Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 366 ข้าช่างอ่อนแอนัก
บทที่ 366 ข้าช่างอ่อนแอนัก
“ปรมาจารย์นาคา เหล่าหาน… ดี! ดี! พวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันที่นี่นับว่าประเสริฐนัก! อยู่กันพร้อมหน้าเช่นนี้ดีต่อการสังหารในคราวเดียวยิ่งน่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่อาจต้านทานการโจมตีจากข้าได้แม้เพียงครั้งเดียว!”
เจ้าสํานักหลงเฟยกวาดสายตาสํารวจอีกฝ่ายเรียงคน ครั้นสายตาหันไปสบเข้ากับ เยี่ยฉวนหนานเทียนโตวและคนอื่นๆ ซึ่งไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อนจึงรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยถาม “พวกเจ้าคือผู้ใดกัน? เหตุใดยังไม่เร่งแสดงตนอีก?! ให้ข้าประเมินหน่อยเถิดว่าศิษย์น้องหญิงของข้าเชิญบริวารที่มากความสามารถถึงเพียงใดมาโค่นล้มข้ากันแน่?”
เยี่ยฉวนถอดหมวกไม้ไผ่สานใบใหญ่ที่สวมใส่อยู่ออกก่อนมองไปยังอีกฝ่าย หนานเทียนโตวและคนอื่นๆ ก็ถอดหมวกซึ่งปิดบังใบหน้าออกเช่นกัน
“เอ๊ะ! ข้าไม่เคยคุ้นพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย
สายตาคาดคั้นของเจ้าสํานักมังกรนภาเฉียบคมอย่างน่าขยาดกลัว หลังสํารวจเพียงปราดเดียวสัญชาตญาณก็บ่งบอกได้ว่าเยี่ยฉวนจะต้องเป็นผู้นําของกลุ่มคนที่เหลือเป็นแน่
ตามที่เขาเห็น ฐานการฝึกตนของชายชราเคราสีแดงเพลิงไม่ได้สูงส่งจนน่าหวาดกลัว ทว่าปีศาจเฒ่าผู้มีกลิ่นอายของพืชเถาวัลย์รวมถึงชายร่างกายอีกคนมีฐานการฝึกตนอยู่ในขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับสูงสุดส่วนชายที่มีลักษณะท่าทางราวเป็นผู้นํากลับมีพลังปราณแปรปรวนเพียงระดับสามัญดูเหมือนขั้นการฝึกตนคงต่ําต้อยก ว่าชายเคราแดงเสียด้วยซ้ํา แม้หลงเฟยมีความแม่นยําในการคาดเดาเรื่องดังกล่าวทว่าสิ่งที่น่าวิตกคือเขาไม่อาจทราบตัวตนของอีกฝ่ายว่าเป็นใครมาจากไหนกันแน่? เหตุใดเขาจึงมีอานาจมหาศาลกระทั่งสามารถเป็นผู้บังคับบัญชายอดฝีมือชั้นเลิศถึงสามคนซึ่งมีฐานการฝึกตนสูงกว่า? เบื้องหลังที่แท้จริงของชายผู้นี้คืออะไรกันแน่? เขามีเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลังอย่างนั้นหรือ?
“ท่านเจ้าสํานัก…ท่านไม่ได้กําลังตามหาตัวข้าอยู่หรอกหรือ?” เยี่ยฉวนกล่าวพลางโบกมือให้สัญญาณ หนานเทียนโตวและคนอื่นๆ จึงกระจายตัวเข้าล้อมรอบเจ้าสํานักหลงเฟยโดยทันที
“ข้ากาลังตามหาตัวเจ้าอยู่งั้นรึ?!”
หลงเฟยรู้สึกสับสนยิ่งกว่าเก่าเมื่อได้ยินประโยคยอกย้อนนั้น ทั้งยังรู้สึกราวห้วงคนึ่งที่ผ่านมาเลือนหายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เขายกมือขึ้นบีบขมับของตนแต่ยังไม่สามารถนึกสิ่งใดออกว่าเคยเห็นชายชราซึ่งแต่งกายคล้ายหมอดูผู้นี้จากแห่งหนใด ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่เคยปรากฏในความทรงจําของเขามาก่อน
หลังขึ้นครองบัลลังก์เจ้าสํานักมังกรนภา ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีมานี้เขาได้สร้างศัตรไว้มากโข ทว่าคนเหล่านั้นก็ถูกเขาจัดการจนตายตกไปสิ้นแล้ว
บรรดาผู้ฝึกตนและเหล่าผู้ก่อกบฏหลายรายที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแคว้นมังกรนภาต่างหลบหนีกระจัดกระจายหรือสิ้นชีพจนไม่อาจตามหา ไม่มีผู้เรืองอํานาจ แม้แต่คนเดียวที่มีพลังมากพอจะต้านทานเขาและสํานักมังกรนภาได้ แม้แต่ยอดฝีมือชั้นเลิศหลายคนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาก็ถูกสั่งเก็บอย่างลับๆ จนหมดสิ้นเวลานี้ เหลือเพียงผู้พิทักษ์ใต้บังคับบัญชาเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่เขาไว้วางใจ
เจ้าสานักใช้เวลาครู่ใหญ่เพื่อไตร่ตรองถึงกระนั้นก็ยังนึกไม่ออกเสียทีว่าเคยพานพบชายชราตรงหน้ามาก่อนหรือไม่คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน
“ท่านเจ้าสานัก เช่นนั้นโปรดลืมตามองและพิจารณาอีกทีเถิด”
เยี่ยฉวนลอบบริกรรมคาถาเพื่อปัดเป่ารูปกายภายนอกจากการใช้เคล็ดวิชาเก้าอสูรจําแลงออก ทําให้ร่างกายของเขาเกิดภาพสั่นสะเทือนพร่ามัวและค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากชายวัยชราเป็นวัยหนุ่มซึ่งเป็นรูปกายที่แท้จริง
กระบวนการดังกล่าวทําให้ผู้คนที่สังเกตการณ์อยู่โดยรอบล้วนตกตะลึง ไม่เว้นแม้ แต่มนุษย์ครึ่งปีศาจเช่นเหล่าหานและปรมาจารย์นาคาที่ยืนอยู่ไม่ไกล ส่วนเจ้าสานักหลงเฟยกลับเบิกตากว้างด้วยความตระหนกและไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่พบเห็น
เคล็ดวิชาเก้าอสูรจาแลงซึ่งสาบสูญไปจากทวีปอัคคีสวรรค์แห่งนี้มานานโขถูกรื้อฟื้นอีกครั้งโดยศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาผู้นี้ การแปลงกายของเยี่ยฉวนทําให้ทุกคนฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างยิ่ง
“ไอ้หน! จะ…เจ้าคือศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสานักหมอกเมฆาอย่างนั้นรึ?!”
เจ้าสํานักหลงเฟยร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนกพลางนึกไปถึงบุคคลที่เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาบ้างจากนั้นความตกใจจึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น
สองวันก่อนเขามีโอกาสได้เห็นรูปวาดของเยี่ยฉวนในห้องพักส่วนตัวขององค์ชายหลีก่วงซ่าน บัดนี้บุคคลในรูปภาพกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า ชายวัยกลางคนจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายก่อนละสายตากลับมามองภรรยาของตนอีกครั้งความโกรธในจิตใจ
ทะยานขึ้นสู่ขีดสุดจนอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกล่าว “ประเสริฐ! ช่างประเสริฐเสียจริง! ศิษย์น้องหญิงเฟยหู ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าจะจนตรอกกระทั่งยืมมือสํานักหมอกเมฆาให้ร่วมสังหารข้าในครั้งนี้ น่าเสียดายนักที่เจ้าประเมินสามีผู้นี้ ต่ําเกินไปคิดหรือว่าล่าพังพวกมันจะสามารถเอาชนะข้าได้?! ช่างฝันเฟื่องเสียนี่กระไร! ฮ่าๆๆ! มาเถิด…ในเมื่อมารวมกลุ่มกัน ณ ที่แห่งนี้ ข้าจะได้ส่งพวกเจ้าไปลงนรกในคราวเดียว!”
ซึ้ง! ดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาในมือของเจ้าสํานักหลงเฟยสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่งจิตสังหารทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แผนการตลบหลังโดยคุณหญิงมู่หรงเฟยหูผู้เป็นภรรยานับเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย ก่อนหน้านี้เขาจงใจทําให้นางต้องอยู่ในสภาพอับอายมาหลายต่อหลายปีเพื่อบีบบังคับให้นางเคลื่อนไหว ทั้งยังกําจัดบรรดาสาวกผู้ภักดีของนางในสํานักดังกรนภาจนสิ้นซาก ทว่านางกลับเลือกร่วมมือกับศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอก เมฆาอันเป็นศัตรูเพื่อสังหารเขาการทรยศจากภรรยาที่ไว้วางใจมาโดยตลอดเป็นเชื้อเพลิงที่ยิ่งสุมไฟแค้นให้ทวีความรุนแรง
จิตสังหารอันเต็มไปด้วยแรงคุกคามหนักหน่วงจากเจ้าสํานักหลงเฟยทําให้ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการโดยเฉพาะคุณหญิงมู่หรงเฟยหูและบริวารทั้งสองอย่างเหล่าหานและปรมาจารย์นาคาผู้ล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของหลงเฟยเป็นอย่างดี เวลานี้เขาฝึกฝนตาราลับมังกรนภาจนบรรลุโดยสมบูรณ์แล้วทั้งยังได้รับอาวุธสังหารทรงพลังอย่างดาบจันทร์เสี้ยวมังกรนภาที่ผ่านการขัดเกลาอย่างดีส่งเสริมให้วรยุทธ์น่าเกรงขามกว่าแต่ก่อนหลายเท่าแม้ครู่นี้เขาสูญเสียพละกําลังไปไม่น้อยจากการสร้างผนึกพันธนาการจอมมารแห่งโรคาทว่าหากมีใครสักคนเปิดฉากการเคลื่อนไหวอาจต้องเผชิญกับการโต้กลับที่รุนแรงมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮ่าๆๆ! ไม่มีผู้ใดกล้าหาญพอจะเคลื่อนไหวเลยหรืออย่างไร?”
เจ้าสํานักหลงเฟยแค่นเสียงคารามกลั้วหัวเราะขณะกวาดสายตามองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง จากนั้นจึงสืบเท้าเข้าใกล้เยี่ยฉวนก่อนกล่าวด้วยน้ําเสียงแข็งกร้าว “ผู้แซ่เยี่ย? ว่าอย่างไร? แม้แต่เจ้าเองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวงั้นรึ? เจ้าบ้าบินยิ่งที่บังอาจบุกรุกเข้ามาในเขตแคว้นมังกรนภาของข้า หนําซ้ํายังร่วมมือกับภรรยาของข้าเพื่อสังหารสามีของนาง! ทว่าตอนนี้เจ้ากลับหวั่นเกรงเสียจนไม่กล้าแม้แต่จะเปิดฉากโจมตี ฮ่าๆๆ! หากพวกเจ้าไม่เคลื่อนไหวเห็นที่ขาผู้นี้คงต้องออกโรงสั่งสอนเสียเอง! ข้าจะนั่นคอพวกเจ้าให้หมด!”
เจ้าสํานักหลงเฟยก้าวไปด้านหน้าพร้อมแผ่ออร่าแห่งความกดดันหนักหน่วงให้กระจายไปทั่วบริเวณ จากนั้นจึงเงื้อดาบโค้งแหลมคมในมือขึ้นสูงพร้อมฟาดฟันไปยังศัตรูอย่างเดือดดาลรูม่านตาของทุกคนหดเล็กลง หัวใจกระโดดโลดเต้นรัวแรงด้วยความตื่นตระหนกสุดขีดร่างกายตื่นตัวเตรียมพร้อมรับการโจมตีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
“ช้าก่อน!”
ครั้นการต่อสู้กําลังจะเริ่มต้นขึ้นเยี่ยฉวนกลับร้องตะโกนห้ามปรามออกมาเสียก่อน “ท่านเจ้าสํานัก ข้าคิดว่ามีบางเรื่องต้องการบอกกล่าวให้ท่านทราบเสียก่อน…”
“ว่าอย่างไร? ผู้แซ่เยี่ย..เจ้าต้องการแสดงตนยอมแพ้ใช่หรือไม่?” เจ้าสํานักหลงเฟยหัวเราะเย้ยหยันอีกฝ่ายส่วนคุณหญิงมู่หรงเฟยหูแสดงท่าที่กระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้หากเยี่ยฉวนเปลี่ยนใจยอมแพ้และจากไปพร้อมกับบริวารทั้งสามของเขา สถานที่แห่งนี้จะหลงเหลือเพียงตัวนางและบริวารคนสนิทรวมเป็นสามคนเท่านั้น ซึ่งทั้งวรยุทธ์และความสามารถแม้ผนวกกันแล้วย่อมไม่เพียงพอที่จะเอาชนะผู้เป็นสามี ไม่ว่าอย่างไรพวกนางจะต้องตายตกในเงื้อมมือของอีกฝ่ายเป็นแน่!
“เปล่า…ข้าแค่ต้องการบอกความจริงบางอย่างแก่ท่าน” เยี่ยฉวนโคลงศีรษะ
“เช่นนั้นก็เร่งพูดมาเสียที!”
เจ้าสานักหลงเฟยหัวเราะเยาะอีกครั้งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ต่อให้เจ้าพยายามสรรหากลยุทธ์เพื่อถ่วงเวลาให้ล่าช้าออกไปก็ยังนับว่าไร้ประโยชน์สิ้นดี เวลานี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าให้รอดพ้นจากชะตากรรมไปได้รอให้ข้าสังหารเจ้าให้ได้เสียก่อนจึงค่อยจัดการกวาดล้างสํานักหมอกเมฆาของเจ้าจนสิ้นซากในภายหลัง อย่าถือโทษโกรธข้าที่กระทําการโหดเหี้ยมอํามหิตถึงเพียงนั้นก็แล้วกัน หากเจ้าใคร่ต่าหนิใครสักคนก็จงก่นด่าตัวเองที่ไร้ความสามารถจนรนหาที่ตายด้วยการบังอาจยั่วยุโทสะของข้าถึงถิ่นเช่นนี้!”
“อืม จริงอยู่ที่ข้าไร้ความสามารถ ตัวข้าช่างอ่อนแอนัก…”
เยี่ยฉวนหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่ออย่างเนิบช้ “ข้าใครบอกกล่าวว่าฮูหยินของท่านช่างเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล ทรวดทรงองค์เอวของนางงดงามยิ่ง ทั้งการร่ายรําประกอบการบรรเลงพิณยิ่งอ่อนหวานหยดย้อยเกินหักห้ามใจ เมื่อคืนนี้ข้าเพลิดเพลินกับท่วงท่าของนางไม่น้อยตัวข้าช่างโชคดีเสียจริง! และข้าคงเสียใจเป็นล้นพันหากจากนี้ไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นฉากวาบหวิวเช่นนั้นอีก”
ทันใดนั้นสีหน้าของเจ้าสํานักวัยกลางคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ําและคลเข้มขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลายเป็นสีอมม่วงคล้ายตับหมู
คุณหญิงแห่งสํานักมังกรนภาที่ได้ยินค่ากล่าวนั้นก็หน้าแดงด้วยความอับอายเช่น เดียวกันนางคิดอยากหยิกเนื้อของเยี่ยฉวนให้เขียวช้ําที่กล้ายั่วยุอารมณ์ของหลงเฟยจนยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายมั่นคอตนไวกว่าที่คาดทว่าไม่นานนักนางกลับตระหนักว่า
การที่เยี่ยฉวนทําเช่นนี้ก็เพื่อหลอกล่อให้หลงเฟยโกรธแค้นจนไม่สามารถควบคุมสติได้
“อะ…ไอ้สารเลว! เจ้าเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ทั้งหมดเลยอย่างนั้นรึ?” หลงเฟยเผยสีหน้าบิดเบี้ยวแววตาวาวโรจน์ด้วยแรงอาฆาตราวจะลุกเป็นไฟได้ทุกเมื่อ
“ไม่เพียงเฝ้ามองเท่านั้น ข้ายังได้กระทําการบางอย่างอีกด้วยท่านเจ้าสํานัก…การยับยั้งชั่งใจในกามารมณ์ของข้านับว่าย่าแย่หากเทียบกับท่านที่เอาแต่จ้องมองโดยไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองซ้ําร้ายท่านยังยับยั้งตนเองมานานร่วมสิบปี ยิ่งเปรียบเทียบข้ายิ่งดูไร้ความสามารถดังนั้นเมื่อคืนข้าจึงอดรนทนไม่ไหว” เยี่ยฉวนจ้องเขม็งไปยังหลงเฟยอีกครั้งพลางยกยิ้มเป็นเชิงหยามเกียรติ
“หน็อย! ไอ้บัดซบ! ข้าจะสังหารเจ้า!”
เจ้าสํานักหลงเฟยตวาดเสียงคํารามก่อนพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างโกรธเกรี้ยว
การถูกทรยศหักหลังจากผู้เป็นภรรยาที่ร่วมมือกับศัตรูเพื่อแว้งกัดเขานับเป็นสิ่งที่เลวร้ายเกินให้อภัย แต่เมื่อรู้เพิ่มเติมว่าระหว่างนางและเยี่ยฉวนได้สานสัมพันธ์สวาทกันลับหลังเช่นนี้ จะให้เขาระงับโทสะรุนแรงต่อไปอย่างไรได้?!
หลังฝึกฝนตําราลับมังกรนภาจนบรรลุสมบูรณ์แล้วหลงเฟยก็ยิ่งมีทัศนคติแปลกประหลาดผิดแผกจากมนุษย์สามัญ เขาไม่เคยนับมู่หรงเฟยหูเป็นภรรยาของเขาโดยพฤตินัย ทั้งยังสรรหาข้อกาหนดต่างๆ เพื่อสร้างความอัปยศอดสูให้นางอยู่เสมอ แต่แม้เขาพยายามเหยียบย่าศักดิ์ศรีของนางถึงเพียงนี้ก็ใช่ว่าจะยอมให้นางแปดเปื้อนราคีคาวจากชายอื่น!
เวลานี้เจ้าสํานักหลงเฟยไม่อาจแค่นเสียงหัวเราะออกมาได้เช่นก่อนหน้านี้ จิตใจอันอัดแน่นไปด้วยความอาฆาตแค้นรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวีจนไม่อาจยับยั้งอีกต่อไป!
คอมเม้นต์