Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 181 ป่าหมื่นอสูร
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 181 ป่าหมื่นอสูร
บทที่ 181 ป่าหมื่นอสูร
“คุณชายเยี่ย ถ้าเช่นนั้นเราจะเข้าไปรอท่านข้างใน”
หลิวหงส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มทว่าเผยสีหน้าหม่นหมองทันทีที่หันหลัง
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เรารออีกสักนิดไม่ได้หรือ?” ศิษย์สานักเบญจลักษณ์ผู้หนึ่งถามขึ้น
หลิวหงได้ขึ้นเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ประจําสํานักสมใจปรารถนาหลังกู่ชานเหลิงตายตกไปในการประลองครั้งยิ่งใหญ่ นางภาคภูมิใจกับความสําเร็จนี้มิใช่น้อย ทว่ากลับต้องปิดไว้เป็นความลับเพื่อแสร้งอ่อนแอต่อหน้าเยี่ยฉวน
“รออีกสั้นหรือ?! ไอ้เด็กนั่นมันเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกเฒ่า ยังต้องรออะไรอีก?!”
หลิวหงพ่นลมด้วยความหงุดหงิด นางเดินบิดเอวบางกลับไปยืนหน้ากองทัพใหญ่และนําทัพเข้าสู่โลงศพหิน กําลังพลกว่าสองพัน นายค่อยๆ หายวับไปที่ละกลุ่ม
ออร่าอันทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากเส้นขอบฟ้า
บรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆากวาดตามองโดยรอบจึงเห็นเหล่ายอดฝีมือทั้งปรมาจารย์จากสํานักอื่นและจอมยุทธ์อิสระเหยียบกระบี่บินพุ่งตรงมาจากทุกทิศทาง!
ข่าวเรื่องอาณาจักรสวรรค์แพร่กระจายไปทั่วเทือกเขา หมอกเมฆาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่ากระบี่บินใดๆ ยอดฝีมือจํานวนมาก จึงเร่งรุดมาทันที ฝูงชนมหาศาลพากันมารวมตัว ณ ที่แห่งนี้
“เดินหน้า!”
เยี่ยฉวนออกคําสั่งและมุ่งหน้าไปยังโลงศพหินอย่างแน่วแน่
แม้ในระยะสิบเมตรจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใด แต่เมื่อเข้าใกล้ขึ้นอีกก้าวทั้งร่างของเยี่ยฉวนกลับทรุดลงและเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ยิ่งเข้าใกล้ทั้งกายยิ่งสั่นเทิ้มรุนแรงอย่างควบคุมไม่ได้จนรู้สึกราวกับไหล่ทั้งสองจะฉีกขาด และสั่นรุนแรงที่สุดเมื่อห่างจากโลงหินเพียงสามเมตร ร่างของชายหนุ่มกระเพื่อมและบิดเบี้ยวราวกับคลื่นก่อนจะหายวับไป
เจ้าอ้วน จูซือเจีย และศิษย์สํานักหมอกเมฆาราวแปดร้อยคนที่ตามหลังมาติดๆ ก็หายไปในชั่วพริบตา
เหล่ายอดฝีมือที่กําลังเหยียบกระบี่บินตรงมาพากันตกตะลึงกับภาพตรงหน้า บ้างทําใจกล้าก้าวเข้าไปในโลงศพหินและหายตัวไปเช่นกัน
พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนขณะที่พระราชวังอันวิจิตรซับซ้อนค่อยๆ จมลงไปจนเหลือเพียงส่วนปลายยอดที่โผล่พ้นขึ้นมาซ้ำร้ายฝาโลงศพหินยังปิดเร็วขึ้น ลวดลายมังกรปีศาจบนนั้นเปล่งประกายราวกับอักขระโบราณ
เท้าของเยี่ยฉวนสัมผัสพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้งหลังวิงเวียนอยู่นาน
เมื่อลืมตามองโดยรอบจึงพบว่าเบื้องหลังมีเพียงความว่างเปล่าไร้แสงไฟประหนึ่งหุบเหวที่กลืนกินมนุษย์จนไม่เหลือซาก ฝั่งซ้ายเป็นผืนปาที่ทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ฝั่งขวาเป็นหนองน้ำและเบื้องหน้าเป็นป่าหินอันกว้างใหญ่ไพศาลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ไร้วี่แววของปีศาจเพลิง ปีศาจเขาโค้ง และศิษย์สํานักหมอกเมฆาคนอื่นๆ บัดนี้เขาอยู่ที่นี่เพียงลําพัง
ช่างเป็นกระบวนการที่น่าทึ่งนัก!
เยี่ยฉวนอัศจรรย์ใจกับกระบวนการของอาณาจักรสวรรค์ ผู้คนมากมายที่รวมกลุ่มกันถูกแยกย้ายกระจัดกระจายไปคนละทาง แม้ในชาติที่แล้วเยี่ยฉวนจะประลองความแข็งแกร่งกับปรมาจารย์มานับไม่ถ้วน ทว่าเขาไม่เคยได้เผชิญหน้ากับมังกรปีศาจจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายครอบครองพลังแบบใด เห็นทีต้องระวังตนเป็นพิเศษเสียแล้ว!
เยี่ยฉวนตรวจดูโดยรอบจนถี่ถ้วนก่อนตรงไปยังป่าหินเบื้องหน้าอย่างระแวดระวังทุกฝีก้าว
ม่านหมอกหนาทึบลอยอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าแลดูไร้พิษสงต่างจากหมอกโลหิตที่หุบเขามังกรปีศาจ แต่กลับทําให้เยี่ยฉวนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก หมอกสีเทาที่ปกคลุมอยู่ทําให้อาณาจักรสวรรค์แลดูเหมือนหลุมศพขนาดมหึมาที่มีวิญญาณคนตายเร่ร่อนโดยทั่ว คนเป็นที่หลงเข้ามาหากไม่ตายก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพเดิน
ป่าหินดูเหมือนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่หลังจากเดินมาครู่ใหญ่แล้วระยะทางกลับไม่สั้นลงเลยแม้แต่น้อย หมอกสีเทาบนฟ้า ทําให้เกิดภาพลวงตา ทั้งแสง ห้วงเวลา และระยะทางในที่แห่งนี้ถูกบิดเบือนไปจากเดิมจนหมดสิ้น
ฉับพลันเกิดเสียงเอะอะโวยวายดังแว่วมา!
เยี่ยฉวนเร่งฝีเท้าตามเสียงนั้นไปและพบกับใบหน้าที่คุ้นเคยเข้าโดยบังเอิญ
หลิวหงในกระโปรงหนังสั้นทําท่าทางบางอย่างพลางร้องตะโกนและวิ่งตรงมาทางเขา ตามด้วยศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ร่างสูงใหญ่สองคน และหญิงสาวสง่างามน่าเอ็นดูดจนกน้อยในชุดคลุมสํานักเครื่องนิล
โท่วป่าเซียงเนียวหรือ?
เยี่ยฉวนประหลาดใจด้วยไม่คาดคิดว่าจะพบนางในที่แห่งนี้ เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปหา
“คุณชายเยี่ย ท่านอยู่ในป่าหมื่นอสูรแห่งนี้ด้วยหรือ?”
สีหน้าเย็นชาและหยิ่งยโสของหลิวหงแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอ่อนหวานทันทีที่เห็นเยี่ยฉวน นางอยู่ในชุดเกราะเกล็ดปลาที่รัดหน้าอกแน่นจนแทบล้นทะลักออกมา ท่อนล่างสวมใส่กระโปรงหนังสั้นที่แทบปิดบั้นท้ายของนางไม่มิดและเผยเรียวขาขาวเด่นเช่นเคย
ศิษย์สานักเบญจลักษณ์ทั้งสองลอบมองเรือนร่างของหลิวหงซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความหลงใหลและร้อนรุ่มทั้งภายในและภายนอก แต่เยี่ยฉวนกลับไม่แม้แต่จะชายตามองซ้ำยังมีร่องรอยความขยะแขยงฉายชัดในแววตา ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยถือสาท่าที่ของนาง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกรังเกียจสตรีปลิ้นปล้อนสองหน้าผู้นี้มากขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นข้อความที่สลักอยู่บนก้อนหินใหญ่เบื้องหน้าป่าหินว่า “ป่าหมื่นอสูร”
“คุณชายเยี่ย เป็นอะไรไป? สีหน้าของท่านไม่สู้ดีเท่าใดนัก แล้วศิษย์สํานักหมอกเมฆาคนอื่นเล่า? ท่านมาที่นี่คนเดียวหรือ?” หลิวหงเบียดกายเข้าหาราวกับต้องการทําตัวติดเยี่ยฉวน กลิ่นหอมอ่อนจางดุจฤดูใบไม้ผลิจากร่างของนางรบกวนประสาทสัมผัสของเขา หญิงสาวเงยหน้าและยืดอกขึ้นทําให้หน้าอกที่อวบอิ่มอยู่แล้วแลดูใหญ่โตขึ้นไปอีกประหนึ่งยอดเขาที่ตั้งตระหง่านบนพื้นราบ
ศิษย์สํานักเบญจลักษณ์จ้องมองเยี่ยฉวนด้วยความอิจฉา ส่วนโท่วป่าเซียงเนียวหันหลังหนีพลางขยับปากสาปแช่งในลําคอ นางทนมองหญิงมักมากและบ้าตัณหาอย่างหลิวหงกับเยี่ยฉวนซึ่งถือเป็นพวกสวะประเภทเดียวกันไม่ได้ ยิ่งนึกถึงที่เยี่ยฉวนถ้ำมองนางยามอาบน้ำยิ่งโมโห
คนที่นางไม่อยากเผชิญหน้าในภารกิจครั้งนี้มากที่สุดคือเยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆา แต่กลับต้องมาพบกันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็หลีกหนีศัตรูตัวฉกาจไม่พ้นจริงๆ!
“ใช่ มีข้าคนเดียว”
เยี่ยฉวนตอบ แม้เขาจะรังเกียจและระแวงหลิวหงเพียงใดแต่ภายนอกยังคงแสดงท่าที่จริงใจกับนางพลางถอนหายใจ “เฮ้อ…. ภรรยาข้าก็อยู่ที่นี่ เหตุใดจึงไม่ทักทายซ้ำยังปฏิบัติต่อข้าแย่กว่าคนแปลกหน้าเสียอีก แม่นางหลิว หน้าตาข้าแย่ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“ฮ่าๆๆ…”
หลิวหงปิดปากหัวเราะเสียงแหลมเมื่อนึกถึงยามที่โท่วป่าเซียงตั้งใจใช้นกอินทรียักษ์เพื่อกลั่นแกล้งให้สํานักหมอกเมฆาอับอายแต่กลับเป็นฝ่ายขายหน้าเสียเอง ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเทือกเขา หมอกเมฆาและถูกเล่าต่อเป็นเรื่องขบขัน การได้เห็นเยี่ยฉวนเสียดสีโท่วป่าเซียงเพียวเช่นนี้จึงทําให้นางอดหัวเราะไม่ได้
คอมเม้นต์