Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 208 กลิ่นกายของเซียงเนียว
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 208 กลิ่นกายของเซียงเนียว
บทที่ 208 กลิ่นกายของเซียงเนียว
“คุณชายเยี่ย…. อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
โท่วปาเซียงเนียวที่เดินเข้าหาเยี่ยฉวนเพียงไม่กี่ก้าวพลันหยุดลงหญิงสาวตื่นตระหนกกับแผลลึกบนหน้าอกของอีกฝ่ายยิ่ง สีหน้าเผยความกังวลออก เห็นได้ชัดว่านางต้องการที่จะช่วยทำแผลแต่เมื่อเห็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่อยู่ใกล้ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
ใครจะรู้ว่าตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวนี้ขยับได้?
หากแค่ขยับได้ยังไม่น่าประหลาดใจนัก แต่มันสามารถหยิบกริชออกมาพร้อมกับสังหารผู้อื่นได้งั้นหรือ? นี่มันปีศาจชัดๆ
ขณะนี้ตุ๊กตาหุ่นกระบอกถูกครอบครองโดยวิญญาณเฒ่าเฮยกุ้ยมันถือตะเกียงเล็กๆ ในมือซ้ายและถือกริชเปื้อนเลือดในมือขวา มีรอยยิ้มหยอกล้อประดับอยู่บนใบหน้า รูปลักษณ์แปลกประหลาดทำให้โท่วปาเซียงเนียวรู้สึกหวาดผวา โดยเฉพาะใบหน้ายกยิ้มนั้นทำให้นางรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
“อาการบาดเจ็บคราวนี้ร้ายแรงยิ่ง ข้าเกรงว่า… เกรงว่าข้าอาจจะไม่รอดแล้วในครานี้ แม่นางหลิวหงกลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ!”
เยี่ยฉวนแสร้งทำตัวอ่อนแอขณะตอบกลับ
“ข้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น ท่านจงอยู่เฉยๆ สักครู่ ข้าจะช่วยหยุดเลือด!”
ความกังวลฉายชัดในแววตา หญิงสาวตรงปรี่เข้าไปพร้อมกับฉีกเสื้อคลุมของตนเองเพื่อผูกบาดแผลของเขาเอาไว้ แม้ว่ามองไกลๆ แล้วจะเห็นว่าบาดแผลไม่ได้น่ากังวลอะไรนัก แต่เมื่อนางพินิจดูมันใกล้ๆ ในขณะซับเลือดก็รู้สึกว่าหลิวหงโหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ! หากอีกฝ่ายสามารถแทงลึกเข้าไปได้อีกสักครึ่งนิ้ว เยี่ยฉวนคงตายตกไปแล้วเป็นแน่
หลังจากได้ถอดเสื้อของเยี่ยฉวนออก รอยแผลมากมายปรากฏขึ้นต่อสายตาของโท่วปาเซียงเพียวอย่างชัดเจน ชายหนุ่มคือผู้มีพระคุณเพราะเขาเป็นคนที่สังหารอสูรหินเพื่อเปิดเส้นทางหนี้ให้กับทุกคนอย่างไม่หวาดหวั่น อย่างไรซะบาดแผลมากมายเกิดขึ้นเพียงแต่ว่าไม่มีใครมองเห็นเพราะมันถูกเสื้อผ้าบดบัง
“ทำไมท่านจึงช่วยข้า?”
โท่วปาเซียงเนียวกล่าวขึ้นพร้อมดวงตาแดงก่ำ ในที่สุดนางก็รู้สึกได้ว่าความบาดหมางของนางกับเยี่ยฉวนนั้นไม่มีสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ภายนอกเยี่ยฉวนอาจดูเลวร้าย แต่ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเขามิใช่คนเลวโดยสันดาน บางคนที่แสร้งทำดีกลับเลวร้ายกว่ามาก
“แล้วเหตุใดข้าจึงต้องมีเหตุผลในการช่วยเจ้าด้วยเล่า?”
เยี่ยฉวนยกยิ้มพร้อมกับมองลำคอระหงของโท่วปาเซียงเพียวอย่างพิจารณา เส้นคั่นกลางระหว่างทั้งสองคนขาดสะบั้นลงไปแล้ว มีเพียงความใกล้ชิดคืบคลานเข้ามา กลิ่นหอมจางๆ จากร่างกายหญิงสาวนั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่าน้ำหอมใด เขาสูดดมมันจนชื่นใจก่อนจะกล่าวออก “ถ้าภรรยาของข้าตายตกไป ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเล่า?”
“ใครเป็นภรรยาของท่าน?!”
โท่วปาเซียงเนียวกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งที่เวลาเช่นนี้เยี่ยฉวนยังคงสนุกสนานอยู่ได้ บาดแผลของเขายังมีเลือดซึมออกมาแต่เขายังสามารถหยอกล้อตนไม่หยุดหย่อนทว่าในขณะกำลังโกรธ เซียงเพียวพลันนึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบถามออก “คุณชายเยี่ย เจ้าสิ่งนี้ เจ้าหุ่นกระบอกนี้คือ…”
“ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่ตุ๊กตาหุ่นกระบอกน่ะ ข้าเพียงมีเคล็ดวิชาที่สามารถใช้ควบคุมมันได้เจ้าชื่นชอบมันหรือไม่? หากชอบ ข้าสามารถมอบมันให้เจ้าได้ หากเจ้าไม่มีอะไรทำในเวลากลางวัน สามารถกอดหรือเล่นกับมันได้ตามอัธยาศัย และในตอนกลางคืนเจ้าสามารถใช้มันหนุนนอนแทนหมอนได้” เยี่ยฉวนกล่าวออกมาพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่สำหรับวิญญาณเฒ่าเฮยกุ้ยนั้นแทบจะหมดสติเมื่อได้ยิน
เยี่ยฉวนปราบปรามเขาได้หลังจากที่เขาเข้าสิงตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวนี้ แต่เฮยกุ้ยก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใดหลังจากได้เห็นความสามารถของเยี่ยฉวน เขารู้สึกว่าตนจะไม่มีวันอับอายแม้ต้องพบเจอกับศัตรูเก่าในอนาคต! แต่ในตอนนี้เขาถูกมอบเป็นของขวัญให้กับโท่วปาเซียงเพียวอย่างง่ายดาย หลังจากนี้เขาจะต้องใช้เวลาร่วมกับนกน้อยตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะกลายเป็นหมอนของนางให้ยามกลางคืนด้วยงั้นหรือ? นี่มันเลวร้ายเสียยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตายซะอีก!
“ไม่!”
โท่วปาเซียงเนียวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ขณะหันกลับนางเห็นว่าตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวนั้นวิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางแปลกๆ มันวิ่งไปรอบตัวนางจนทำให้รู้สึกมึนงง โท่วปาเซียงเนียวหยุดความตื่นตระหนกไว้ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากถามเยี่ยฉวนเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองสงสัย “โอ้ ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท คุณชายเยี่ย…. ก่อนที่ข้าจะวิ่งออกมาจากป่าหิน มีสตรีชุดดำปรากฏตัวขึ้นข้างกายของท่าน นางคือผู้ใดหรือ?”
โท่วปาเซียงเพียวพลันนึกถึงภูติทะเลที่ใช้เคล็ดวิชาให้อสูรทั้งหมดตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเบื้องหลังของเยี่ยฉวนลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยฉวนยกยิ้มพร้อมกับคิดไตร่ตรองหาคำแก้ตัว ทว่าเขาพลันสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างจึงกระซิบกลับอย่างเคร่งเครียด “มีบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”
หมอกสีเทาหนาทึบปกคลุมทั่วบริเวณกลับมีเสียงเท้ามากมายดังขึ้นจากที่ไกลๆ
ใบหน้าของโท่วปาเชียงเนียวเผยความกังวล อย่างไรเสียมือน้อยยังดึงกระบี่ออกมาอย่างมุ่งมั่น นางยืนบังเยี่ยฉวนไว้อย่างต้องการปกป้อง แต่สำหรับเยี่ยฉวนแล้วยังคงมีท่าที่ผ่อนคลาย เขานั่งไขว่ห้างพร้อมกับโบกมือเบาๆ เพื่อเก็บตุ๊กตาหุ่นกระบอกและโคมบงกชสีคราม
กลุ่มคนขนาดใหญ่เดินโซเซออกมาจากหมอกสีเทาหนาทึบ สตรีนางหนึ่งเดินนำหน้าฝูงชน นางสวมใส่ชุดเกราะพร้อมรบสีแดงสดถัดมาคือเจ้าอ้วน และหลังจากนั้นคือศิษย์ของสำนักหมอกเมฆา
จูซื้อเจียงั้นหรือ?
ทั้งหมดเป็นคนจากสำนักหมอกเมฆา?
โท่วปาเซียงเพียวเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก เยี่ยฉวนก็ค่อนข้างประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบกับจูชื่อเจียและเจ้าอ้วนที่นี่
“ศิษย์พี่ใหญ่?!”
เสื้อผ้าของเจ้าอ้วนฉีกขาดจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิม อีกทั้งเขายังหายใจหอบหนักด้วยสภาพที่น่าสังเวช ทว่าดวงตากลับเฉียบแหลมเช่นเคย เขาคือคนแรกที่เห็นว่าเยี่ยฉวนนั่งอยู่บนพื้นตรงหน้าเจ้าอ้วนวิ่งปรี่เข้ามาพร้อมกับตะโกนอย่างมีความสุขราวกับบุตรที่ได้พบกับบิดาผู้พลัดพราก ส่วนจูชื่อเจียนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะเดินนำศิษย์ทั้งหมดเข้ามาเช่นกัน กลุ่มศิษย์แห่งสำนักหมอกเมฆาเหลืออยู่ประมานหกสิบถึงเจ็ดสิบคน ร่างกายส่วนใหญ่ของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและสภาพของทุกคนนั้นไม่ต่างจากซากศพเดินได้นัก… ราวกับทุกคนหลุดออกมาจากประตูนรกอย่างไรอย่างนั้นเมื่อทั้งหมดได้พบเจอกับศิษย์พี่ใหญ่ของตนจึงพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเดินเข้ามาใกล้และเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนทุกคนกลับใจเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ
เยี่ยฉวนนั่งไขว่ห้างโดยไม่เคลื่อนไหวใด หน้าอกของชายหนุ่มถูกพันแผลไว้อย่างแน่นหนาและยังมีเลือดซึมออกมาอย่างน่าสยดสยอง ยิ่งไปกว่านั้นบนหลังยังมีรอยแผลมากมาย ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า!
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านได้รับบาดเจ็บ!”
จซื้อเจียเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเยี่ยฉวนอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ดวงตาแดงกำด้วยความอ่อนไหว แต่เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นโท่วปาเซียงเนียวยืนถือกระบี่อยู่เคียงข้างก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย
เยี่ยฉวนเป็นปฏิปักษ์กับสำนักเครื่องนิลมิใช่หรือ? แล้วทำไมเขากับโท่วปาเซียงเนียวจึงอยู่ด้วยกันเช่นนี้? มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคน?
อีกทั้งเมื่อเห็นว่าเสื้อของโท่วปาเซียงเนียวขาดรุ่ย จูซื้อเจียก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าผ้าพันแผลบนหน้าอกของเยี่ยฉวนมาจากที่ใดสายตาของนางมองสลับระหว่างเยี่ยฉวนกับหญิงสาวข้างกายก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
“คุณชายเยี่ยสามารถพูดคุยกับพวกเขาตามสบาย ส่วนข้าขอตัวก่อน”
โท่วปาเซียงเพียวพลันอึดอัดเมื่อเห็นใบหน้าของจูซื้อเจียอีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังมากมายจากสายตาของเหล่าศิษย์สำนักหมอกเมฆา ดังนั้นนางจึงกล่าวคำลาอย่างรวดเร็ว สำนักเครื่องนิลและสำนักหมอกเมฆามีความคับข้องใจต่อกันมายาวนาน ยิ่งไปกว่านั้นครั้งล่าสุดสำนักเครื่องนิลและอาวุโสแห่งสำนักหมอกเมฆายังสมรู้ร่วมคิดก่อกบฏเพื่อกวาดล้างสำนักหมอกเมฆาทั้งหมดด้วย ความเกลียดชังระหว่างทั้งสองฝ่ายมิใช่สิ่งที่จะสามารถคลี่คลายได้ในระยะเวลาอันสั้น
“ช้าก่อน! เซียงเพียวเจ้าจะไปไหน? อยู่ที่นี่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นเว้นแต่ว่าเจ้าไม่อยากหายใจแล้ว” เยี่ยฉวนกล่าวอย่างเย็นชา
โท่วปาเซียงเนียวหันกลับมาก่อนกล่าวคำเบา “แต่ว่า…”
“ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักหมอกเมฆา เอาล่ะ ข้ามีบางอย่างจะกล่าว!”
เยี่ยฉวนมองเหล่าศิษย์แห่งสำนักหมอกเมฆาก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ทุกคน… โท่วปาเซียงเพียวช่วยชีวิตศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไว้เป็นความจริงที่สำนักหมอกเมฆาและสำนักเครื่องนิลเป็นปฏิปักษ์กันมาเนิ่นนาน แม้ว่าโท่วปาเซียงจะโหดเหี้ยมแต่พวกเราต้องแยกให้ได้ว่าโท่วปาเซียงเนียวมิได้ทำสิ่งใดเลย พวกเราไม่ควรตอบแทนน้ำใจของนางด้วยการสร้างศัตรู พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
“ข้าเห็นด้วย!”
“พวกเราเห็นด้วยกับคำกล่าวของศิษย์พี่ใหญ่!”
ศิษย์แห่งสำนักหมอกเมฆาทั้งหมดพร้อมใจกันโค้งคำนับรับคำสั่งหลังจากนั้นแววตาเกลียดชังที่มองโท่วปาเซียงเนียวก็หายไป
“เจียเจีย ข้าต้องการพักสักหน่อย ฝากเจ้าดูแลสถานการณ์หลังจากนี้ด้วย”
เยี่ยฉวนออกคำสั่งพร้อมกับหลับตาลงอย่างเชื่องช้า เขาแสร้งทำเป็นอ่อนแอเมื่อมีแผลฉกรรจ์อยู่บนหน้าอก แต่ความจริงแล้วตอนนี้ชายหนุ่มกำลังแอบโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าใบเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายและจิตวิญญาณภายใน
ฉับพลัน ณ ที่ห่างไกลเต็มไปด้วยหมอกสีเทาทึบ เขาสัมผัสได้ถึงออร่าพลังมากมายกำลังมุ่งตรงมาทางนี้
คอมเม้นต์