Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 119 จักรพรรดิไพรทมิฬ
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 119 จักรพรรดิไพรทมิฬ
“น่าเสียดาย แต่ข้าไม่รู้จักสิ่งนี้”
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะพลางยื่นเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ในกล่องไม้คืนให้อีกฝ่ายด้วยท่าที่ลังเลเล็กน้อย
คนนอกรีตทั้งเจ็ดผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยฉวนเย้ยหยันในใจก่อนจะหันหลังจากไป สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนจากต่างแดนยืนยันว่าเขาคาดเดาได้ถูกต้อง
“ช้าก่อนคุณชาย ท่านไม่รู้จักสิ่งนี้จริงหรือ?”
หัวหน้ากลุ่มคนนอกรีตเงยหน้าขึ้นช้าๆ พร้อมเผยสีหน้าเย็นชา เขาแสยะยิ้มแข็งกร้าวก่อนกล่าวออก “เจ้าไม่สนใจสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้หรือกังวลว่าจะไม่มีปัญญาซื้อกันแน่?”
รอยยิ้มของหัวหน้ากลุ่มคนนอกรีตทําให้ผู้คนสั่นสะท้าน
รัศมีเย็นยะเยือกแผ่กระจายไปทั่วโถงทางเดินของตลาดมืดใต้ดินอย่างรวดเร็ว
คนนอกรีตอีกหกคนเอื้อมมือไปยังกระบี่ที่ห้อยอยู่ข้างเอวโดยพร้อมเพรียงกัน จิตสังหารเย็นเยียบพุ่งสูง ผู้คนพากันแยกย้ายจากไปเงียบๆ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีและพยายามรักษาระยะห่างจากรังแตนนี้ให้มากที่สุด!
เยี่ยฉวนยกยิ้ม ปฏิกิริยาตอบสนองของทั้งเจ็ดนั้นเกินคาดทว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการ หากคนเหล่านี้ค้าขายอย่างเที่ยงตรงคงไม่เรียกร้องสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้ แล้วเขาจะได้ของที่ต้องการมาได้อย่างไร? เยี่ยฉวนมองดูคนทั้งเจ็ดก่อนกล่าวออก “ใช่ ข้าเกรงว่าข้าจะซื้อไม่ไหว ก็แค่เมล็ดพันธุ์เท่านั้น พวกเจ้าขายให้ข้าในราคาหนึ่งตําลึงไม่ได้หรือ?”
เยี่ยฉวนตามน้ำไปด้วยการเสนอเงินตําลึงให้
สีหน้าของคนทั้งเจ็ดแปรเปลี่ยน ทว่ารอยยิ้มของเยี่ยฉวนกลับกว้างกว่าที่เคย เขาเดินจากไปโดยมีหลิวหงตามหลังมาติดๆ
เยี่ยฉวนเงยหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้าเมื่อกลับมายังเบื้องบน เขาชะงักฝีเท้าก่อนหันมาเอ่ยกับหลิวหง “แม่นางหลิว ต่อให้มาส่งสหายไกลนับพันลี้สุดท้ายก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี ข้าว่าเราแยกกันตรงนี้เถิด”
“เพราะเหตุใดคุณชายเยี่ย? ท่านกลัวว่าข้าจะตามติดท่านไปถึงสํานักหมอกเมฆาอย่างนั้นหรือ?” หลิวหงยิ้มพร้อมขยับกายเข้าใกล้ เรือนร่างงดงามอิงแอบเข้าหาเยี่ยฉวนพลางช้อนตามอง “หรือ…. ท่านกลัวว่าศิษย์น้องหญิงของท่านจะเห็นเราอยู่ด้วยกันเข้า?”
“ประมาณนั้น” เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฮ่าๆๆ”
หลิวหงหัวเราะเสียงใสกังวานราวกระดิ่งเงิน นางถอนหายใจเบาก่อนกล่าวออก “คุณชายเยี่ยช่างไม่ธรรมดาจริงๆ เฮ้อ เหตุใดสํานักเบญจลักษณ์ของเราจึงไม่มียอดฝีมือเช่นนี้นะ? คุณชายเยี่ยสนใจมาเข้าร่วมสํานักของข้าหรือไม่? ข้าจะให้ท่านพ่อฝึกฝนท่านสุดกําลังและให้ท่านขึ้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่ประจําสํานักให้จงได้ ถึงเวลานั้นหงหงคงเรียกท่านว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้”
“แม่นางหลิวอยากเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่งั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนมองหลิวหงด้วยรอยยิ้ม “สํานักหมอกเมฆาและสํานักเบญจลักษณ์ไม่ลงรอยกันมาโดยตลอดและบรรดาศิษย์มักจะต่อสู้กันนอกสํานักอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดเจ้าจึงแสนดีกับข้าเช่นนี้?”
“ถ้าข้าบอกว่าท่านรูปงามยิ่งนักและเป็นชายที่รูปงามที่สุดในใจของหงหง ท่านจะเชื่อหรือไม่?” ดวงตากลมโตมีน้ำใสเอ่อคลออยู่ภายใน ผิวกายของนางแลดูนวลเนียนงดงามยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์สลัวราวกับจะมีหยดน้ำไหลออกเมื่อบีบเบาๆ
เยี่ยฉวนถูปลายคางของตนอยู่ครูใหญ่ รู้สึกสากมือเล็กน้อยด้วยไม่ได้ดูแลหนวดเครามานาน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเชื่อ เพราะศิษย์น้องหญิงทั้งหมดในสํานักหมอกเมฆาก็ว่าเช่นนั้น ขอบคุณแม่นางหลิวที่ชวนข้ามาในวันนี้ ข้าได้ประโยชน์จากการเดินทางครั้งนี้ไปไม่น้อย ลาก่อน!”
เยี่ยฉวนโบกมือก่อนก้าวยาวๆ จากไปด้วยไม่สนใจจะพัวพันกับหลิวหงอีกต่อไป
แม่นางหลิวหงแห่งสํานักเบญจลักษณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและไร้เล่ห์มารยาใดๆ ประหนึ่งเจ้าหญิงที่ถูกประคบประหงมเอาใจเสียจนเคยตัว นางทําทุกสิ่งตามที่ใจปรารถนา แต่การพบปะกับนางหลายครั้งทําให้เยี่ยฉวนเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
สตรีทุกนางล้วนแต่ไม่ธรรมดา สตรีที่ทั้งงดงามและมีภูมิหลังที่ทรงอํานาจย่อมไม่ธรรมดาเสียยิ่งกว่า!
เยี่ยฉวนหัวเราะและหยอกล้อกับนางเมื่อมองจากภายนอก แต่ภายในใจนั้นระแวดระวังและคอยรักษาระยะห่างกับหลิวหงอยู่เสมอ
คล้อยหลังเยี่ยฉวน สีหน้าคลั่งรักของหลิวหงพลันหายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเยาะ “เจ้าเล่ห์นักนี่หรือคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาที่ว่ากันว่าปัญญาทึบ? ฮิๆ ข้าจะคอยดูว่าจะอวดดีไปได้อีกนานแค่ไหน สักวันเจ้าต้องยอมสยบใต้กระโปรงสีทับทิมของข้า* ฮ่าๆๆ…”
*กระโปรงสีทับทิม = เสน่ห์ของหญิงสาว
หลิวหงหัวเราะด้วยแววตาเปล่งประกายร้อนแรงราวกับจอมราชินีที่กุมอํานาจไว้ในมือ ก่อนจะสงบสติอารมณ์ดังเดิมและหันหลังกลับไปยังตลาดมีดใต้ดินอันโสมม
“จับมัน!”
“องค์จักรพรรดิไพรทมิฬ เด็กนั่นอยู่ข้างหน้าขอรับ!”
หลิวหงก้าวได้ไม่กี่ก้าวร่างกํายําทั้งเจ็ดก็พุ่งออกมาจากตลาดมีด พวกเขาหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะวิ่งต่อไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศเดียวกับที่เยี่ยฉวนจากไป
ผู้ฝึกตนต่างแดนจากตลาดมืดทั้งเจ็ดกําลังไล่ตามเยี่ยฉวน!
ไม่รู้ว่าคนนอกรีตทั้งเจ็ดใช้วิธีใดทว่าผู้คนในตลาดมืดไม่อาจรบกวนการไล่ล่าของพวกเขาได้เลย แม้แต่หลิวหงผู้เชี่ยวชาญด้านการวางอุบายและมีหูตาอยู่ทุกที่ยังไม่อาจทราบ พวกเขาบินข้ามท้องฟ้าภายใต้แสงสลัวยามราตรีโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงเงามืดที่เร้นกายอยู่ในป่าทึ่บกําลังจับจองพวกเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ!
ชายนอกรีตทั้งหมดไม่สูงมากนัก แม้รูปร่างจะเตี้ยสั้นแต่กลับมีความว่องไวสูง พวกเขาบินตัดผ่านท้องฟ้ายามราตรีไปอย่างรวดเร็วราวกับฝูงค้างคาว เดิมที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าจะไล่ตามเยี่ยฉวนได้ทันภายในสิบลี้ แต่บัดนี้เกือบสามสิบลี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา!
คนทั้งเจ็ดหยุดลงเมื่อไล่ตามมาถึงลําธารบนภูเขา
รอยเท้าของเยี่ยฉวนเปลี่ยนทิศทางไปนับจากจุดนี้ หากกระโดดข้ามลําธารและตรงไปจะพบสํานักหมอกเมฆา หากไปทางซ้ายจะเป็นเทือกเขากว้างใหญ่ไพศาล และหากไปทางขวาจะเป็นยอดเขาขนาดเล็กตั้งตรง ทะเลสาบน้อยใหญ่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบเป็นทิวทัศน์อันน่าหลงใหลใกล้ตลาดมีดที่เรียกว่าทะเลสาบอมตะ รอยเท้าของเยี่ยฉวนมุ่งตรงไปทางทะเลสาบนี้
ชายนอกรีตทั้งหกพร้อมใจกันหันไปมองหัวหน้าที่เรียกขานกันว่าจักรพรรดิไพรทมิฬ การเปลี่ยนทิศทางกะทันหันของเยี่ยฉวนทําให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หรือเยี่ยฉวนจะสังเกตว่าพวกเขากําลังไล่ตาม?
หัวใจของคนนอกรีตทั้งหมดหนักอึ้ง พวกเขากระชับกระบี่ข้างเอวด้วยจิตสังหารแรงกล้า
“จับมัน!”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จักรพรรดิไพรทมิฬจึงโบกมือสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหกไล่ตามต่อไปด้วยสีหน้าเยือกเย็นไร้ความรู้สึกประหนึ่งใบมีดคมกริบ
การคาดเดาของเยี่ยฉวนไม่ผิดนัก คนทั้งเจ็ดออกเดินทางไกลเพื่อค้นหาปรมาจารย์ผู้รอบรู้ที่สามารถระบุชื่อเมล็ดพันธุ์ภายในกล่องไม้ได้ ตระกูลของพวกเขาจ่ายไปอย่างหนักเพื่อเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นจึงหมายจะระบุตัวตนของสมบัติภายในกล่องให้จงได้!
“พวกเขากําลังมาแล้ว มาจริงๆ มาอย่างเร็วเสียด้วย!”
เยี่ยฉวนมองดูคนทั้งเจ็ดโบยบินใต้แสงสลัวยามค่ำคืนจากบนยอดเขาสูงอย่างเงียบเชียบ เขาผุดยิ้มเย็นเยียบก่อนกระโดดลงจากยอดเขาราวกับเงาและวิ่งลึกเข้าไปในทะเลสาปอมตะ
ชายนอกรีตทั้งเจ็ดตั้งใจแน่วแน่ที่จะจับตัวเยี่ยฉวนและบังคับให้เขาระบุชื่อสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้โดยไม่ได้คาดคิดว่าเยี่ยฉวนก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะฉวยโอกาสชิงเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์นั้นมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจแยกกับหลิวหงอย่างรวดเร็ว และทะเลสาบอมตะแห่งนี้คือสมรภูมิที่เขาเลือก!
คอมเม้นต์