้งหมดงานล้นมือ พวกเขาละเว้นการฝึกตน การกลั่นยา การขัดเกลาอาวุธ และงานประจําอื่นๆ เพื่อทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทั้งหมดให้กับการสร้างค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์
สํานักหมอกเมฆาที่สืบทอดมาหลายล้านปีมีอาณาเขตป้องกันมากมาย เคราะห์ร้ายที่ความเสื่อมโทรมทําให้พวกเขาสูญเสียการฝึกตนหรือเคล็ดวิชาที่จําเป็นในการเรียกใช้งานไป ซ้ําร้ายอาณาเขตเหล่านี้ยังไร้ประโยชน์เพราะพวกเขาไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ ตรงข้ามกับค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ที่เยี่ยฉวนสามารถควบคุมได้ดังใจ ทว่าการสร้างค่ายกลสังหารขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก
ก้อนผลึกในสํานักที่สะสมมานานหลายปีถูกนําออกมาใช้ พวกเขาต้องสร้างกองดินทับถมขึ้นไปเป็นหอคอยสูงเสียดฟ้าและต้องวางสมบัติทรงพลังเอาไว้ใต้หอคอยทุกหอเพื่อเป็นแกนกลางของค่ายกล รวมถึงต้องสร้างหอคอยทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดหอ พลังจากหอคอยจะซ้อนทับกันเป็นม่านบางๆ ที่บดบังท้องนภาและดวงอาทิตย์เบื้องบน
ก้อนผลึกที่ทับถมอยู่ในคลังใต้ดินถูกขนออกมาเต็มเล่มเกวียนไม่รู้จบ
ประตูหอศาสตราวุธเปิดออกเช่นกัน เหล่าศิษย์ช่วยกันเคลื่อนย้ายสมบัติโบราณฝุ่นจับออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ทุกชิ้นอยู่ในขั้นปฐพีระดับสูงสุดขึ้นไป แม้แต่สมบัติล้ําค่าขั้นเทวาลัยก็ไม่เว้น
หอคอยตั้งตระหง่านขึ้นทีละหอรอบยอดเขา โดยมีสํานักหมอกเมฆาเป็นศูนย์กลาง
เมื่อต้องเผชิญกับผู้มีอํานาจอย่างจักรวรรดิต้าฉินและสํานักอสูรเมฆาอันทรงพลัง สํานักหมอกเมฆาได้สําแดงมรดกเลอค่าและศักยภาพที่แท้จริงออกมาอย่างหมดเปลือก หากสํานักเครื่องนิล และสํานักเบญจลักษณ์ที่กําลังพัฒนาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับสํานักหมอกเมฆา พวกเขาคงทําได้เพียงแสดงความเกลียดชังต่อศัตรู และเตรียมพร้อมสําหรับการนองเลือด แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะรีบสร้างค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์เฉกเช่น สํานักหมอกเมฆา เพียงแค่หาสมบัติระดับปฐพียังเป็นเรื่องยากสําหรับพวกเขา ในขณะที่สํานักหมอกเมฆาครอบครองสมบัติที่ตกทอดมาอย่างยาวนานนับไม่ถ้วนแต่กลับยอดฝีมือชั้นเลิศ สมบัติโบราณถูกผนึกไว้ในหอศาสตราวุธมากมาย นี่คือมรดกตกทอดของสํานักอันเก่าแก่!
เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิลงในห้องโถงใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาเพื่อตรวจตราใจกลางค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยตนเอง เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นบรรดาศิษย์พลุกพล่านอยู่โดยทั่ว ปีศาจเพลิงและปีศาจเขาโค้งยืนขนาบประตูซ้ายขวาทําหน้าที่เป็นผู้อารักขาเยี่ยฉวน ทั้งสองไม่สามารถตามเยี่ยฉวนเข้าไปในห้องโถงมังกรปีศาจ ได้ แต่โชคดีที่อาณาเขตภายในนั้นส่งพวกเขาออกมาจากอาณาจักรสวรรค์หลังถูกฟองอากาศกลืนกินเข้าไป
วันแรก เยี่ยฉวนนั่งหลับตานิ่งในห้องโถงหมอกเมฆา เขาได้มอบหมายงานสร้างฐานค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์แก่ศิษย์รุ่นเยาว์
วันที่สอง เยี่ยฉวนยังคงนั่งนิ่งในห้องโถง เขามอบพิมพ์เขียวให้จซื้อเจียเพื่อให้นางนําผู้คนแกะสลักอักขระโบราณที่โค้งงอและบิดเบี้ยวลงบนหอคอยทั้งหนึ่งร้อยแปด
วันที่สาม เหล่าศิษย์ส่งสมบัติที่จะใช้เป็นแกนกลางของค่ายกลมาให้เยี่ยฉวนเลือก เขาหยดโลหิตบริสุทธิ์ลงบนสมบัติทุกชิ้นที่เหมาะสม ทําให้ล่วงรู้เรื่องราวของสมบัติชิ้นนั้นละเอียดพอๆกับฝ่ามือของตนเอง
วันที่สี่ พวกเขาเริ่มก่อสร้างแท่นบูชาใต้หอคอย ทุกหอตามคําสั่งของเยี่ยฉวน บรรดาศิษย์จะนั่งลงบนแท่นบูชาแท่นละแปดสิบคน เพื่อศึกษาวิธีควบรวมพลังและถ่ายโอนสู่หอคอย
ศิษย์สํานักหมอกเมฆาล้วนแต่ยุ่งวุ่นวายทั้งวันทั้งคืน ส่วนเยี่ยฉวนยังคงนั่งอยู่ในห้องโถงหมอกเมฆา การก่อสร้างหอคอยหนึ่งร้อยแปดหอและแท่นบูชาเสร็จสิ้นในกลางดึกวันที่เจ็ด หลังจากศิษย์ทั้งหมดเข้าประจําตําแหน่งแล้วเยี่ยฉวนจึงเริ่มลงมือ เขาโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งหกภายในร่างเพื่อแสดงเคล็ดวิชาอันลึกซึ้ง
หอคอยทั้งหนึ่งร้อยแปดสว่างไสวขึ้นทีละหอ และเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนจางไปทั่วราวกับประภาคาร แสงเหล่านั้นค่อยๆ รวมกันจนสว่างขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นม่านแสงขนาดมหึมา ทั้งสํานักหมอกเมฆาอันเก่าแก่ถูกผนึกและบดบังเอาไว้ เมื่อมองจากระยะไกลจะดูเหมือนสํานักหมอกเมฆาได้หายไป ทิ้งไว้เพียงแสงสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับในเทือกเขาหมอกเมฆา แสงนี้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่ไกลออกไปนับพันไมล์ สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ที่อยู่ใกล้เคียงพากันตกตะลึง
หลังจากจัดตั้งค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์อันยิ่งใหญ่แล้ว เยี่ยฉวนก็ออกคําสั่งทีละคน
อันดับแรกเยี่ยฉวนเลื่อนขั้นผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงที่เคยติดตามเขาไปยังสํานักอสูรเมฆาให้เป็นผู้อาวุโสชั้นนอกเพื่อรับผิดชอบการลาดตระเวนภูเขาและรวบรวมข่าวกรอง ทั้งยังต้องสอดแนมความเคลื่อนไหวของจักรวรรดิต้าฉิน สํานักอสูรเมฆา สํานักเครื่องนิล และสํานักเบญจลักษณ์ ผู้พิทักษ์ที่มักรู้สึกหดหู่จากการถูกไปเยี่ยนหูมองข้ามได้รับตําแหน่งสําคัญในที่สุด เขาคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจภักดีกับเยี่ยฉวน
จ้าวต้าจ่อกลายเป็นผู้ช่วยมือหนึ่ง งานของเขาเรียบง่ายไม่ซับซ้อน นั่นคือการตรวจตราหอคอย
ทั้งหนึ่งร้อยแปดหอและคอยเติมก้อนผลึกเข้าไปเมื่อจําเป็น
ผู้รับผิดชอบที่แท้จริงคือจซื้อเจีย แม้เยี่ยฉวนจะได้รับมอบหมายให้ทําภารกิจในยามเสี่ยงภัย และกลายเป็นผู้ควบคุมสํานักหมอกเมฆา แต่นอกจากการจัดตั้งค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์แล้ว เรื่องอื่นๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่จะถูกส่งต่อให้จซื้อเจียทั้งหมด หญิงสาวไม่เคยทําให้เยี่ยฉวนผิดหวัง นางคอยแก้ไขสารพัดปัญหาในสํานักและรวบรวมพลังพร้อมรับพายุลูกต่อไปได้เสมอ
เยี่ยฉวนออกจากสํานักหมอกเมฆาระหว่างที่ชื่อเจียกําลังรับมือกับปัญหาชุลมุนในสํานัก เขาออกเดินทางไปในเทือกเขาหมอกเมฆาอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีหลงเอ่อร์น้อยอยู่ข้างกาย
หลงเอ่อร์ไม่ต้องยับยั้งหรือหวาดระแวงสิ่งใดอีก เมื่อออกเดินทางในดินแดนรกร้าง เขาแปลงกายเป็นมังกรปีศาจน้อยอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมักแข่งกันเสมอว่าผู้ใดเร็วกว่าและครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ ไม่ใช่เพราะความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น หากแต่เป็นเพราะเยี่ยฉวนช้าลง
เยี่ยฉวนใช้พลังชีวิตมหาศาลไปกับการจัดตั้งค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์ แม้จะกลืนกินยาเม็ดเผยหย่วนไปทั้งขวดก็ไม่อาจฟื้นคืนได้ในทันที
“พี่ใหญ่เยี่ยฉวน ขี่หลังข้าเถิดขอรับ ข้าจะพาท่านไปเอง”
หลงเอ๋อร์พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเยี่ยฉวนและโก้งโค้งลง เยี่ยฉวนขึ้นขี่หลังมังกรน้อยอย่างไม่ลังเล แม้จะยังไม่โตเต็มที่แต่อีกฝ่ายมีร่างมังกรปีศาจที่แท้จริงมาแต่กําเนิด ร่างเล็กๆของเขาเต็ม เปี่ยมไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งและสามารถแบกมนุษย์สองคนได้อย่างไม่มีปัญหา หลงเอ๋อร์เอ่ยถามขึ้นหลังมุ่งหน้าไปครู่หนึ่งจนเทือกเขาอันกว้างใหญ่ปรากฏให้เห็นใต้แสงจันทร์ “พี่ใหญ่เยี่ยฉวน เรากําลังไปไหนกันหรือ?”
“ตรงลึกเข้าไปในเทือกเขาหมอกเมฆา
เยี่ยฉวนชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยคํานุ่มนวล “หลงเอ๋อร์น้อย ไปยังส่วนลึกที่สุดในเทือกเขา หมอกเมฆาที่มีออร่าของสัตว์อสุรกายหนาแน่น เมื่อเจ้าพบสัตว์อสูรจงเรียกข้า”
เยี่ยฉวนหลับตาลงบนหลังของหลงเอ่อร์น้อย เพื่อรักษาพลังงาน
“พี่ใหญ่เยี่ยฉวน ท่านจะล่าสัตว์อสูรมั้นหรือ?”
หลงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสับสน ในเวลาเช่นนี้สมควรออกล่าหรือ?
“ข้าจะกําราบพวกมันต่างหาก แต่ถ้าทําตัวดุร้ายเกินไป ข้าก็ไม่รีรอที่จะสังหารเช่นกัน”
เยี่ยฉวนกล่าวออกเรียบนิ่ง ออร่าของเขาค่อยๆ สงบลงเมื่อเริ่มจดจ่อกับการฝึกตน
องค์รัชทายาทแห่งตาฉินหรือสํานักอสูรเมฆา ล้วนแต่แข็งแกร่งเกินไปเมื่อเทียบกับสํานักหมอก เมฆาในยามนี้ อีกทั้งยังมียอดฝีมือในปกครอง
มากมาย ค่ายกลซ่อนเร้นสวรรค์เพียงอย่างเดียว คงไม่อาจยับยั้งศัตรูนอกรั้วได้ เยี่ยฉวนจึงต้องการผู้ช่วยที่ทรงพลังและเชื่อฟังคําสั่งของเขาอย่างเด็ดขาด แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของศิษย์สํานักหมอกเมฆาในเวลาอันสั้น และสายเกินกว่าจะหายอดฝีมือจากภายนอก เยี่ยฉวนจึงพุ่งเป้าไปที่เทือกเขาหมอกเมฆา ในภูเขาอันห่างไกลมีสัตว์อสุรกายดุร้ายหลากชนิดเพ่นพ่านอยู่โดยทั่ว และพวกมันถือเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด
คอมเม้นต์