Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 206 จอมหลอกลวง
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 206 จอมหลอกลวง
บทที่ 206 จอมหลอกลวง
“คุณชายเยี่ย! คุณชายเยี่ย…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” โท่วปาเซียงเนียวพุ่งตัวเข้าหาเยี่ยฉวนทันทีที่เห็นเขาหลุดจากวงล้อม แม้นางรู้สึกโล่งใจในตอนแรก แต่เมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ไหวติง ความกังวลจึงก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยฉวนไม่ตอบคําถามของหญิงสาว อาจเป็นเพราะเขาอยู่ในห้วงภวังค์ของตนจนไม่สนใจเสียงรอบข้าง สายตาจับจ้องไปที่หยดเลือดของมังกรปีศาจที่อยู่บนปลายนิ้ว จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกับพื้นโดยเร็วและไม่ปริปากกล่าวคําใดอีก เขาพยายามเรียนรู้ และขัดเกลามันอย่างช้าๆ ทําให้เลือดมังกรปีศาจที่ถูกสังหารตรงชายป่ากระเพื่อมเล็กน้อยและไหลลงไปตามนิ้วจนถึงฝ่ามือ ทันใดนั้นอุณหภูมิของมันจึงร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดพล่านพร้อมปล่อยกระแสพลังปราณมหาศาลสู่ภายนอก
ความแปรปรวนของพลังงานดังกล่าวให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากพลังปราณทางธรรมชาติเคยที่พบเห็นในดินแดนรกร้างแห่งนี้ เพราะทั้งกระหายเลือด รุนแรง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการทําลายล้าง ไม่น่าเชื่อว่าเลือดเพียงหยดเดียวมีพลังมากกว่าก้อนผลึกในอสรพิษครึ่งคนหลายเท่า
โท่วปาเซียงเนียวตกตะลึงเมื่อเข้าใจเจตนาของเขา จึงชักกระบี่บินออกเพื่อคุ้มกันเยี่ยฉวนผู้เข้าสู่ห้วงสมาธิ
หยดเลือดมังกรปีศาจบนฝ่ามือของชายหนุ่มแผ่ออร่าบางอย่างที่อันตรายยิ่ง ความกลัวในส่วนลึกของจิตใจพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
ขณะนั้นเอง…ประกายแสงสีฟ้าพลันสว่างวาบ!
ตุ๊กตาหุ่นกระบอกหุ่นอวบอ้วนจิ้มลิ้มปรากฏกายขึ้นด้านข้างของเยี่ยฉวน…ในมือถือประคองโคมสีฟ้าที่มีรูปทรงคล้ายตะเกียงน้ํามันอันเล็ก ทําให้รูปลักษณ์โดยรวมดูคล้ายเด็กน้อยนําโชค
ไม่มีถ้อยคําใดเอื้อนเอ่ยออกจากปากของเยี่ยฉวน เขาเพ่งสมาธิทั้งมวลไปที่หยดเลือดมังกรปีศาจในมือ ทว่าก่อนทําการขัดเกลาอย่างจริงจังได้เรียกวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยและโคมบงกชสีครามออกมา เพื่อเตรียมตั้งรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่ศรัทธาในตัวหญิงสาว แต่อาณาจักรสวรรค์แห่งนี้เต็มไปด้วยภยันตรายลึกล้ํา มังกรปีศาจตัวอื่นๆอาจบุกมาสังหารเขาได้ตลอดเวลา ด้วยขั้นการฝึกตนของโท่วปาเชียงเนียวที่ไม่สูงส่งหากเผชิญหน้าศัตรูอาจเพลี่ยงพล้ํา แม้แต่ภูตทะเลสาวไหลี่ลี่ยังอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ําสมเนื้อ ดังนั้นวิญญาณร้ายเฮยกุ้ยที่แกร่งกว่าย่อมเป็นคําตอบที่ดีที่สุด…ผนวกกับโคมบงกชสีครามที่เขาได้รับจากสุสานเทพเจ้าก็เพียงพอแล้วที่จะต่อกรกับมังกรปีศาจ!
โท่วปาเซียงเนียวถอยห่างไปครึ่งก้าวด้วยความกังขาต่อตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันข้างกายเยี่ยฉวน แม้ลักษณะโดยรวมน่ารักน่าชังทว่านางกลับรู้สึกแปลกๆ ยิ่งพินิจเพียงใดยิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
ฝ่ามือของเยี่ยฉวนกางออกอย่างช้าๆ หยดเลือดมังกรปีศาจซึมซับเข้าสู่ภายใน ทันใดนั้นความแปรปรวนของพลังปราณอันรุนแรง เป็นเท่าทวีปะทุขึ้นจากร่างกายของเขา! แขนด้านขวาพลันสั่นสะท้าน นิ้วมือทั้งหาบิดเบี้ยวไปมา จากนั้นจึงลามขึ้นไปจนถึงข้อศอกและต้นแขน กล้ามเนื้อทุกมัดบิดเป็นเกลียวราวแผ่นแป้งรอทอด!
เขาเปล่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดสุดจะทานทน ทั่วร่างกายสั่นสะท้านเพราะโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากรูขุมขน พลังปราณที่พลุ่งพล่านรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งกระแสน้ําซึ่งไหลลงจากยอดเขาสูงที่ต้องการทิ้งร่างกายเขาออกเป็นชิ้นๆ กระดูกสันหลังลั่นเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทั้งยังโปงออกราวส่วนแหลมคมกําลังจะทิ่มโผล่ขี้นมาเช่นเดียวกับมังกรปีศาจตัวน้อยเมื่อครู่!
“ไม่นะ! คุณชายเยี่ย…”
โท่วปาเซียงเพียวกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก!
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเยี่ยฉวนเวลานี้คล้ายกับกระบวนการแปลงกายของผู้ฝึกตนอสูรในตํานาน หากปล่อยให้มันกลืนกินจนไม่สามารถควบคุม ท้ายที่สุดร่างกายอาจระเบิดออกเป็นเสี่ยงหรือไม่ก็กลายร่างเป็นมังกรปีศาจไปโดยปริยาย จากนั้นเขาจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะและปราศจากจิตสํานักความเป็นมนุษย์ สามารถฆ่าทุกคนขวางหน้าอย่างเลือดเย็น!
ชายหนุ่มเปล่งเสียงจากลําคอดังอู๋อี้ราวขอให้โท่วปาเซียงเพียวเร่งหนีไป แต่เมื่อฟังให้ดีจะได้ยินเหมือนเสียงคํารามของมังกรที่แตกต่างจากเสียงมังกรทั่วไป ทั้งยังแผ่ความแปรปรวนของพลังงานที่มองไม่เห็นคุกคามจิตวิญญาณผู้อยู่รอบข้าง
หญิงสาวถอยกรูดไปหลายก้าวอย่างตกตะลึง!
ทันใดนั้นเสียงเย็นเยียบพลันดังขึ้นจากด้านหลัง “นังโง่ ยังไม่รีบฉวยโอกาสนี้ฆ่ามันอีก!”
“ใครนะ?!”
โท่วปาเซียงเนียวหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและพบหลิวหง ซึ่งเอาตัวรอดออกจากปาหมื่นอสูรได้สําเร็จ ใบหน้าผ่องใสเผยความเย็นชาไร้ความรู้สึก ในมือถือกระบี่บินคมกริบ สายตาที่มองไปที่เยี่ยฉวนเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย หญิงสาวผู้ปราดเปรื่องซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามสัมผัสถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของอีกฝ่ายทันที! “ละ…. หลิวหง ในที่สุดเจ้าก็สามารถออกจากปาหมื่นอสูรได้! เจ้าคิดจะทําสิ่งใดกันแน่?!”
ใบหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวของหลิวหงทําให้โท่วปาเซียงเนียวรู้สึกกระสับกระส่ายไม่น้อย
ก่อนหน้านี้นางเคยนึกไม่ชอบหลิวหงที่ทํากิริยายั่วยวนฝูงภมรมาดอมดมอย่างไร้ยางอาย แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างอธิบายไม่ถูก
นางเคยชินกับใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายบ้างแล้ว โดยปกติหลิวหงมักทําตัวสดใสร่าเริงอยู่เสมอ วาจาที่เอื้อนเอ่ยเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน ทว่านับตั้งแต่นางแย่งชิงก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้ามาจากเยี่ยฉวนและฝึกฝนเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามจนบรรลุ ท่าทางเหล่านั้นกลับหายไป ใบหน้าฉายแววเย็นเยือกน่าครั่นคร้ามตลอดเวลา สายตาที่เคยระยิบระยับซุกซนแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนจนผู้ที่สบตาหวาดผวา
“หึๆ! แม้แต่พวกเจ้ายังมีชีวิตรอดออกมาได้ เช่นนั้นข้าจะตายได้อย่างไร?!”
หลิวหงฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แม้นางสามารถฝาวงล้อมของเหล่าอสูรหินจํานวนมากจนพ้นเขตปาหมื่นอสูรสําเร็จ แต่ทั่วร่างกายกลับเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเปื้อนเลือด กระโปรงหนังที่สั้นเพียงคืบฉีกขาดจนบั้นท้ายครึ่งหนึ่งเผยออก สภาพโดนรวมซวนเซคล้ายคนป่วยหนัก ครั้นสํารวจร่างกายของอีกฝ่ายพวงแก้มโทวปาเซียงเพียวพลันซับสีแดงเรื่อด้วยความกระดากอาย ทว่าหลิวหงไม่ใส่ใจทั้งยังกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงราบเรียบ “อีกไม่นานมันจะสูญเสียความทรงจําและเข่นฆ่าทุกคนที่พบเจอ โท่วปาเซียงเนียว…เจ้าคงรู้ว่าข้าจะทําการใด!”
หลิวหงก้าวเดินไปด้านหน้าพร้อมจิตสังหารที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดโอกาสอันดีที่จะสังหารเยี่ยฉวนก็มาถึง!
ก่อนหน้านี้นางมักแต่งกายสะสวยเพื่อล่อตาล่อใจยอดฝีมือชั้นเลิศแห่งสํานักเบญจลักษณ์และหลอกใช้คนเหล่านั้นเพื่อผลประโยชน์ ทว่าหลังจากบรรลุเคล็ดวิชาขนปักษาสีครามความตั้งใจของนางก็เปลี่ยนไป หากต้องการบางสิ่งนางจะเคลื่อนไหวอย่างตรงไปตรงมาไม่เสียเวลาเปลืองตัวอีกต่อไป การตัดสินใจสังหารเฉียบขาดขึ้นเป็นเท่าทวี ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในปาหมื่นอสูรนางคิดหาทางสังหารเยี่ยฉวนแต่ไม่สบจังหวะเสียที่ ครั้งนี้นางจึงไม่ต้องการให้โอกาสหลุดลอยไป!
“อย่าเข้ามานะ! หยุดอยู่ตรงนั้น! หากกล้าเดินเข้ามาอีกก้าวเดียวก็อย่ากล่าวโทษหากข้าหยาบคาย!” โท่วปาเซียงเพียวเผยสีหน้าเคร่งเครียดขณะตะโกนข่มขู่ ถึงกระนั้นเมื่อหลิวหงเดินเข้าไปใกล้นางกลับถอยกลับโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่าๆๆ! โท่วปาเซียงเนียว คนเช่นเจ้าน่ะหรือจะกระทําหยาบคาย?!”
หลิวหงแค่นเสียงหัวเราะจากลําคอและก้าวเดินไปข้างหน้าโดยปราศจากความเกรงกลัว “เดิมที่พอข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรสาวหัวแก้ว หัวแหวนของเจ้าสํานักเครื่องนิลข้าก็เคารพเจ้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หนาซาน หนาสู่ยและพี่ใหญ่ลูตายตกไปสิ้นแล้ว เหลือเพียงเจ้ากับเยี่ยฉวนเท่านั้น หากข้าสังหารเจ้าเสียคงดีผู้ใดจะล่วงรู้ว่าฆาตกรที่ฆ่าพวกเจ้าคือข้า!? ฮ่าๆๆ!”
หลิวหงเดินไปด้านหน้าโดยไม่ชะงักฝีเท้า หลังบรรลุเคล็ดวิชาขนปักษาสีฟ้าขั้นการฝึกตนของนางก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลัน โท่วปาเซียงเนียวผู้บรรลุเพียงขั้นซิวฉือระดับที่สี่ช่างด้อยทักษะนักในสายตานาง!
ทันทีที่ภูตทะเลใช้ความสามารถแต่กําเนิดขับกล่อมบทเพลงจนบรรดาอสูรหินชะงักค้างราวก้อนหินไร้ชีวิต นางจึงฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมออกไป หนาซานหนาสู่ยและพี่ใหญ่ลูไม่รอดจากการจู่โจมครั้งนี้ มีเพียงนางที่ยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้าย ทําให้ประจักษ์ชัดเจนว่าพลังยุทธ์ในร่างกายแข็งแกร่งขึ้นดังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การสังหารนกน้อยเช่นโท่วปาเซียงเพียวไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ยิ่งอีกฝ่ายมีท่าทางตื่นตระหนกจนร่างสั่นเทาดุจลูกแกะตัวน้อยเช่นนี้ ระหว่างหญิงสาวผู้บอบบางกับนางมารร้ายที่โหดเหี้ยม ผลลัพธ์สุดท้ายย่อมชัดเจนอย่างไม่ต้องคาดเดา!
โท่วปาเซียงเนียวประหม่าสุดขีด มือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่บินแน่น ร่างสั่นสะท้านขณะเดินถอยหลังไปที่ละก้าว
ส่วนเยี่ยฉวนยังคงหลับตาเข้าสู่ห้วงสมาธิโดยไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย ว่าอันตรายกําลังจะมาถึง!
คอมเม้นต์