Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 80 กระบี่สะท้านสวรรค์
บทที่ 80 กระบี่สะท้านสวรรค์
พายุที่โหมกระหนสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ฝูงชนทยอยแยกย้ายกลับไปยังที่พํานักของตน บรรยากาศบนผาปากอินทรีที่สูงเสียดเมฆสงบลงราวไม่เคยเกิดความโกลาหลใดๆ ขึ้น ทว่าในความสงบนั้นความคิดเห็นของผู้คนยังคงปะทุราวคลื่นใต้น้ำ
ใครเป็นผู้วางแผนการนี้?
ผู้ใดต้องการสังหารศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆา?
บรรดาศิษย์ของทั้งสามสํานักต่างเกิดข้อสงสัยและคาดเดาไปต่างๆนานา
ไม่นานมานี้เจ้าสํานักโท่วป่าเซียงแห่งสํานักเครื่องนิลเดินทางไปเยือนสํานักหมอกเมฆาด้วยตนเอง ทั้งยังเสนอการผูกสัมพันธไมตรีผ่านการแต่งงาน แต่กลับเล่นสกปรกโดยการสลับตัวโท่วป่าเซียงเนียวตัวจริงกับนางนกอินทรีอัปลักษณ์ เพื่อให้เยี่ยฉวนและสํานักหมอกเมฆาเกิดความอับอาย ทว่าแผนการกลับล้มเหลวเมื่อผู้ที่ได้รับความอัปยศกลับเป็นเขาและสํานักเครื่องนิลเสียเอง! เรื่อง ดังกล่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งเทือกเขาหมอกเมฆาและกลายเป็นเรื่องเล่าขานกันอย่างสนุกปาก ครั้นเกิดเหตุการณ์ดุเดือดขึ้นที่ป่าชายเลนผู้คนจึงพุ่งเป้าไปที่โท่วป่าเซียงทันที! ด้วยความที่สํานักเครื่องนิลเคยเล่นไม่ซื้อมาครั้งหนึ่ง ดังนั้นหากพวกเขาจะสร้างสถานการณ์อีกครั้งก็เป็นไปได้เช่นกัน ก้อนหินเพียงหนึ่งก้อนสามารถยิงนกให้ตกตายได้ถึงสองตัว! การยืมมือผู้อื่นสังหารเยี่ยฉวนนอกจากจะเป็นการแก้แค้น โดยที่ตนเองไม่ต้องลงมือยังทําให้ศิษย์ของสํานักหมอกเมฆาและสํานักเบญจลักษณ์ลุกฮือขึ้นมาฆ่ากันเอง!
บางคนก็สันนิษฐานไปอีกทางว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนกา รนี้อาจเป็นศิษย์พี่ใหญ่คู่ชานเหลิงแห่งสํานัก เบญจลักษณ์ก็เป็นได้! เขาอาจริษยาที่เห็นเยี่ยฉวนและ หลิวหงพลอดรักกันจึงสร้างสถานการณ์ให้เยี่ยฉวนกลายเป็ นคนร้าย จากนั้นจึงปรากฏตัวในนาทีสุดท้ายเพื่อที่ตนจะได้ สังหารอีกฝ่ายโดยชอบธรรม ทว่าเยี่ยฉวนกลับแก้ไข ให้หลิวหงฟื้นคืนสติเสียก่อน แผนการของกู่ชานเหลิงจึงไม่สําเร็จ
ความสัมพันธ์ฉันมิตรเกิดขึ้นระหว่างบรรดาศิษย์ทั้งสามสํานัก เมื่อฝูงชนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน
เยี่ยฉวนกลับไปยังกระโจมของตนพร้อมเอนกายนอนพักผ่อนทันที เขาไม่ใส่ใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดหรือแลกเปลี่ยนข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับจูซื้อเจีย และคนอื่นๆ แม้แต่จ้าวต้าจ่อที่ตรงเข้ามาถาม เขาเพียงบอกปัดให้รอไปก่อนเท่านั้น
ครั้นเวลาผ่านล่วงเลยไปครึ่งคืน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จึงจางหายไป…
เช้าวันรุ่งขึ้น การประลองครั้งใหญ่ยังคงดําเนินต่อตามกําหนดการ ตัวแทนจากสามสํานักเดินไปที่สังเวียนแห่งความเป็นตายอีกครั้ง!
เยี่ยฉวนเดินนําทุกคนมาถึงสังเวียนที่ใช้เป็นสนามประลองแต่เช้าตรู่ พลางรอคอยการประลองครั้งที่สามอย่าง ใจเย็นราวเมื่อคืนไม่มีเหตุการณ์ระทึกเกิดขึ้น ท่าที่เรียบเฉย เช่นนั้นทําให้ทุกคนประหลาดใจยิ่ง! ส่วนอี้ตั๋วเดินตามหลังทุกคนด้วยท่าที่สงบเสงี่ยมไม่ปริปากเอ่ยคําใด ไม่มีผู้ใดทันสังเกตว่าเขากลับมายังที่พํานักตั้งแต่ตอนไหน บริเวณลําคอของเขามียาสมุนไพรพอกอยู่
“ศิษย์น้องอี้สั่ว เจ้าไปไหนมา? เมื่อคืนนี้บนยอดเขาเกิดเรื่องปั่นป่วนแทบจะทําสงครามกันเลยทีเดียวดังนั้นเจ้าอย่าเดินไปไหนมาไหนเพียงลําพัง…ระ วังตัวด้วย” เยี่ยฉวนก้าวไปด้านหน้าก่อนเอ่ยถามด้วยน้ําเสียงที่เจือความเป็นห่วง
“เมื่อคืนข้าไปเก็บสมุนไพรมารักษาลําคอขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นห่วง
อี้สั่วกล่าวตอบด้วยน้ําเสียงคมชัดแม้เสียงของเขาจะยังไม่กลับมาเป็นปกติโดยสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นเสียงอ่อนหวานของสตรีชวนให้ขบขันอีกต่อไป
“อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
เยี่ยฉวนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่แสดงความห่วงใยและเป็นกังวล ส่วนอี้สั่วก็ตอบอย่างสัตย์ซื่อโดยปราศจากท่าที่หยิ่งผยองเช่นทุกครั้ง
ครั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าชายเลนไม่เป็นไปดังคาดเขาแทบระงับอารมณ์เคืองแค้นไว้ไม่ได้และต้องการกระโจนออกไปสังหารเยี่ยฉวนด้วยตนเอง แต่เมื่อนึกถึงแรงกดดันจากเจ้าหอแปรธาตุจินจือคุนเขาก็ทําสิ่งใดไม่ได้นอกจากอดทนอยู่เคียงข้างเยี่ยฉวนเพื่อรอคอยจังหวะอันเหมาะสม ส่วนเรื่องอื่นๆ จะต้องแสร้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นให้แนบเนียนเท่านั้น!
อดทน…อดทนต่อไป!
การอดทนเป็นหนทางเดียวที่จะสังหารเยี่ยฉวนและฉุดดึง เขาลงมาจากตําแหน่งศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักได้สําเร็จ!
อี้ตั๋วจําต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูต่อไปเพื่อให้แผนการสําคัญลุล่วงด้วยดี
เยี่ยฉวนรู้ดีว่าสิ่งที่อี้ตั๋วแสดงออกนั้นเป็นการเสแสร้งดังนั้นเขาจึงเล่นตามน้ําไปโดยไม่ขัดศรัทธา
“เสแสร้งต่อไปเถิด! ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้ามีแผนการใด?!?
เขาลอบยิ้มขณะสํารวจอี้สั่วตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนหันหลังกลับ
เหนือสังเวียนแห่งความเป็นตาย เหล่าผู้ตัดสินทั้งสามเริ่ม ทําการจับสลาก การประลองครั้งแรกของวันนี้เหมือนกับ เมื่อวานสํานักหมอกเมฆาประลองกับสํานักเครื่องนิล! ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากสํานักเครื่องนิลกระโดดขึ้นไปบน สังเวียนอย่างรวดเร็ว เขาแบกกระบองหนักเกือบหนีงพันจินไว้บนไหล่ก่อนเหวี่ยงมันไปรอบๆ เพื่อแสดงความแข็งแกร่งข่มขวัญคู่ต่อสู้
เมื่อวานนี้เยี่ยฉวนส่งศิษย์ผู้อ่อนแอเข้าร่วมการประลองสองคนและพ่ายแพ้ทั้งสองครั้ง แล้ววันนี้เล่า? เขาจะยอมให้สํานักของตนเผชิญกับความพ่ายแพ้อีกหรือ ไม่?
ฝูงชนต่างมองไปที่เยี่ยฉวนด้วยความใคร่รู้แม้แต่ผู้พิทักษ์หยางก็เช่นกัน…เขาคาดเดาแผนการของเยี่ยฉวนไม่ออกเลยแม้แต่น้อย!
เยี่ยฉวนผู้ตกเป็นเป้าสายตาไม่ปริปากเอ่ยคําใด เขาเพียงกวาดสายตามองจูซือเจียและคนอื่นๆ ไล่มาถึงจ้าวต้าจ๋อ..
.
ครั้นเห็นสายตาของศิษย์พี่ใหญ่ที่มองมาทางตน ร่างกายที่เต็มไปด้วยไขมันพลันสั่นเทา เขากล่าวคําเบาด้วยน้ําเสียงขมขื่น “ศิษย์พี่ใหญ่ เป็นข้าอีกแล้วหรือ? ไม่ใช่ว่าศิษย์น้อง ไม่ต้องการช่วยท่านหรอกนะ ตะ-แต่บอกตามตรง”
การขึ้นไปยืนบนสังเวียนแห่งความเป็นตายท่ามกลางสายตาคนนับร้อยเพียงครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เขาไม่ต้องการขึ้นไปเป็นครั้งที่สอง!
“อย่าตระหนกไปเจ้าอ้วน ไม่ใช่เจ้าศิษย์พี่ใหญ่มีแผน การอื่น!”
เยี่ยฉวนเผยรอยยิ้มกว้าง ทําให้ความวิตกใน จิตใจของจ้าวต้าจื่อบรรเทาลง หลังครุ่นคิดชั่วครู่เยี่ยฉวนงมองไปที่หนานเทียนโตวก่อนกล่าวออก “การประลองครั้ งนี้สําคัญยิ่ง ฉะนั้นพวกเราจะพ่ายแพ้ไม่ได้อีก! หากครั้งนี้ไม่ ชนะเท่ากับไว้โอกาสประลองในครั้งต่อไป ศิษย์พี่ใหญ่ก็จะ ถูกตัดแขน ยอดฝีมือของสํานักเครื่องนิลผู้นั้นอย่างน้อยน่า จะบรรลุขั้นซิวฉือระดับที่สาม ศิษย์น้องเทียนโตวเจ้าสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่?!”
“เก้ากระบวน! ข้าจะสังหารมันในเก้ากระบวนท่า!” หนานเทียนโตวก้าวออกไปด้านหน้าอย่างกล้าหาญ รูปร่าง ของเขาสูงและมั่นคงราวใบดาบคมกริบ
“ประเสริฐ! เช่นนั้นก็ไปเถิด!” เยี่ยฉวนออกคําสั่ง
หนานเทียนโตวโค้งคํานับเล็กน้อยก่อนกระโดดทะยานขึ้นไปบนอากาศราวอสุรกายนกยักษ์โบราณ ขณะที่เขาเหาะ เห็น…ฝ่าเท้าของเขาเขย่งเหยียบอยู่บนศีรษะของศิษย์ผู้หนึ่ง ทันทีที่ร่างของเขาร่อนตรงลงไปยังสังเวียนแห่งความเป็นตาย ฝูงชนต่างปรบมือต้อนรับเขาอย่างพร้อมเพรียง!
แม้ยอดฝีมือของสํานักเครื่องนิลผู้ยืนอยู่บนสังเวียนเหวี่ยงกระบองอันเขื่องไปโดยรอบเพื่อข่มขวัญทว่า หนานเทียนโตวกลับไร้ท่าที่หวาดกลัว เขาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ…ฝีเท้าทุกย่างก้าวมั่นคงและหนักแน่นยิ่ง!
“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดสํานักหมอกเมฆาก็ส่งคู่ต่อสู้ที่คู่ควรออกมา มาเถิด! มาประลองกันสักสามร้อยครั้ง! ฮ่าๆๆ”
ยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลระเบิดเสียงหัวเราะ ดังลั่นขณะแผ่จิตสังหารอันคุกคามออกทันใดนั้นแสงวาววับ เย็นเยียบจากใบดาบพลันปรากฏขึ้นต่อสายตา! เสียงชักกระบีออกจากฝักเป็นจังหวะสม่ําเสมอดังก้องกระเทือนแก้วหู!
“อย่ามัวพล่ามเรื่องเหลวไหล!”
หนานเทียนโตวเผยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก เขาไม่ทักทายคู่ต่อสู้แต่เริ่มโจมตีทันที! แม้ยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลมีทักษะวิทยายุทธที่แข็งแกร่งทั้งยังมากประสบการณ์ ทว่ากลับมองการเคลื่อนไหวของหนานเทียนโตวไม่ทันแม้ แต่ครั้งเดียว! เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงยกกระบองหนักอึ้งของตนขึ้นป้องกันโดยไม่ทันตั้งตัว สิ้นเสียงดังกึกก้องของอาวุธทั้งสองที่กระทบกัน หนาน เทียนโตวก้าวถอยหลังไปกว่าสิบเมตรอย่างรวดเร็วก่อนยืน นิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวรูปปั้นหิน ส่วนยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลสัมผัสถึงความชาบนฝ่ามือ รอยแตกร้าวเป็นแนวยาวปรากฏขึ้นบนกระบองที่เขาภาคภูมิใจนัก!
“ลองอีกครั้ง!”
ดวงตาหนานเทียนโตวทอประกายวูบไหวขณะพุ่งตัวเข้า โรมรัน! สองมือจับกระบี่จ้วงแทงอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี้! ปราณกระบี่อันทรงพลังกวาดไปโดยรอบสังเวียนแห่งความ เป็นตาย ราวจิตสังหารที่บ้าคลั่งกําลังเขย่าสวรรค์อย่างไร อย่างนั้น ซึ้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น! ยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลที่ข่มขวัญคู่ต่อสู้ในตอนแรกเริ่มหมดแรงโจมตีกลับทําได้เพียงปัดป้องเท่านั้น
“กระบี่สะท้านสวรรค์! นี่คือเคล็ดวิชากระบี่สะ ท้านสวรรค์ในตํานาน!”
“ทรงพลังยิ่ง! สํานักหมอกเมฆามียอดฝีมือเช่นนี้ด้วยหรือ?!”
ฝูงชนที่รับชมการประลองอยู่บนอัฒ จันทร์นอกสังเวียนตื่นตะลึงยิ่ง! หัวใจของทุกคนสั่นระรัวเมื่อ ตระหนักถึงเคล็ดวิชาที่หนานเทียนโตวใช้ในการประลองได้ ไม่คาดคิดว่าสํานักหมอกเมฆาผู้พ่ายแพ้การประลองถึงสองค รั้งติดต่อกันเมื่อวาน..จะมีศิษย์ยอดฝีมือผู้กล้าหาญกระโจน ออกไปและทําการโจมตีอย่างโหดเหี้ยม!
“ห้า…”
เยี่ยฉวนนับกระบวนท่าออกเสียงด้วยท่าที่ผ่อนคลาย เมื่อ นับถึงเก้าการประลองบนสังเวียนแห่งความเป็นตายก็จบลง หนานเทียนโตวยืนนิ่งอยู่จุดเดิม ตุ้บ! ยอดฝีมือจากสํานักเครื่องนิลผู้เป็นคู่ต่อสู้ของเขาทรุดลงกองกับพื้นร่างกาย ของเขาแยกออกเป็นสามท่อนเมื่อกระบวนท่าทั้งเก้าสิ้นสุด!
เคล็ดวิชาเก้ากระบี่สะท้านสวรรค์ประจักษ์ต่อสายตาฝูงชนเช่นนี้ผู้ใดบ้างจะกล้าต่อกรกับเขา?!
บรรดาศิษย์ต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตกตะลึงอย่างไม่ อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น! จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ศิษย์ของสํานักหมอกเมฆา และสํานักเบญจลักษณ์ต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างยินดี! ส่วนบรรดาศิษย์ของสํานักเครื่องนิลกลับเงียบกริบ เจ้าสํานักโทวปาเซียงผู้ยื่นชมอยู่บนอัฒจันทร์ตลอดการประลองเผยสีห น้าคล้ําหม่นราวผงขี้เถ้า เขาจ้องเขม็งไปยังเยี่ยฉวนด้วยสาย ตาโหดเหี้ยมกว่าครั้งไหน!
คอมเม้นต์