Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 299 จิ้งจอกพันปี

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 299 จิ้งจอกพันปี อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 299 จิ้งจอกพันปี

“ท่านเจ้าสํานักผู้ประเสริฐ ข้าจะทําลายอาณาเขตป้องกันนี้เอง จากนั้นเราจะหนีออกไปด้ว ยกัน!”

ทูตแห่งโลกันตร์ที่นิ่งเงียบมาแต่ต้นเริ่มเคลื่อนไหว เขาลอบบริกรรมคาถาก่อนแหวนสีดําที่ปลดปล่อยควันทะมันจะปรากฏบนนิ้วอีกครั้ง วิญญาณร้ายน่าสยดสยองก่อรวมขึ้นและพุ่งเข้าชนม่านแสงสีแดงพร้อมเสียงคํารามลั่น ม่านแสงที่ลูกธนูไม่อาจทะลุผ่านพลันสั่นกระเพื่อมรัวแรง

“ทุกสิ่งที่ไอ้เด็กนี่พูดเป็นเพียงความลวง เดินหน้าสังหารจนกว่าจะถึงสํานักหมอกเมฆาของเราซะ!”

โท่วป่าเซียงคํารามก่อนเปิดฉากจู่โจมดุดัน

“ตูม!” หม้อสัมฤทธิ์หนักกว่าหนึ่งหมื่นจินบนบ่าของโท่วป่าเซียงลอยเข้าปะทะม่านแสงสีแดงอย่างรุนแรง ศิษย์สํานักเครื่องนิลบางคนต่างพุ่งออกไปโจมตีอาณาเขตที่กําลังสั่นไหวหมายจะทําลายให้สิ้นซาก!

แม้จะมีกองกําลังมหาศาลดักรออยู่ภายนอกอีกทั้งเยี่ยฉวนยังวางกับดักไว้รอบด้าน แต่ไม่มีผู้ใดอยากยอมแพ้ตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงริบหรี่ บ้างกลัวตายและวิ่งหนีไปก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้น แต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมถูกจับโดยไร้ทางสู้

“บุก!”

เยี่ยฉวนออกคําสั่งอย่างเลือดเย็น การทําให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางไม่เพียงพอที่จะจัดการศัตรูน่าเกรงขามเช่นนี้ พวกเขายังต้องต่อสู้เต็มกําลังในวินาทีคับขันเพื่อสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่คู่ต่อสู้และทําลายความหวังให้ย่อยยับ

“ฟื้ว! ปิ้ว! ปิ้ว!” จซื้อเจียพร้อมบรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆายิงลูกธนูแหลมคมพุ่งแหวกอากาศออกไป

กองทัพสํานักเครื่องนิลถูกกักขังอยู่ภายในและไม่สามารถยิงธนูออกไปได้เนื่องจากอาณาเขตถูกย้อนกลับ สํานักหมอกเมฆาจึงโจมตีได้ดังใจหวัง ลูกธนูคมกริบนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาราวกับห่าฝน

เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อเหล่าบริวารที่ภักดีของโท่วป่าเซียงล้มระเนระนาดโดยพร้อมเพรียงกัน

ขณะนั้นเถาวัลย์แปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัวผุดขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ผู้ที่ล้มลงบนพื้นจะถูกเถาวัลย์มหาศาลเกี่ยวรัดจนหายเข้าไปในนั้นทันที

หัวหน้ากลุ่มผู้บรรลุขั้นซิวฉือระดับสูงสุดพยายามกัดฟันยืนหยัดขึ้นและฟาดฟันกระบี่ตัดเถาวัลย์บนร่าง แต่เดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวกลับถูกเกี่ยวพันแข้งขาจนล้มลงอีกครั้ง ศิษย์คนอื่นๆ โดยรอบรีบพุ่งเข้ามาช่วยแต่เถาวัลย์กลับลากร่างของหัวหน้าออกไป วินาทีที่เขาเปิดปากเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ เถาวัลย์เหล่านั้นเลื้อยเข้าไปภายในจนไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกนอกจากเสียงครางแผ่วเบากระทั่งเขากลายเป็นซากศพแห้งกรัง

ปีศาจเฒ่าหลัวเต๋อที่เร้นกายอยู่ในสํานักฉวยโอกาสเข่นฆ่าศิษย์สํานักเครื่องนิลอย่างโหด
เหี้ยม

จักจั่นทองค่าหกปีกปรากฏขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุนเช่นกัน มันบินร่อนไปมาราวกับภูตผีพลางใช้ปีกคมกริบปาดคอเหล่าศิษย์สํานักเครื่องนิล แต่ความสามารถในการโจมตีและเขย่าขวัญ ผู้คนยังห่างไกลจากปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินนัก

“ฮิๆๆ ตายซะ! แห่แหนกันเข้ามา! อย่ายอมแพ้เสียก่อนล่ะ… ไม่เช่นนั้นคงหมดสนุกแย่! ฮิๆๆ”

ปีศาจเฒ่าหลัวเต๋อหัวเราะลั่นด้วยความหฤหรรษ์ มันปรารถนาจะเห็นโลกตกอยู่ในความอลหม่านและหวังว่าศิษย์สํานักเครื่องนิลจะรวมพลังโต้กลับ สิ่งสุดท้ายที่มันต้องการคือการยอมจำนนของโท่วป่าเซียง

การดูดกลืนโลหิตและปราณหยางของศัตรูเป็นทักษะเฉพาะตัวแต่กําเนิดและเป็นหนทางการฝึกตนชั้นเลิศ การปลิดชีพกองกําลังของโท่วป่าเซียงทําให้การฝึกตนของปีศาจเฒ่ารุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้งจนอาจบรรลุขั้นมหาปราชญ์ฝึกหัดได้ในคราเดียว การฆ่าคือวิธีฝึกตนที่ได้ผลดีที่สุดสําหรับมัน มันไม่ได้ฆ่าอย่างไร้กังวลเช่นนี้มานับตั้งแต่หลบหนีออกจากถ้ําพุทธดรรชนี หากโท่วป่าเซียงยอมแพ้จะทําให้โอกาสทองนี้หลุดลอยไป
เยี่ยฉวนยังคงไม่เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับปีศาจเพลิง ปีศาจเขาโค้ง หลงเอ๋อร์น้อย อสรพิษครึ่งคน และบริวารผู้แข็งแกร่งอื่นๆ แค่การโจมตีจากปีศาจเฒ่าและกองกําลังของจซื้อเจียก็เพียงพอที่จะสร้างความปั่นป่วน และทําลายขวัญกําลังใจของโท่วป่าเซียงแล้ว แขนขาของศิษย์สํานักเครื่องนิลที่มองเห็นเหตุการณ์จากระยะไกลเย็นเฉียบดุจน้ําแข็งและไม่กล้าก้าวออกไปร่วมต่อสู้

“ฆ่ามัน!”

โท่วป่าเซียงเดือดพล่านด้วยโทสะประหนึ่งหมีบ้าสมชื่อ เขากระแทกหม้อสัมฤทธิ์หนักกว่าหมื่นจนเข้ากับม่านแสงสีแดงซ้ําแล้วซ้ําเล่าหมายจะใช้กําลังทําลายอาณาเขตนี้ ศิษย์ส่านักเครื่องนิลพากันกรีดร้องภายใต้ลูกธนูที่โหมกระหน่ําลงมาขณะที่โท่วป่าเซียงไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย ม่านแสงสีแดงเริ่มพร่าเลือนและไหวกระเพื่อมจากการโจมตีหนักหน่วง

“ท่านเจ้าสํานัก ข้าจะช่วยท่านเอง”

ชายชราสวมหน้ากากพุ่งเข้ามาพร้อมหมุนแหวนแห่งโลกันตร์บนนิ้ว หมอกสีดํากลับกลายเป็นฝ่ามือขนาดมหึมาเข้าโจมตีม่านแสงทันที “ตู้ม!” ม่านแสงสีแดงสันสะเทือนรุนแรงตามด้วยเสียงแตกร้าวก่อนหายวับไปในพริบตา

“ฆ่ามัน!”

“บุกออกไป!”

โท่วป่าเซียงและทูตแห่งโลกันตร์พุ่งออกไปพร้อมกัน พวกเขาต้องการฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมหลบหนีออกไป แววตาของเหล่าศิษย์สํานักเครื่องนิลทอประกายแห่งความหวังในการเอาชีวิตรอด

ฉับพลันเกิดแสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้น ลำแสงหนาแน่นพุ่งตรงมายังศิษย์สํานักเครื่องนิลทําให้พวกเขาต้องถอยร่นลงไปอีกครั้ง

ปีศาจวัวนัยน์ตาอสูรหลายร้อยตัวเปิดฉากโจมตีทันใด ลําแสงสีฟ้าไม่ส่งผลให้กับร่างกายของโท่วป่าเซียง แต่กายหยาบของศิษย์สามัญนั้นไม่แกร่งกล้าเท่า พวกเขาล้มลงคนแล้วคนเล่าก่อนถูกเถาวัลย์อันน่าพรั่นพรึงพันธนาการจนกลายเป็นซากศพเหือดแห้ง ศิษย์ที่เหลืออยู่ต่างถอยร่นด้วยความหวาดกลัว ขณะนี้เหลือผู้คนอยู่เบื้องหลังโท่วป่าเซียงและทูตแห่งโลกันตร์ไม่มากแล้ว

เมื่อมองย้อนกลับไปยังร่างไร้วิญญาณของบริวารที่ไว้เนื้อเชื่อใจ แววตาของโท่วป่าเซียงพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานและคํารามก่องราวกับอสูรบาดเจ็บ

“ฆ่ามัน! ท่านเจ้าสํานักผู้ประเสริฐ ร่วมมือกันสังหารไอ้สารเลวเยี่ยฉวนซะ!”

ชายชราสวมหน้ากากพุ่งเข้าใส่เยี่ยฉวนด้วยความเกรี้ยวกราด หากคิดจะจับกองโจรต้องจับหัวหน้าเสียก่อน หากเยี่ยฉวนตายตกไป กองทัพสํานักหมอกเมฆาก็เปรียบเสมือนมังกรไร้หัวและพวกเขาจะสามารถฝ่าวงล้อมออกไปอย่างง่ายดาย แต่ถ้าหากหนีไม่สําเร็จอย่างน้อยได้พินาศไปพร้อมกันก็ยังดี!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง

จิตสังหารของโท่วป่าเซียงพุ่งสูง เขาเขวี่ยงหม้อสัมฤทธิ์หนักอึ้งไปทางชายหนุ่มจากระยะไกล… แทบรอไม่ไหวที่จะบดขยี้อีกฝ่ายให้ป่นปี้คามือ ความเร็วของเขาว่องไวเสียยิ่งกว่าทูตแห่งโลกันตร์

เขาพิชิตส่านักเบญจลักษณ์มาได้อย่างยากล่าบากแต่ทุกสิ่งกลับพังทลายลงในชั่วพริบตา สํานักเครื่องนิลถูกเข่นฆ่าจนแทบไม่เหลือซากอีกทั้งบริวารที่ติดตามมาเนิ่นนานต้องตายตกไปตามๆกัน บัดนี้โท่วป่าเซียงบ้าคลั่งด้วยไฟโทสะอย่างแท้จริง เขาไม่คํานึงถึงการฝ่าวงล้อมออกไปหาก แต่จ้องเยี่ยฉวนด้วยจิตสังหารรุนแรงดุจหมาป่า หากวันนี้ไม่ได้ฆ่าเยี่ยฉวนคงไม่อาจตายตาหลับ ความเกรี้ยวกราดทําให้โท่วป่าเซียงไม่ทันสังเกตว่าทูตแห่งโลกันตร์ค่อยๆชะลอความเร็วลง กระทั่งเปลี่ยนทิศทางไปเพื่อเอาตัวรอดเพียงล่าพัง!

สถานการณ์ในยามนี้ไม่สู้ดีนัก ทูตแห่งโลกันตร์คิดจะหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย คําพูดที่ว่าต้องการฆ่าเยี่ยฉวนเป็นเพียงอุบายเพื่อใช้โท่วป่าเซียงเป็นเกราะกําบังเท่านั้น ชายชราผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายประหนึ่งจิ้งจอกพันปี!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด