Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 228 ข้ารอเจ้าอยู่นานเชียวล่ะ!

อ่านนิยายจีนเรื่อง Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ ตอนที่ 228 ข้ารอเจ้าอยู่นานเชียวล่ะ! อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 228 ข้ารอเจ้าอยู่นานเชียวล่ะ!

บนแท่นบูชาปรากฏแสงสะท้อนวาววับของกริช และดาบคมกริบ ยอดฝีมือหลายรายงัดทักษะวรยุทธ์อันน่าทิ้งทุกรูปแบบมาใช้เพื่อทําลายขอบเขตป้องกันของโลงศพหิน จํานวนคนที่กระโดดขึ้นไปเหยียบบนแท่นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้ฝึกตนหลายคนบางรายที่ยังไม่บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ายังพยายามวิ่งเข้าไปตกปลาในน้ําวน

เยี่ยฉวนไม่สนใจกระโจนลงไปในแม่น้ําที่เต็มไปด้วยโคลนเฉกเช่นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ทว่าครุ่นคิดหาวิธีการโจมตีอย่างเงียบเชียบอยู่บริเวณทางออกของวังรองแห่งนี้

เขาหยิบก้อนผลึกมนุษย์ออกมาในขั้นตอนแรกพร้อมโคจรเคล็ดวิชาก่อนขว้างมันไปที่พื้น และเริ่มเขียนอักขระโบราณ จากนั้นจึงวางเตาหลอมระดับสวรรค์ไว้บนศูนย์กลางของค่ายกลดังกล่าว ครั้นเสร็จสมบูรณ์จึงเริ่มถ่ายเทพลังปราณมหาศาลลงไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นละอองหมอกบนชั้นบรรยากาศควบแน่นขึ้นและแผ่ปกคลุมบริเวณทางออกของห้องโถง หมอกชนิดนี้คล้ายคลึงกับหมอกทึบสีเทาที่พบเห็นบ่อยครั้งในอาณา จักรสวรรค์ ดังนั้นจึงกลมกลืนไม่เป็นที่น่าสังเกต ทว่าหากใครสักคนเดินเข้ามาในม่านหมอกจะถูกกักขังจนมองไม่เห็นโลกภายนอกอีกต่อไป

ค่ายกลพยับหมอกเพลิง!

ชายหนุ่มใช้สมบัติที่มีในครอบครองสร้างค่ายกลการโจมตีที่เรียบง่ายอย่างรวดเร็ว

ค่ายกลนี้ไร้ความซับซ้อนตามชื่อ มันคือการเรียกใช้หมอกและเพลิงเพื่อดึงศัตรูเข้ามาในกับดัก ก่อนทําการสังหาร ซึ่งเป็นค่ายกลที่พบเจอดาษดื่นในดินแดนรกร้าง แต่ด้วยความสามารถของเยี่ยฉวนได้ปรับแต่งให้ค่ายกลดังกล่าวมีอานุภาพทําลายล้างที่แข็งแกร่งมหาศาล ผู้ใดก็ตามที่ก้าวเข้าสู่หมอกทึบนี้จะต้องตื่นตระหนกกับความโหดเหี้ยมของมันโดยไม่คาดคิด!

ทันทีที่มันเสร็จสมบูรณ์ เยี่ยฉวนจึงเรียกอสุรกายดุร้ายต่างๆ ออกจากโคมบงกชสีครามและซ่อนไว้ด้านหนึ่งเพื่อเป็นไม้ตายสําคัญ ครั้นเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจึงนั่งลงกับพื้นและรอคอยอย่างใจเย็น

บนแท่นบูชามียอดฝีมือจํานวนมากที่มีทักษะเป็นเลิศ ทั้งยังมีผู้บรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าเช่นโท่วป่าเซียงและมู่หรงซุ้ยเฟิง หากร่วมแรงแข็งขันเช่นนี้ไม่นานขอบเขตป้องกันของโลงศพหินคงพังทลายลง แต่ไม่ว่าผู้ใดจะสามารถแย่งชิงไผ่สายหมอกมาครอบครองได้ คนผู้นั้นก็ต้องผ่านมาถึงจุดนี้เพื่อออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งเป็นโอกาสอันดีต่อการซุ่มโจมตีของเยี่ยฉวน!

แสงสว่างภายในห้องโถงสลัวราง จึงยากต่อ การสังเกตว่าภายในหมอกหนาทึบมีฝูงอสรพิษ ครึ่งคน ปีศาจวัวนัยน์ตาอสูรรวมถึงอสุรกายต นอื่นๆ แฝงตัวอยู่

เขาปิดเปลือกตาลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก และผ่อนลมออกอย่างช้าๆ บังคับดวงจิตของตนให้หลอมรวมเข้ากับยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งหกใบในร่างกาย

หลังจากบรรลุการฝึกตนถึงขั้นซิวฉือระดับที่ห้า และได้รับยันต์มังกรปีศาจ ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งห้าใบก่อนหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ พวกมันเรียงตัวกันพร้อมหมุนวนอยู่รอบยันต์ใบที่หกที่ได้รับมาล่าสุด เทียบกับก่อนหน้านี้ พวกมันควบแน่นกว่าเดิมหลายเท่า รูปแบบดูไม่เหมือนยันต์ห้าใบอีกต่อไปแต่ดูคล้ายกับอสรพิษ ครึ่งคนที่ขดตัวไปมายันต์รูปพระโพธิสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แผ่กลิ่นอายเพียงเจือจางเท่านั้น

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าในอนาคตยันต์กลืนกินสวรรค์เหล่านี้อาจแบ่งภาคออกเป็นตัวตนจําลอง? เช่นนั้นถ้ารวบรวมยันต์ครบหนึ่งแสนแปดพันตัว เท่ากับว่าสามารถแบ่งตัวตนจําลองได้ถึงหนึ่งแสนแปดพันตนกระนั้นรี?!”

เมื่อไตร่ตรองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของยัน ต์กลืนกินสวรรค์ทั้งหกใบอย่างถี่ถ้วน ความคิดบางอย่างพลันแวบเข้ามาในห้วงคํานึงของเขา

ภพชาติที่แล้วเขาเป็นเพียงมหาปราชญ์ผู้สามารถซ่อนเร้นสวรรค์ด้วยฝ่ามือ เวลานั้นเขามีคู่ต่อสู้ในดินแดนรกร้างเพียงไม่กี่คน ทว่าแม้เคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์จะทรงพลังยิ่ง แต่ยามที่เขารุ่งโรจน์ถึงขีดสุดกลับไม่มีมีตัวตนจําลอง ทําให้มีความรอบรู้ในด้านการแบ่งภาคเช่นนี้ไม่มากนัก

หากในอนาคตเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกล นกินสวรรค์ที่เขาฝึกฝนสามารถสร้างตัวตนจําลองได้มากถึงหนึ่งแสนแปดพันตนจริง นั่นเทียบเท่ากับการดํารงอยู่ของเทพเซียนที่มีพลังสูงส่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นอมตะแห่งเต๋ในตํานานอีกไม่ใช่หรือ?!

หัวใจของเยี่ยฉวนเต้นแรงขึ้นด้วยความตื่นเต้นสุดระงับ ขณะที่มู่หรงซุ้ยเฟิง โท่วป่าเซียงและคนอื่นๆ พยายามทําลายขอบเขตป้องกันของโลงศพหินอย่างบ้าคลั่ง เขากลับตระหนักถึงความสามารถขั้นสูงที่ซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์เข้าโดยบังเอิญ! แม้มันไม่ได้สร้างความแข็งแกร่งทางร่างกายให้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นสิ่งที่สําคัญยิ่งต่อเป้าหมายในการฝึกฝนเพราะจะทําให้มองเห็นทิศทางอย่างชัดเจน

ภพชาตินี้เขาจะทวงคืนทุกสิ่งที่สูญเสียไปในชาติที่แล้วกลับคืน! นอกจากนี้ยังลิขิตโชคชะตาของตนให้สั่งสมสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ เพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดซึ่งเหนือกว่าชีวิตในภพก่อนหน้า!

“จากมหาปราชญ์สู่ผู้เป็นอมตะ…ภพนี้ข้าไม่ต้องการเพียงซ่อนเร้นสวรรค์ทว่าจะกลืนกินมันเสีย!”

จิตใจเยี่ยฉวนเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น และทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าเมื่อกําหนดเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ นับจากนี้เขาพร้อมแล้วที่จะแสวงหาการฝึกฝนที่แกร่งกล้า!

ความปรารถนาถึงจุดสูงสุดอันยิ่งใหญ่ของเขา ทําให้ยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งหกใบหมุนวนด้วยความเร็วกว่าครั้งก่อน ยันต์รูปมังกรปีศาจเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าพร้อมแผ่พลังงานมหาศาล ประหนึ่งจะกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีตัวตนจริง และลอยกลับไปยังโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกผูกพันกับโลกที่ไม่รู้จักถ่องแท้ดังกล่าวอย่างไม่อาจอธิบาย ทั้งยังไม่รู้แน่ชัดว่าความรู้สึกเช่นนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? อาจเป็นเพราะก้อนผลึกมนุษย์สีฟ้าที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่สถานที่แห่งนั้นได้ หรืออาจเกิดจากการควบแน่นของยันต์รูปมังกรปีศาจที่อยู่ในครอบครอง

ดวงจิตของเยี่ยฉวนที่ลอยวนอยู่ในพื้นที่ของโคมบงกชสีครามสํารวจสิ่งของเหล่านั้นอย่างพิจารณา ทันใดนั้นดวงตาข้างหนึ่งของก้อนผลึกรูปมนุษย์สีฟ้าพลันลืมขึ้น พลังปราณมหาศาลลอยทะลุตัวโคมก่อนพุ่งตรงไปยังท้องฟ้ากว้างโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว โท่วป่าเซียงและเหล่ายอดฝีมือผู้บรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋หลายรายที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาก็ไม่ทันสังเกต อาณาจักรสวรรค์โบราณแกว่งไกวไปมาขณะที่ขอบเขตปกป้องทั้งหมดค่อยๆคลายความแข็งแกร่งลง

“อย่าหยุดใช้พลัง ทําลายมันให้จงได้”

“ทําลายขอบเขตป้องกัน! สมบัติชิ้นนี้ต้องเป็นของข้า!”

เสียงแผดตะโกนทั่วบริเวณแท่นบูชาดังอึกทึก ในที่สุดหมอกพิษที่แผ่ปกคลุมเหนือโลงศพหินจึงจางหายไป ต้นไผ่สายหมอกที่ตั้งตระหง่านอยู่ในโลงหินอวดโฉมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคนอย่างชัดเจน

การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอย่างดุเดือดเริ่มต้นขึ้นทัน

ชายผู้หนึ่งเป็นคนแรกที่เข้าถึงไผ่สายหมอก เขาระเบิดเสียงหัวเราะลั่นคล้ายคํารามด้วยความตื่นเต้น แต่วินาทีต่อมาเสียงหัวเราะยินดีนั้นกลับเงียบลงเมื่อใบดาบคมกริบแทงทะลุหน้าอกของตนจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของดาบจึงพุ่งตัวไป คว้าไผ่สายหมอกและหันหลังกลับทันที ทว่ายังไม่ทันกระโดดลงจากแท่นบูชาหม้อสัมฤทธิ์ขนาด ใหญ่น้ําหนักหลายพันจินกลับร่วงลงมาจากเบื้องบนทับร่างเขาจนแหลกเป็นชิ้นเนื้อ โท่วป่าเซียงรีบวิ่งไปด้านหน้าโดยไม่รีรอ ถึงกระนั้นก็ยังช้ากว่าผู้อื่นไปหนึ่งก้าว…

ยอดฝีมือหลายรายที่ร่วมแรงกันทําลายขอบเขตป้องกันของโลงศพหินจับอาวุธหนั่นกันโดยไม่ลังเล เพียงชั่วพริบตาโลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วแท่นบูชาจนเจิ่งนองราวลําธาร ต้นไผ่ สายหมอกเปลี่ยนมือผู้ครอบครองหลายต่อหลายครั้ง เพราะไม่ว่าผู้ใดจะได้มันไปคนผู้นั้นจะถูกปิดล้อมโดยยอดฝีมือที่ต้องการแย่งชิงอีกสองถึงสามคนหรือมากกว่า

สมบัติล้ําค่าซึ่งเป็นมรดกทางจิตวิญญาณอัน เก่าแก่ชิ้นนี้เสมือนกับดักแห่งความตาย ไม่ว่าผู้ใดได้มันไปครอบครอง…บุคคลนั้นจะต้องถูกสังเวยด้วยเลือดและชีวิต!

ขณะนั้นแสงสะท้อนของใบมีดที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า!

มู่หรงซุ้ยเฟิงผู้ยังเยาว์เริ่มทําการเคลื่อนไหว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากินโอสถชนิดใดเข้าไปพละกําลังทางกายจึงเพิ่มสูงขึ้นโดยกะทันหัน ชายหนุ่มใช้ใบมีดระดับสวรรค์ซึ่งเป็นอาวุธประจํากายเข่นฆ่า ทุกคนที่ขวางทางไม่มียอดฝีมือรายใดสามารถยับยั้งการโจมตีอันร้ายกาจของเขาได้ ในที่สุด เขาก็คว้าไผ่สายหมอกมาครอบครองสําเร็จจึงวิ่งนําสตรีงามผู้คุ้มกันทั้งสิบสองนางตรงไปยังทางออกของห้องโถงแห่งวังรองทันที!

“ฮ่าๆๆ! ขอบคุณแล้วอาวุโสผู้ประเสริฐทุกท่าน สมบัติชิ้นนี้เป็นของข้า! พวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะแย่งชิงมันไป ฮ่าๆๆ…”

มู่หรงซุ้ยเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความปีติยินดี การเคลื่อนที่ของเขารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนแท่นบูชาคงเหลือเพียงภาพลวงตา โท่วป่าเซียงพ่นลมหายใจแรงอย่างเสียดายที่เขาไล่ตามไปไม่สําเร็จ อาวุโสเฟิงเหรินขบกรามแน่นก่อนส่งกระแสลมติดตามไป ทว่ากลับถูกสกัดกั้นโดยพลังโจมตีที่ร้ายแรงไม่แพ้เคล็ดวิชาวายุสังหาร ทําให้เขาทําสิ่งใดไม่ได้นอกจากมองดูร่างของชายหนุ่มชุดคลุมสีม่วงที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความคับแค้น

“ฮ่าๆๆ…”

เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังลั่นจนคล้ายเสียงคําราม เวลานี้ความโกรธแค้นที่มีต่อเยี่ยฉวนมลายหายไปสิ้น แต่เมื่อเขาเข้าใกล้ทางออกของวังรองกลับมองเห็นร่างที่คุ้นเคยกําลังดักรอเขาอย่างใจเย็น

“เยี่ยฉวน?”

มู่หรงซุ้ยเฟิงอุทานด้วยความประหลาดใจ!

“ถูกแล้ว! เป็นข้าเอง! นายน้อยมู่หรง…ข้ารอเจ้าอยู่นานเชียวล่ะ!” เยี่ยฉวนผู้ยืนขวางทางโดยหันหลังให้ทางออกของพระราชวังเหยียดยิ้ม ทันทีที่เผชิญหน้าอีกฝ่าย!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด