Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 348 ปลีกวิเวกฝึกตนบนยอดเขา
บทที่ 348 ปลีกวิเวกฝึกตนบนยอดเขา
“เอาล่ะ! พักการต่อสู้ไว้สักครู่หนึ่งเถิด!”
ครั้นจซื้อเจียเห็นเยี่ยฉวนและหนานเทียนโตวตั้งท่าจะโรมรันกันอีกครั้งนางจึงวิ่งเข้าไปขัดขวางพลางร้องตะโกนเพื่อเตือนสติ นางรู้สึกกังวลไม่น้อยว่าทั้งสองอาจเข้าถึงบทบาทจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียสติไปชั่วขณะโดยไม่ได้ตั้งใจอาจทําให้อีกฝ่ายถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามข่าวสารมาแจ้งให้ท่านทราบ…”
จซื้อเจียกล่าวเสริมเพิ่มอีกหนึ่งประโยค ทําให้เยี่ยฉวนระงับความแปรปรวนของพลังปราณในร่างลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง ก่อนเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวพร้อมเอ่ยถาม “เจียเจีย ข่าวที่ว่าเป็นอย่างไร?”
แม้มหันตภัยร้ายพัดผ่านไปจากสํานักหมอกเมฆาจนไม่เหลือเค้าแห่งพายุแล้ว ทว่าเยี่ยฉวนยังคงเป็นห่วงเป็นใยเกี่ยวกับสถานการณ์จากศัตรูตัวฉกาจทั้งสองอย่างราชวงศ์ต้าฉันและสํานักอสูรเมฆาทุกย่างก้าว เนื่องจากสํานักหมอกเมฆาในยามนี้ยังปราศจากความแข็งแกร่งที่เพียงพอ ดังนั้นหากคิดจะทําการใดจึงต้องใส่ใจระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ข่าวแรกเกี่ยวข้องกับการถอนตัวของบรมครูแห่งแคว้นเจียงเดินเชิงจากกองทัพโดยทําลาย สํานักของพวกเราไม่สําเร็จ สิ่งนี้ทําให้ฝ่ายตุลาการและประชาชนที่รับรู้ตื่นตะลึงยิ่ง หลายคนกล่าวโทษที่เขาละเลยหน้าที่และมุ่งหวังใช้ตําแหน่งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ใส่ใจภารกิจจากองค์จักรพรรดิ ขุนนางบางรายเสนอว่าควรแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่และส่งกองทัพ กลับมากวาดล้างอีกครั้ง”
จซื้อเจียหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อไปว่า “ในขณะเดียวกัน ข่าวลือกลับแพร่กระจายไปในฝูงชนทุกหย่อมหญ้าในทวีปอัคคีสวรรค์ หลายคนตั้งคําถามเกี่ยวกับการปกครองอันอ่อนประสิทธิภาพขององค์จักรพรรดิผู้นี้ สถานที่บางแห่งถึงขั้นรวมกลุ่มก่อกบฏต่อต้านการปกครองของราชวงศ์ต้าฉัน ส่วนพวกขุนนางระดับสูงทั้งหลายเฝ้ารอดูสถานการณ์ทั้งมวลอย่างเงียบเชียบ แต่ถึงแม้พวกเขาไม่ได้กระทําการอุกอาจก็ใช่ว่าจะไร้แผนการกบฏ ลือกันว่าพวกเขาได้ร่วมมือกันอย่างลับๆ เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรและหารือเกี่ยวกับการโค่นล้มองค์จักรพรรดิเสีย!”
จูซื้อเจียซึ่งส่งศิษย์หลายคนไปสืบข่าวได้รวบรวมข้อมูลจากทุกสารทิศและสรุปกลั่นกรองใจความได้อย่างรวดเร็ว
ต่อให้ราชวงศ์ต้าฉันต้องการล้างแค้นสํานักหมอกเมฆา ทว่าพวกเขามีกําลังพอจะกระทําเช่นนั้นหรือไม่?
จ้าวต้าจอ หลงเอ๋อร์รวมถึงคนอื่นๆ นิ่งฟังโดยไม่ปริปากแสดงความคิดเห็น สํานักหมอกเมฆา ยังต้องอาศัยระยะเวลาในการฟื้นฟูอย่างมาก หากกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันกลับมาอีกครั้ง เห็นทีครั้งนี้สํานักของพวกเขาคงถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง
“นี่ถือเป็นข่าวดี”
เยี่ยฉวนกล่าวอย่างเนิบช้า แม้จิตใจของเขายังมีความกังวลหนักหน่วงทว่าข้อเท็จจริงที่เขาตระหนักถึงนั้นเป็นไปในทางที่ดีเสียมากกว่า “กองทัพจะทําสงครามแต่ละหนต้องรอนแรมเดินทางไกล ทุกครั้งที่สู้รบพวกเขาประสบความสูญเสียไปมากกว่าครึ่ง ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวไม่อาจทําให้เขามั่นใจถึงขั้นย้อนกลับมาเป็นแน่ แม้อาณาเขตในครอบครองของราชวงศ์ต้าฉันนั้นกว้างใหญ่ ทว่าเหล่าขุนนางจํานวนมากก็มีอํานาจมากพอที่จะก่อให้เกิดวิกฤต ในเมื่อเขาต้องรับมือกับความขัดแย้งภายในราชสํานักและเหตุวุ่นวายภายนอก องค์จักรพรรดิย่อมวุ่นวายเกี่ยวกับงานราชการจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องยิบย่อยเช่นนี้อย่างแน่นอน”
ความคิดคํานึงของเยี่ยฉวนทั้งลึกซึ้งและกระจ่างชัด แม่ได้รับฟังเรื่องราวเพียงผิวเผินแต่กลับเข้าใจถึงแก่นแท้ ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวภายในราชสํานักได้อย่างแม่นย่าน่าเลื่อมใส
องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าฉันมีอุปนิสัยกระจายอํานาจและมีความทะเยอทะยานสูงจนเกินควร แม้ต้องการครอบครองสํานักผู้ฝึกตนรอบแคว้นให้รวมเป็นปึกแผ่นทว่ากลับหลงลืมไปว่ารากฐานที่แท้ของจักรวรรดิคือโลกฆราวาส เมื่อมีขุนนางระดับสูงจ้องเล่นงานเขย่าบัลลังก์เช่นนี้เขาต้องชะลอการส่งกองทัพทหารขึ้นมาปราบปรามสํานักหมอกเมฆาออกไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเรื่องพันธมิตรกบฏที่ก่อตั้งขึ้นคงทําให้เขาตึงเครียดไม่น้อย ถึงอย่างไรก็คงไม่เสียเวลาย้อนกลับมาโจมตีโดยเปล่าประโยชน์ แม้แต่การเข้าโจมตีสานักผู้ฝึกตนอื่นก็คงกระทําได้ยากเย็น
“ศิษย์พี่ใหญ่ เช่นนั้นเราควรทําอย่างไรดี? อีกอย่าง…” จซื้อเจียหยุดชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความกระสับกระส่ายก่อนกล่าวต่อ “อีกอย่าง นี้เวลาก็ล่วงเลยมานานโขแล้ว ทว่าข้ายังไม่อาจทราบถึงความเป็นตายร้ายดีของท่านปู่เลย เขาจะต้องถูกองค์จักรพรรดิจองจําไว้เป็นแน่ หรือเขาตกอยู่ในอันตรายเกินหยั่งรู้ก็สุดจะคาดเดา”
ครั้นกล่าวถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นกับสํานักหมอกเมฆาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาวุโสโกวหงซึ่งมีศักดิ์เป็นท่านปู่ของนาง นับตั้งแต่เขาเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงก็ไร้สาส์นใดๆ ตอบกลับมาทั้งสิ้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา
โดยเฉพาะช่วงนี้นางพยายามส่งคนไปสืบข่าวคราวอย่างสม่ําเสมอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อย
“เจียเจี้ย เจ้ามุ่งความสนใจไปที่เรื่องการจัดการดูแลสํานักเพียงอย่างเดียวเถิด ข้อกังวลของเจ้าข้าจะเป็นผู้จัดการให้ ส่งคนไปติดประกาศตามเมืองต่างๆ ให้ทั่วทั้งเทือกเขาหมอกเมฆาเขียนในแผ่นกระดาษให้ชัดเจนว่าเรายินดีรับผู้ฝึกตนผู้เปี่ยมทักษะและความสามารถ” เยี่ยฉวนกวาดสายตามองศิษย์ร่วมสํานักทีละคนก่อนหันไปหาปีศาจเขาโค้งนากู้ซื้อ จากนั้นจึงถอดแหวนแห่งโลกันตร์ที่สวมใส่อยู่ออกจากนิ้วและกล่าวสั่งการ “นากู้ซื้อ เจ้าสวมแหวนวงนี้ติดมือไว้และเร่งเดินทางไปยังเมืองหลวงทันที พยายามใคร่ครวญหาหนทางที่จะแทรกซึมเข้าไปในตระกูลหลงซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงให้จงได้”
“คุณชายต้องการให้ข้าแปลงกายเป็นทูตแห่งโลกันตร์ใช่หรือไม่?” ปีศาจเขาโค้งเอ่ยถามด้วยเข้าใจความหมายที่ผู้เป็นนายต้องการจะสื่ออย่างรวดเร็ว
“ถูกแล้ว จะให้แม่นย่ากว่าก็คือแปลงกายเป็นเฒ่าโหวจอมลวงโลกให้แนบเนียนไปกับคนพรรค์นั้นเสีย หากข้าจําไม่ผิดคิดว่าเหล่าทูตแห่งโลกันตร์คงแฝงกายเข้าไปอยู่ในตระกูลหลงบางส่วนแล้ว พึงระวังให้ดีอย่าได้แสดงถึงตัวตนที่แท้จริงจนอีกฝ่ายจับได้ นอกจากนี้ยังมีอีกภารกิจที่เจ้าต้องทําควบคู่ไปด้วย นั่นคือสืบหาข่าวคราวเกี่ยวกับอาวุโสสูงสุดซูโกวหงและแจ้งกลับมายังข้า” เยี่ยฉวนออกคําสั่ง
หลังจากเขาได้พบกับกลุ่มยอดฝีมือแห่งตระกูลหลงในอาณาจักรสวรรค์มังกรปีศาจ จึงพอเข้าใจบ้างแล้วว่าทูตแห่งโลกันตร์ได้แทรกซึมเข้าไปมีบทบาทในโลกฆราวาสเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาอันใหญ่หลวง แม่เฒ่าโหวจอมลวงโลกตัวจริงจะตายตกไป ทว่าเครือข่ายของพวกมันยังคงอยู่ คนเหล่านี้อาจมีความน่าสะพรึงกลัวทั้งยังเป็นภัยคุกคามมหาศาล ยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าฉันหรือสํานักอสูรเมฆาเสียอีก ชายหนุ่มจําเป็นต้องหาวิธีกําจัดต้นตอนี้โดยเร็วที่สุด ปีศาจเขาโค้งนากู้ซื้อเป็นผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งบรรลุเคล็ดวิชาเก้าอสูรจําแลงระดับสูง ทําให้เขาสามารถปลอมแปลงร่างกายเป็นบุคคลอื่นได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมกับหน้าที่สืบข่าวในเมืองหลวงไปมากกว่าชายผู้นี้อีกแล้ว
“เข้าใจแล้ว บริวารผู้นี้น้อมรับคําสั่งจากคุณชาย”
นากู้ซื้อโค้งคํานับรับคําสั่งก่อนแปลงกายจากบุรุษร่างกํายําสูงสามเมตรเป็นชายชรารูปร่างผอมซูบทันที จากนั้นจึงสวมแหวนแห่งโลกันตร์เข้าที่นิ้วชี้ข้างขวา ตอนนี้บริเวณอกซ้ายของเขาปรากฏรอยสักสีดําขลับอันเป็นสัญลักษณ์ประจําทูตแห่งโลกันตร์เฉกเช่นเดียวกับเฒ่าโหวไม่มีผิดเพี้ยน
“ไม่เลว แหวนแห่งโลกันตร์ไม่เพียงช่วยให้เจ้าดูแนบเนียนยิ่งขึ้นในการแปลงกาย หากเจ้าประสบกับอันตรายจงหมุนมันหนึ่งครั้งจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากวิกฤตทั้งมวลได้โดยราบรื่น อย่าลืมข้อนี้ล่ะ ไปเถิด!” เยี่ยฉวนก่าชับอีกฝ่ายพลางพยักหน้า
ปีศาจเขาโค้งนากู้ซื้อหมุนวงแหวนหนึ่งครั้งเพื่อทําการทดสอบ ทันใดนั้นหมอกสีดําสนิทพลันปรากฏขึ้นโอบล้อมร่างกายของเขาไว้ ท่ามกลางหมอกมืดมนนี้ปรากฏกลิ่นอายของโครงกระดูกภูตผี รวมถึงวิญญาณชั่วร้ายอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ก่อรวมขึ้นอย่างน่าสยดสยองเพียงอึดใจเดียว พวกมันจึงกระจายหายวับไปกับสายลมบางเบา แม้แต่แหวนแห่งโลกันตร์ที่สวมอยู่ยังเลือนหายไปอย่างลึกลับ
“ข้าน้อยต้องไปปฏิบัติภารกิจแล้ว คุณชายผู้ประเสริฐโปรดรักษาตัวด้วย”
หลังนากู้ซื้อทดสอบการใช้งานแหวนแห่งโลกันตร์ซ้ําหลายครั้งจึงค่านับลาก่อนใช้เครื่องเคลื่อนย้ายของสานักหมอกเมฆาส่งตนเองไปยังเมืองหลวง
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปทําหน้าที่ของตนเองได้แล้ว!”
เยี่ยฉวนหันไปสั่งการบรรดาศิษย์ที่ยืนมุงดูการประลองของเขาเมื่อครู่ด้วยน้ําเสียงราบเรียบ จากนั้นจึงยกธงชัยโลหิตกล้าขึ้นมาอีกครั้งและพินิจมันอย่างถี่ถ้วน นับตั้งแต่เขาเรียกใช้เคล็ดวิชากระบวนจอมทัพเข้าช่วยอีกแรงหนึ่ง พลังการต่อสู้ของเขาพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย
เวลานี้เขามียันต์กลืนกินสวรรค์ถึงแปดใบที่ควบแน่นอยู่ในจุดตันเถียน ผนวกกับฐานการฝึกตน ซึ่งบรรลุไปถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับที่สาม ทําให้เขามีพลังแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ แล้วหากยันต์เกิดการควบแน่นขึ้นเพิ่มเป็นเก้าใบจะเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?
เยี่ยฉวนกระชับด้ามธงชัยในมือไว้อย่างแน่นหนาขณะตั้งตารอคอยพัฒนาการขั้นต่อไปของตนอย่างจดจ่อ
ในภพชาติก่อนเขาเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์จนสามารถปกปิดสวรรค์ไว้ได้ด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว ทว่าในภพชาตินี้เขาละทิ้งเคล็ดวิชาเดิมไปเสียสินและต้องการบ่มเพาะเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ที่ได้รับมาจากสุสานเทพเจ้า ซึ่งเคล็ดวิชาทรงพลังดังกล่าวก็ไม่ทําให้เขาผิดหวัง ทุกครั้งที่รวบรวมยันต์กลืนกินสวรรค์ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นครั้งละหนึ่งหมื่นแปดพันจิน เช่นนั้นหากเขาสามารถฝึกตนจนเกิดยันต์กลืนกินสวรรค์ครบหนึ่งแสนแปดพันใบ ตัวตนของเขาจะพัฒนาไปในทิศทางใดกันแน่?
แม้แต่เขาซึ่งเคยเป็นใหญ่เหนือผู้ใดในโลกหล้าเมื่อภพชาติที่แล้วยังไม่อาจคาดคะเน
ด้วยความปราดเปรื่องในการแก้ไขปัญหาของจซื้อเจีย รวมถึงความแข็งแกร่งของผู้ช่วยอย่างปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยิน ปีศาจเพลิง หนานเทียนโตว รวมถึงยอดฝีมือชั้นเลิศคนอื่นๆ ทําให้เขาละทิ้งความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของสํานักหมอกเมฆาไปได้มากโข และสามารถทุ่มเทสมาธิไปกับการฝึกตนได้ดียิ่งขึ้น แม้การสู้รบกับบรมครูเจียงเฉินเชิงจะทําให้เขาได้รับบาดเจ็บหนักจนเกือบถึงแก่ความตาย ทว่าเขาก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยจากการต่อสู้ในครั้งนี้ สิ่งที่ปรากฏชัดที่สุดคือการที่เขาตระหนักถึงความห่างชั้นระหว่างตนกับยอดฝีมือจากโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้อย่างชัดแจ้ง ดังนั้นเขาจึงเพียรทุ่มเทให้กับการวางรากฐานพลังยุทธ์เพื่อการนี้!
คอมเม้นต์