Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 209 ก็แค่สังหารซะ
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 209 ก็แค่สังหารซะ
บทที่ 209 ก็แค่สังหารซะ
ก่อนที่เยี่ยฉวนจะทันได้พัก กลุ่มคนกว่าสามร้อยเดินโผล่พ้นหมอกหนาทึบออกมา
ชายร่างใหญ่พร้อมหนวดเคราเต็มใบหน้าเป็นผู้นํากลุ่ม เขาสูงเกือบสองเมตรพร้อมกับถือหม้อสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ไว้บนบ่า ด้านข้างมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งยืนอยู่ ทั้งหมดสวมใส่ชุดคลุมของสํานักเครื่องนิล อาวุธของพวกเขาคือหม้อสัมฤทธิ์หรือไม่ก็หอกใหญ่หรือดาบหนัก
โท่วปาเชียงแห่งสํานักเครื่องนิลงั้นหรือ?
เมื่อเห็นชายร่างใหญ่จากระยะไกล ศิษย์สํานักหมอกเมฆาอดไม่ได้ที่จะกังวล
เยี่ยฉวนแตกต่างจากพวกเขา หลังจากเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เหล่าศิษย์แห่งสํานักหมอกเมฆาปรากฏตัวในทุ่งหญ้าใหญ่ ไม่มีอสูรหินมีแต่สัตว์ปีศาจอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราด อีกทั้งพวกมันยังรวมกลุ่มกันโจมตีอีกด้วย จูซือเจียคือผู้นําของกลุ่มและในที่สุดทุกคนสามารถฝ่าวงล้อมออกมาจากเส้นทางนรกนั้นได้ ทว่ายังไม่ทันได้พักหายใจกลุ่มของสํานักเครื่องนิลก็ปรากฏตัวขึ้น
สํานักหมอกเมฆาสูญเสียผู้เชี่ยวชาญไปมากจากความขัดแย้งภายใน อาวุโสสูงสุดออกจากสํานักเข้าสู่เมืองหลวงอันห่างไกล อีกทั้งอาวุโสลําดับสองและศิษย์หลักของเขายังเพลี้ยงพล้ําให้กับศัตรูจนหมดท่า ตอนนี้เหลือเพียงศิษย์รุ่นเยาว์ภายในสํานักเท่านั้น ไม่มีอาวุโสใดๆคอยปกป้องอีกแล้ว หลังจากนั้นศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนจึงนําพาปีศาจเพลิงและปีศาจเขาโค้งนากู้ชื่อซึ่งอยู่ในขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ามานั่งอยู่ในตําแหน่งอาวุโสคอยปกป้องสํานัก แต่หลังจากเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้แล้ว ทั้งหมดพลัดพรากกันโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองถูกพาไปที่ใด ในตอนนี้พวกเขาเพิ่งพ้นขีดอันตรายและได้พบศิษย์พี่ใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้พักผ่อนก็ต้องพบเจอโท่วปาเซียงแห่งสํานักเครื่องนิลที่ยากจะรับมืออีกขั้นหรือ?
ใบหน้าของจูซือเจียและศิษย์ทั้งหมดของสํานักหมอกเมฆาฉายแวววิตกยิ่ง บางคนถึงกับร่างกายสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม
ตอนนี้กระดูกสันหลังของสํานักอย่างเช่นศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเขาอยู่ในสภาพแข็งแรงดี ทุกคนคงไม่กระสับกระส่ายเช่นนี้ ทว่าเยี่ยฉวนในตอนนี้ไม่แม้แต่จะสามารถยืนได้ด้วยซ้ํา แล้วพวกเขาจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างไร?
ร่างกายของเจ้าอ้วนชุ่มโชกด้วยเหงื่อ ขาสองข้างอ่อนแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ร่างกายเริ่มสั่นและทรุดกองอยู่บนพื้นอย่างน่าสังเวช
“เอ๊ะ ทายซิว่าข้าเห็นผู้ใด? นั่นมิใช่ศิษย์พี่ใหญ่ผู้สง่างามแห่งสํานักหมอกเมฆางั้นหรือ? ฮ่าๆๆๆ!”
แม้ว่าจะอยู่ไกลแต่โท่วปาเซียงสามารถจดจําเยี่ยฉวนได้ทันที เสียงหัวเราะถูกปลดปล่อยออกอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เดินนําผู้เชี่ยวชาญของสํานักเครื่องนิลเข้ามา ใบหน้าโหดเหี้ยมยกยิ้มชั่วร้าย ทําให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิม
เมื่อหลายวันก่อนเขาเกือบจะสามารถควบคุมสํานักหมอกเมฆาร่วมกับไปเยี่ยนหูได้แล้ว ทว่าในวินาทีสุดท้ายเขากลับสะดุดขาของเยี่ยฉวนจนแผนการรวมสํานักทั้งสามให้เป็นหนึ่งต้องจบ
ในตอนนั้นเขาไม่อาจต่อต้านพลังของสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียและนักรบพฤกษาเถียนกู้ได้ ทั้งสองคือศิษย์จากสํานักอสูรเมฆา โท่วปาเซียงไม่มีทางเลือกนอกจากร่นถอยอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากกลับมาถึงสํานักเครื่องนิล ยิ่งเขาใช้เวลาคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ยิ่งทําให้เคร่งเครียดมากเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจยอมพ่ายแพ้ได้! เช่นนี้ความแค้นทั้งหมดจึงตกอยู่กับเยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆา เพราะในวันนั้นหากเยี่ยฉวนไม่ยื่นมือเข้ามายุ่ง สํานักหมอกเมฆาและสํานักเครื่องนิลจะรวมกันเป็นสํานักสัมฤทธิ์เมฆา แล้วหลังจากนั้นจึงจะยกทัพไปกําราบสํานักเบญจลักษณ์ เมื่อสําเร็จพวกเขาก็จะสามารถรวมสามสํานักใหญ่แห่งเทือกเขาเมฆาและทั้งหมดนี้จะเติมเต็มความปรารถนายาวนานหลายปีของเขาได้อย่างสมบูรณ์
“ท่านต้องการสิ่งใด?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจิตสังหารรุนแรง ศิษย์แห่งสํานักหมอกเมฆาพลันตัวสั่นอย่างหวาดหวั่น ทั้งหมดถอยร่นในขณะที่จูซือเจียก้าวขาออกอย่างกล้าหาญ
เป็นเพราะอาวุโสของสํานักไม่อยู่ที่นี่ และเยี่ยฉวนยังได้รับบาดเจ็บสาหัส จูชื่อเจียจึงไม่อาจยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้จะรู้สึกกังวลมากเพียงใดแต่ศักดิ์ศรีแห่งสํานักกําลังค้ําคอนางอยู่ หากนางเผยความอ่อนแอออก ศิษย์ของสํานักทั้งหมดต้องตายอยู่ที่นี่
“ฮ่าๆๆ สาวน้อย เจ้ายังกล้าถามอีกงั้นหรือว่าข้าต้องการสิ่งใด?”
โท่วปาเชียงยังไม่หยดข่มขวัญอีกฝ่ายด้วยแผ่จิตสังหารแรงกล้า ในวันนั้นเขาถูกสํานักอสูรเมฆาบีบคั้นให้ร่นถอย แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ภายในอาณาจักรสวรรค์ไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ต่อให้เขาฆ่าศิษย์สํานักหมอกเมฆาทั้งหมดก็ไม่มีผู้ใดสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้ ยิ่งไปกว่านั้นเยี่ยฉวนกําลังบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าอยากจะหนีเท่าไหร่ แต่ก็คงไม่อาจทําได้แน่ โอกาสที่จะสังหารศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆามาถึงแล้ว จะรีรออะไร?
“ท่านเป็นถึงผู้นําสํานักเครื่องนิล อีกทั้งยังอยู่ในขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ หากคิดว่าตนมีความสามารถจงไปพบกับท่านอาวุโสสูงสุดของพวกเราเป็นการส่วนตัวเถิด อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ในขั้นซิวฉือเช่นนี้ อีกทั้งศิษย์บางคนยังอยู่ในขั้นอูเจ๋อด้วยซ้ํา ท่านไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือไร?” จูชื่อเจียกล่าวคําออกอย่างใจเย็นโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมสงบท่าทีลง
ทั้งหมดที่นางกล่าวออกเป็นความจริง ขาของโท่วปาเชียงแข็งที่อด้วยความอับอายที่ปรากฏในจิตใจ แต่สุดท้ายเขาก็ยังก้าวขาออกอย่างมุ่งมั่น ในขณะตรงเข้ามา รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏพร้อมคํารามลั่น “ข้าต้องการแค่ชีวิตของไอ้เด็กสารเลวเยี่ยฉวนเท่านั้น สาวน้อย… หากเจ้ายังมีความคิดก็จงหนีไปซะ มิฉะนั้นอย่าได้กล่าวโทษหากข้าคนนี้พลั้งมือทําการสังหารหมู่”
จิตสังหารของโท่วปาเซียงพุ่งทะยาน เขาไม่แม้แต่จะกักเก็บหรือพยายามซ่อนมันไว้แม้แต่น้อย
ร่างกายของชื่อเจียพลันสั่นสะท้าน แววตาฉายความลังเลพร้อมกับจิตใจเริ่มสับสน
ดูเหมือนว่าโท่วปาเซียงจะไม่ยอมหยดหากไม่ได้สังหารเยี่ยฉวนในวันนี้ แต่การจะหยุดเขา เพียงพละกําลังยังไม่เพียงพอ ทั้งหมดมีแต่จะสร้างความบาดหมางมากกว่าเดิม แล้วหากรวมพลังต่อสู้ก็คงไม่มีศิษย์คนใดสามารถรอดพ้นจากความตายได้ นางอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน และพยายามนึกว่าศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนจะตายอย่างไรเมื่อต้องต่อสู้กับโท่วปาเชียง!
“จ้าวต้าชื่อรับคําสั่งจากข้า… นําศิษย์ทั้งหมดออกไปจากที่นี่ซะ เร็วเข้า!”
จูซือเจียตัดสินใจอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด
นางไม่อาจทนมองเยี่ยฉวนตายตกไปต่อหน้าได้และก็ไม่สามารถทนมองศิษย์ร่วมสํานักทั้งหมดต้องตายอย่างไร้ประโยชน์ได้เช่นกัน ทางออกเดียวสําหรับเรื่องนี้ก็คือนางจะอยู่ที่นี่กับเยี่ยฉวน และให้เจ้าอ้วนพาทุกคนหนีไป
“ศิษย์พี่หญิงเจียเจีย… แล้วท่านล่ะ?” เจ้าอ้วนร้องถาม
จูซือเจียดึงดาบที่ห้อยอยู่เอวออกมาพร้อมตะโกนเสียงดัง “เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องของข้า! ออกไปซะ พาพี่น้องของพวกเราออกไปทั้งหมด เร็วเข้า ย้ายร่างอ้วนๆของเจ้าไปให้ไกลจากข้าเตี้ยวนี้”
“ข้าไม่ไป!” ดวงตาของเจ้าอ้วนแดงก่ําพร้อมถือกริชไว้แน่น เขายืนอยู่ข้างชื่อเจียพร้อมหันไปตะโกนด่าโท่วปาเซียงอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้บ้าเอ๊ย เข้ามาสิ! หากเจ้าต้องการสังหารศิษย์พี่หญิง และศิษย์พี่ใหญ่ของข้า ก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
เจ้าอ้วนที่เคยขี้ขลาดในเมื่อก่อนกลับเปลี่ยนไป ขาที่เต็มไปด้วยไขมันกําลังสั่นสะท้านแต่ก็พยายามก้าวออกอย่างกล้าหาญ แม้ในใจกําลังกรีดร้องอย่างหวาดกลัวแต่เขาก็ไม่เสียใจที่ทําเช่นนี้
“ปกป้องศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ใหญ่!”
“ พวกเราจงยืนหยัดสู้กับพวกมันอย่างสมเกียรติ!”
ศิษย์แห่งสํานักหมอกเมฆาก้าวขาไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญพร้อมกับชี้ปลายดาบเข้าหาโทวปาเซียง
ทั้งกลุ่มอยู่ในขั้นอูเจ้อเท่านั้นและบางคนยังได้รับบาดเจ็บสาหัส หากปราศจากความฉลาดของ จูซือเจียคงไม่มีใครสามารถเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ก่อนหน้าได้ หลังจากที่ผ่านความขัดแย้งภายในสํานักมาแล้ว พวกเขาไม่เคยท้อถอยและยังรวมกันเป็นหนึ่งมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถพบเห็นได้ในสํานักหมอกเมฆาในช่วงหลายปีผ่าน..
“ฮ่าๆๆๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ! ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะตายอย่างพร้อมเพรียง ข้าก็จะไม่ขัดความปรารถนา เอาล่ะ ทุกคนรับคําสั่ง ล้อมพวกมันเอาไว้และฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ฮ่าๆๆๆ!”
โท่วปาเชียงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารจนถึงขีดสุด
หากว่าเขาอยู่ในโลกด้านนอกก็คงจะต้องเบามือสักหน่อย ทว่าในอาณาจักรสวรรค์แห่งนี้ เขาไม่จําเป็นต้องเกรงว่าเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด หากต้องการจะฆ่าใครสักคนก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย… ก็แค่ฆ่ามันซะ!
ในอาณาจักรสวรรค์ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาทึบ ความบ้าคลั่งของโท่วปาเชียงและศิษย์แห่งสํานักเครื่องนิลถูกปลดปล่อยออกโดยสมบูรณ์ หากเทียบกับโลกภายนอกแล้ว ทุกคนเมื่ออยู่ที่นี่กลับโหดเหี้ยมและอํามหิตกว่ามาก!
คอมเม้นต์