Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 362 จอมมารแห่งโรคา
บทที่ 362 จอมมารแห่งโรคา
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบไม่ตอบกลับในทันที…
แน่นอนว่าเขาต้องการสังหารเจ้าสํานักหลงเฟยใจแทบขาด ทว่าสามารถกระทําได้โดยง่ายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ก่อนที่ชายผู้นั้นจะทําการขัดเกลาดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภา เดิมทีเขาก็บรรลฐานการฝึกตนสูงส่งในขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสูงสุดท้าทายสวรรค์อยู่แล้ว พลังยุทธ์ทั้งมวลยังเหนือกว่าปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินหนึ่งระดับ ต่อให้เป็นหนานเทียนโตวก็ยากจะเอาชนะ
ครั้นได้รับอาวุธสังหารอันเป็นสมบัติล้ําค่าของสํานักมังกรนภากลับคืนและทําการขัดเกลาโดยสมบูรณ์แล้ว ขั้นการฝึกตนของหลงเฟยยิ่งพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงขั้นท้าทายสวรรค์กว่าเก่า เยี่ยฉวนเกรงว่าภายใต้แผ่นฟ้าเดียวกันนี้อาจมีเพียงยอดฝีมือที่บรรลุขั้นกึ่งปราชญ์เช่นบรมครูเจียงเดินเชิงหรือราชินีอสูรเกศาขาวเท่านั้นที่สามารถกราบได้ ส่วนบุคคลอื่นไม่อาจเทียบชั้นถึงขั้นเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ําสมเนื้อ ซ้ําร้ายยังมีเหล่าผู้พิทักษ์จํานวนมากคอยคุ้มกันอยู่รอบกาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะเข้าถึงตัวเขาและทําการสังหารได้อย่างไร?
คุณหญิงมู่หรงเฟยหูเป็นสตรีวัยกลางคนผู้ทรงเสน่ห์ อีกทั้งเรื่องราวในอดีตที่นางเคยประสบพบพานยังเป็นสิ่งที่ชวนให้สงสารเห็นใจ ทว่าต่อให้เขายอมเสี่ยงทุกสิ่งอย่างเพื่อช่วยให้ความปรารถนาของนางสัมฤทธิผลหรือพาเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดจากสํานักหมอกเมฆามากวาดล้างสํานักมังกรนภาก็ยังไม่อาจเป็นไปได้
คุณหญิงแห่งสํานักมังกรนภาเผยสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะสบตาเยี่ยฉวน ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่ยอมแพ้ ดวงตาของนางเปล่งประกายแห่งความเชื่อมั่น
หากการนอนทอดกายให้เขาเชยชมเช่นคืนนี้สามารถแลกกับการเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยฉวนยอมบุกน้ําลุยไฟและพลีกายถวายชีวิตเพื่อช่วยเหลือนาง นั่นแสดงว่าบุรุษผู้นี้ยังอ่อนแอต่อเสน่ห์แห่งส ตรีเพศและปราศจากความยับยั้งชั่งใจ คนที่สามารถกระทําการใหญ่ได้จะไม่มีวันหุนหันพลันแล่นทั้งยังคงความเลือดเย็นในทุกกระบวนท่า ในช่วงเวลาสําคัญเช่นนี้อันดับแรกที่ต้องใส่ใจคือผลประโยชน์ส่วนใหญ่ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ
“ทุกสามเดือนหลงเฟยจะเดินทางออกจากเมืองไปยังถปีศาจซึ่งตั้งอยู่นอกพรมแดน สถานที่แห่งนั้นเป็นที่ผนึกปีศาจร้ายซึ่งมีความแข็งแกร่งสะท้านปฐพีเช่นจอมมารแห่งโรคา เขาต้องไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผนึกพันธนาการดังกล่าวอย่างสม่ําเสมอและทุกครั้งจะสูญเสียพลังปราณในกายไปมากกว่าครึ่ง ความลับอีกอย่างคือเขาจะพาผู้พิทักษ์ไปคอยคุ้มกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทั้งภายในถ้ําและปากถ้ําจึงมีอุปสรรคที่ง่ายต่อการกําจัด ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นโอกาสดีที่สุดที่พวกเราจะทําการเคลื่อนไหว ที่สําคัญหลงเฟยจะออกไปทําภารกิจดังกล่าวในเวลาพลบค่ําวันพรุ่งนี้!” คุณหญิงผู้ไม่ยอมแพ้ต่อการโน้มน้าวเอื้อนเอ่ยความลับแก่เยี่ยฉวนเพื่อเพิ่มทางเลือก ในการตัดสินใจ
แท้จริงแล้วศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนใกล้ชิด!
ภายในสํานักมังกรนภามีสาวกเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องดังกล่าว แม้แต่เหล่าผู้พิทักษ์ที่ติดตามหลงเฟยออกไปนอกเมืองยังไม่ล่วงรู้รายละเอียดที่แท้จริงมากนัก พวกเขาไม่ทราบว่าเจ้าสํานักต้องสูญเสียพลังปราณมากเพียงใดในการทําภารกิจดังกล่าว ซึ่งคณหญิงเป็นหนึ่งในจํานวนไม่กี่คนที่รู้ความลับดังกล่าวเป็นอย่างดี
ภารกิจกําราบและผนึกพันธนาการจอมมารแห่งถปีศาจถือเป็นความรับผิดชอบของเจ้าสํานักมังกรนภาทุกสมัย สิบกว่าปีที่แล้วครั้งบิดาของคุณหญิงยังมีชีวิตอยู่นางจึงมีโอกาสล่วงรู้ความลับนี้ ทุกครั้งที่เขากลับมาจากถปีศาจซึ่งตั้งอยู่นอกเขตเมืองจะมีอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ปลีกวิเวกฝึกตนอย่างสันโดษเป็นระยะเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนยังไม่อาจฟื้นฟูพลังกลับคืนได้อย่างสมบูรณ์เช่นก่อนหน้า สาเหตุประการหนึ่งที่ทําให้บิดาของนางสิ้นอายุขัยก่อนวัยอันควรเป็นเพราะใช้พลังปราณเพื่อการนี้มากเกินไป
ต่อมาเมื่อหลงเฟยได้สืบทอดตําแหน่งเป็นเจ้าสํานักคนใหม่ เขาจึงได้รับพลังอํานาจพิเศษรวมถึงศิษย์น้องหญิงมู่หรงเฟยหูซึ่งเคยวาดฝันว่าอยากตบแต่งกับนาง ทว่ายังต้องรับภาระหนักซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าสํานักมังกรนภาทุกคนต้องกระทําอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนั้นด้วยพรสวรรค์ที่สูงส่งของเขา หากไม่ต้องเดินทางไปยังถ้ําปีศาจจนสูญเสียพลังปราณทุกสามเดือนเขาอาจบรรลุสู่ขั้นกึ่งปราชญ์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“เรามีโอกาสมากน้อยเพียงใด?” เยี่ยฉวนเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงทุ่มต่ํา
“หกในสิบ… หลังหลงเฟยได้ครอบครองดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาฐานการฝึกตนของเขาก็เกิดความก้าวหน้าไม่น้อย สิ่งนี้ถือเป็นตัวแปรสําคัญ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ากระแสพลังปราณในร่างกายของเขาจะหลอมรวมกันจนเกิดเป็นคุณสมบัติทําลายล้างสูงส่งเพียงใด” คุณหญิงมู่หรงเฟยหูเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา แม้จิตสังหารของนางแรงกล้าทว่าก็ยังมีคุณธรรมพอที่จะไม่กล่าวเท็จ เพื่อหลอกล่อให้เยี่ยฉวนหลงเชื่อนางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งขณะมองดูอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ “คุณชายเยี่ย แท้จริงแล้วแผนการนี้นับว่าอันตรายยิ่งเจ้าจะยินดีหรือไม่ควรพิจารณาให้รอบคอบ”
“ว่าอย่างไรนะคุณหญิง? ท่านไม่ต้องการโน้มน้าวให้ข้าเอาชีวิตตนไปเสี่ยงแล้ว?”
เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มยียวนก่อนกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงจริงจัง “คุณหญิง ท่านสามารถจัดสรรยอดฝีมือมาสนับสนุนได้กี่ราย? พวกเขาแต่ละคนมีวรยุทธ์เก่งกาจเพียงใด?”
แน่นอนว่ายอดฝีมือจากทั้งสองฝ่ายเมื่อร่วมผนึกกําลังกันแล้วอาจทําให้การลงมือสังหารเจ้าสํานักหลงเฟยง่ายดายยิ่งขึ้น ต่อให้เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตทว่านี้นับเป็นโอกาสที่ประสบได้ยากนัก ถึงอย่างไรเขาก็ต้องฉวยโอกาสจัดการกับชายผู้นั้นอยู่ดีแม่ไม่ได้รับข้อเสนอจากคุณหญิง หาไม่แล้วหลงเฟยคงนํากองกําลังยอดฝีมือจํานวนมากเดินทางไปยังเทือกเขาหมอกเมฆาและทําการรบราฆ่าฟันกับเหล่าศิษย์ร่วมสํานักของเขาเป็นแน่!
“ตัวข้ามีศิษย์ยอดฝีมือผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับเจ็ดที่ไว้ใจได้เพียงเก้าคน ในกลุ่มพวกเขา…บางคนถนัดถนการต่อสู้ในระยะประชิด บางคนเชี่ยวชาญด้านการซุ่มโจมตี และบางคน เก่งกาจด้านการไล่ล่า นอกจากนี้ยังมียอดฝีมือผู้มีฐานการฝึกตนสูงส่งอีกรายหนึ่ง เขาชํานาญการจู่โจมแบบประชิดตัว ร่างกายไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด อีกทั้งกระบวนท่าโจมตียังดุร้ายเป็นเลิศการตั้งรับหรือก็ทรงพลังมหาศาล” คุณหญิงเอ่ยตอบ
หลังจากหลงเฟยขึ้นสู่ตําแหน่งเจ้าสํานักมังกรนภา เขาได้รับการคัดค้านและต่อต้านจํานวนมากจากสาวกผู้ภักดีต่อมู่หรงเฟยหูและท่านเจ้าสํานักคนก่อน ด้วยเหตุนี้ทําให้นางมีผู้สนับสนุนการก่อกบฏบางส่วนอยู่ในความลับ
“ยอดฝีมือชั้นเลิศที่ท่านกล่าวถึงผู้นั้นใช่กุนซื้อเหล่าหานที่ท่านส่งเขาไปรับข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่?” เยี่ยฉวนหวนนึกถึงกุนซือชราผู้ไร้ซึ่งชีพจรและอุณหภูมิร่างกายตามวิสัยมนุษย์สามัญ
“ถูกแล้ว เป็นเหล่าหานผู้นั้น เขาเคยเป็นผู้พิทักษ์ซึ่งสวามิภักดิ์ต่อท่านพ่อของข้า เมื่อท่านพ่อจากไปเขาจึงรับคําสั่งโดยตรงจากข้าเพียงคนเดียว”
คุณหญิงมู่หรงเฟยหูพยักหน้าก่อนกล่าวต่อ “เจ้าสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดต่อหน้าสาธารณชนหลงเฟยจึงแสร้งทําที่เป็นรักใคร่เทิดทูนข้ายิ่งแต่กลับไม่กล้าแสดงความรักอย่างเปิดเผย? ประการหนึ่งก็เพื่อรักษาหน้าของตนและสร้างภาพมายาให้ผู้คนหลงเชื่อ ส่วนอีกประการก็เพราะเหล่าหาน… ก่อนที่เขาจะได้ครอบครองดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภา ทั้งเขาและเหล่าหานเคยมีฐานะและวรยุทธ์ทัดเทียมกันทําให้เขาไม่สามารถกําจัดเหล่าหานไม่ว่าโดยวิธีใด ทว่าเมื่อถึงตอนนี้แล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนยากที่จะคาดเดา”
คุณหญิงเผยสีหน้าคลําหม่น นางเกลียดชังองค์ชายรัชทายาทไร้คุณธรรมเช่นหลีก่วงซ่านเข้ากระดูกดํา เขาสามารถนําของกํานัลอื่นๆ ร้อยพันอย่างมากองตรงหน้าเพื่อตั้งข้อเสนอ แต่คนผู้นั้นกลับขโมยอาวุธสังหารชิ้นสําคัญอันเป็นเครื่องกําหนดชะตาของสํานักมังกรนภาจากคลังศาสตราวุธในวังหลวงเข้าต่อรอง สิ่งนี้ทําให้ขั้นการฝึกตนของหลงเฟยแข็งแกร่งขึ้นจนยากที่จะกําราบ ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี!
“ข้ามียอดฝีมือผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ระดับสูงสุดเป็นบริวารเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่เป็นเรื่องยากนัก…ยากเกินไป!”
เยี่ยฉวนโคลงศีรษะ
หลังจากที่เขามีโอกาสได้ต่อสู้กับหลงเฟยที่บริเวณนอกห้องโถงสํานักมังกรนภา เขาจึงตระหนักถึงความร้ายกาจของชายวัยกลางคนผู้นั้นอย่างชัดเจน ตอนนั้นหลงเฟยยังไม่ได้ทําการขัดเกลาดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาทั้งยังไม่ได้สําแดงพลังจากตําราลับมังกรนภาอย่างสมบูรณ์ ทว่าหลังจากนี้หากอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาชั้นสูงจนบรรลุแล้ว ต่อให้มียอดฝีมือผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับสูงสุดสองถึงสามคนก็อาจไม่คณามือเลยแม้แต่น้อย
เยี่ยฉวนยังจดจําความทรงจําที่ตน ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยิน สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียรวมถึงหนานเทียนโตวร่วมผนึกกําลังโค่นล้มบรมครูเจียงเฉินเชิงเพียงคนเดียว ณ บริเวณนอกสํานักหมอกเมฆาได้ดี เวลานี้แม่เจ้าสํานักหลงเฟยไม่ได้มีขั้นการฝึกตนสูงส่งเทียบเท่าแต่ก็ใกล้เคียงเสียจนอดไม่ได้ที่จะหวั่นเกรง
“คุณชายเยี่ย เจ้าสามารถเรียกยอดฝีมือจากสํานักหมอกเมฆามาเสริมกําลังได้หรือไม่?” คุณหญิงเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง ส่วนลึกในจิตใจของนางยังเชื่อว่าสานักหมอกเมฆาซึ่งเป็นสํานักผู้ฝึกตนโบราณที่มีความเป็นมายาวนานหลายสหัสวรรษจะต้องมีไพ่ตายบางอย่างที่สํานักของตนไม่อาจเทียบเคียง
“คุณหญิง สํานักหมอกเมฆาของข้ายังอ่อนแอนัก โปรดอย่าตั้งความหวังสูงเกินไป”
เยี่ยฉวนหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสริม “หากรวมข้าไปอีกคน ยอดฝีมือที่บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ในสํานักก็มีเพียงไม่กี่ราย… ส่วนยอดฝีมือที่มีฐานการฝึกตนสูงส่งท้าทายสวรรค์มีเพียงสองคนเท่านั้น”
เยี่ยฉวนใคร่ครวญไปพลางว่าตนควรขอความช่วยเหลือจากสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียให้ร่วมศึกในครานี้หรือไม่ หรือควรขอความร่วมมือจากอาวุโสลําดับเจ็ดผู้สวมเสื้อคลุมสีฟ้า แต่แล้วเขากลับละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านดังกล่าว หงจือเซียต้องปิดบังตัวตนให้ถึงที่สุดเพื่อขึ้นดํารงตําแหน่งเป็นราชินีเผ่าอสูรองค์ต่อไป ดังนั้นเขาไม่ควรรบกวนเวลาสําคัญของนางอย่างเด็ดขาด ส่วนอาวุโสลําดับเจ็ดปลีกวิเวกฝึกตนอย่างสันโดษ แม้แต่คราวก่อนที่เกิดสงครามระหว่างสํานักหมอกเมฆากับกองทัพจักรวรรดิต้าฉันหรือตอนที่พวกเขาต่อสู้กับบรมครูเจียงเฉินเชิงอย่างเอาเป็นเอาตาย เขายังไม่ปรากฏตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท้ายที่สุดเยี่ยฉวนจึงตัดสินว่าการบุกโจมตีเจ้าสํานักหลงเฟยที่นอกเมืองและสังหารอีกฝ่ายคงเป็นสิ่งที่กระทําได้ยากยิ่ง
จนป่านนี้เยี่ยฉวนยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าหงจือเซียถูกลงทัณฑ์ขั้นร้ายแรงและกักขังให้อยู่ในความมืดชั่วกัปชั่วกัลป์ภายใต้ยอดเขาอสูรเมฆาไปเสียแล้ว ส่วนปีศาจเขาโค้งนากู้ซื้อซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริวารที่มากฝีมือก็รับมอบภารกิจให้เดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อสืบข่าว ดังนั้นสํานักหมอกเมฆาจึงหลงเหลือเพียงปีศาจเพลิง ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยิน หนานเทียนโตว และศิษย์ชั้นเลิศประปราย
“เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว มียอดฝีมือขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋สองคน ผนวกกับเหล่าหา นอีกหนึ่งคนเป็นสามประจวบเหมาะกับโอกาสอันดีดังกล่าว คุณชายเยี่ย… เจ้าคิดเห็นเป็นอย่าง ไร?” คุณหญิงมู่หรงซุ้ยเฟิงมองไปที่เยี่ยฉวนด้วยสายตาคาดหวัง
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนพยักหน้า
เสียงหัวเราะลั่นของเจ้าสํานักหลงเฟยยังคงดังขึ้นเป็นครั้งคราวแสดงให้เห็นว่าฐานการฝึกตนของเขารุดหน้าอย่างก้าวกระโดด โดยไม่รู้เลยว่าอีกห้องหนึ่งภรรยาของตนกําลังสมคบกับเยี่ยฉวนเพื่อหารือการทําลายชีวิตตนให้ย่อยยับ
หลังบทสนทนาเงียบไป… สัมผัสใกล้ชิดก็ปลุกไฟอารมณ์ของทั้งสองให้ลุกโชน บทเพลงสวาทจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง สองชายหญิงเพลิดเพลินไปกับการท่องสรวงสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน เยี่ยฉวนยังมีท่าทีแข็งขันเฉกเช่นบุรุษผู้เจนโลก ส่วนคุณหญิงผู้ซึ่งได้ลองลิ้มชิมรสชาติหวานหอมของผลไม้ต้องห้ามเป็นครั้งแรกกลับคลั่งไคล้สัมผัสพิศวาสดังกล่าวเป็นเท่าทวี ทั้งยังโหยหาร่าร้องมากขึ้นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
คอมเม้นต์