Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 278 อักขระหยาง
บทที่ 278 อักขระหยาง
ยามราตรีมืดมิดลงทุกขณะ…
หลังดื่มกินอาหารจนอิ่มหนําสําราญแล้ว หลง เอ่อร์จึงฟุบลงกับโต๊ะอาหารและผล็อยหลับไปเสียงกรนเบาๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก ไม่นานจึงละเมอคร่ําครวญถึงมารดาผู้ล่วงลับพร์ อมน้ำตาที่ไหลริน
เด็กถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก แม้ร่างกายแข็งแกร่ งหาใดเปรียบทว่าสัญชาตญาณแท้จริงยังเยาว์อยู่วันยังค่ํา
เยี่ยฉวนเดินเข้าไปใกล้พร้อมวางเสื้อคลุมตัว นอกคลุมร่างเด็กชายแทนผ้าห่มพร้อมเช็ดน้ำตาออกอย่างเบามือ
หลงเอ๋อร์ยังนับว่าโชคดี…หลังผสานร่างกายเข้ากับมังกรปีศาจน้อยตอนนี้เขาจึงกลายเป็นมังกรปีศาจตนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในดินแดนรกร้างยุคปัจจุบันฟ้าลิขิตให้เขากลายเป็นคนพิเศษในอนาคตทักษะต่างๆ อาจพัฒนาจนก้าวหน้าเหนือคนทั่วไปเป็นเท่าทวี ถึงกระนั้นในความโชคดียังแฝงด้วยความโชคร้ายเด็กชายไร้บิดามารดาฟูมฟักมาตั้งแต่กําเนิดครั้งแรกที่เขาได้พบมารดาที่แท้จริงนางกลับนอนนิ่งอยู่ในโลงศพหินเสียแล้วอายุขัยของมังกรปีศาจช่างน่าอัศจรรย์นักพวกมันสามารถดํารงชีวิตอยู่บนโลกได้ยาวนานตั้งแต่หลายพันจนถึงหลายล้านปียิ่งอายุขัยมากเพียงใด…วรยุทธ์การต่อสู้จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้นตลอดช่วงชีวิตเขาจึงต้องเผชิญกับวา ระที่แสนเปล่าเปลี่ยวผู้คนที่เคยสนิทชิดเชื้ออาจตายตกไปตามกาลเวลา ครั้นสูญเสียคนเหล่านั้นชีวิตของมังกรปีศาจจะค่อยๆดําดิ่งสู่ความว่าง เปล่าราวจมลงใต้ทะเลลึกเย็นเยียบ
“อย่า…อย่าเพิ่งไป! อืม…สาวน้อยถักเปีย…น่ารักเสียจริง!” หลงเอ่อร์ยื่นมือไปคว้ามือของเยี่ยฉวนพลางพึมพําบางอย่างหลังหลับลึกสู่ห้วงความฝัน
เด็กหญิงตัวน้อยผมเปียขี้อายคนนั้นน่ะหรือ?
เจ้าเด็กบ้านี่ยังไม่ทันเติบโตก็แสดงสัญชาตญาณหาคู่ของมังกรปีศาจเสียแล้วหรืออย่างไร?เยี่ยฉวนส่ายหน้าอย่างขบขันขณะดึงมือตนออกจากการจับกุมของอีกฝ่ายอย่างช้าๆจากนั้นจึงถอยห่างออกไปและนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น
ผู้คนมากมายซึ่งอาศัยอยู่บริเวณชานเรือนปีกตะวันออกและปีกตะวันตกต่างพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบก่อนรุ่งสางมาเยือนบางคนอ้าปากหาวด้วยความง่วงงุนก่อนเอนกายลงเข้าสู่ห้วงนิทราคนอื่นๆจึงล้มตัวลงนอนตาม บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความสงบเงียบมีเพียงชายสองคนที่ยังเดินวนไปมาคือปูซานผู้ฝั่งผายและชายชราที่มีรอยยับย่นปรากฏบนใบหน้าตามอายุขัย
ในมือชายชราปรากฏปากกาสีดําสนิทลักษณะพิเศษซึ่งมีความยาวเกือบครึ่งแขน ตลอดด้ามมี ความหนาประมาณด้ามมีดเมื่อเปรียบเทียบกับปา กกาทั่วไปแล้วกลับมีขนาดใหญ่กว่ามากหากมองจากระยะไกลจะพบว่ามันคล้ายคลึงไปทางอาวุธสังหารชนิดหนึ่งเสียมากกว่า
ชายชราผู้นั่งอยู่หน้าโต๊ะอักษรกวาดสายตามองโดยรอบก่อนนุ่มปลายปากกาด้ามนั้นลงในน้ำหมึกหนึ่งครั้งจากนั้นจึงเริ่มตวัดลายเส้นลงบนโล่ โลหะ จังหวะการขีดเขียนที่มีแบบแผนตวัดลงบน ตัวโล่หลายครั้งจนลายเส้นสีดํากลายเป็นอักขระ โบราณที่มีความหมายล้ําลึก
ระหว่างคิ้วของเยี่ยฉวนกระตุกขึ้นเป็นเชิงพิศวง
เขาคิดว่ามู่ซานคงเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศซึ่งเป็น ผู้นําอันแข็งแกร่งของหมู่บ้านเล็กๆ บนหุบเขา แห่งนี้ แต่ดูเหมือนความคิดก่อนหน้าจะผิดถนัด ชายชราผู้เป็นบิดาของเขาต่างหากจึงมีลักษณะ กํากึ่งเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง! การเขียนอักษร ของเขาจารึกบนโล่โลหะแข็งแกร่งจนกลายเป็น รอยแกะสลัก หากปลายปากกานี้ที่มแทงลงบน ผิวหนังอาจแปรเป็นอาวุธสังหารที่ทรงพลังยิ่ง!
เยี่ยฉวนลอบสังเกตการกระทําทุกขั้นตอนด้วย แววตาเปล่งประกาย
ปลายปากกาที่จรดลงบนพื้นผิวแผ่ออร่าราวมี ดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่บนตัวอักขระเหล่านั้นเป็น จํานวนมาก ครั้นถึงขั้นตอนสุดท้ายเขาจึงคลี่ม้วน กระดาษเปล่าออกก่อนจรดปลายปากกาลงไป เป็นอักขระโบราณรูปร่างพิลึก
“ท่านพ่อ อักขระพวกนี้จะเป็นประโยชน์กับ การต่อต้านวิญญาณร้ายนั้นจริงหรือขอรับ?” มู่ ซานเอ่ยถาม แม้กับบุคคลอื่นเขามีท่าทางเย็นชา และดุดัน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นบิดาเขากลับ สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังคําชี้แนะทุกประการเป็น อย่างดี การฝึกฝนกระทั่งแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เป็น เพราะมีบิดาเป็นเสมือนอาจารย์ เขารู้ดีว่าท่านพ่อ เก่งกาจกว่าตนมากนัก
“แน่นอน สิ่งที่ดูไร้ค่าพวกนี้ล้วนมีประโยชน์อย่า งมหาศาล หากมันเป็นเพียงเศษกระดาษเห็นที่ ปีศาจเฒ่าแห่งเทือกเขาหยินคงกวาดล้างเผ่ามู่ ของพวกเราจนสิ้นซากไปนานแล้ว” ชายชราวาง ปากกาในมือลงก่อนหันไปออกคําสั่ง “ปูซาน จง แจกจ่ายอาวุธและอักขระโบราณเหล่านี้ให้ผู้คน ไว้ใช้เพื่อต่อสู้เถิด อย่างน้อยไม่ไร้การฝึกตนแต่มี ของเหล่านี้ก็ยังดี”
“ท่านพ่อ รวมถึงศิษย์สองคนของสํานักหมอก เมฆาด้วยหรือไม่?” ลูกชายของเขาเอ่ยถาม
“สองคนนั้น…พ่อรับรู้ว่าพวกเขามีทักษะเหนือ ธรรมดา เพียงแต่ไม่อาจสํารวจอย่างทะลุปรุโปร่
ชายชราพึมพําเบา เขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนก ล่าวต่อ “นําอักขระสองใบมอบให้พวกเขา ระวัง อย่าทําให้พวกเขาขุ่นข้องหมองใจหรือคาดหวัง ความช่วยเหลือจากพวกเขาจนเกินไปนัก สํานัก หมอกเมฆาในยุคนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครั้งหนึ่งแสน ปีก่อนอีกต่อไปแล้ว…”
ชายชราทอดถอนใจขณะคร่ําครวญถึงความ เสื่อมโทรมลงทุกขณะของสํานักหมอกเมฆา
นานมาแล้วแนวเทือกเขาหมอกเมฆาทั้งหมด ล้วนอยู่ในการคุ้มครองดูแลของสํานักผู้ฝึกตนที่ เรืองอํานาจยิ่งเช่นสํานักหมอกเมฆา ผู้คนที่อาศัย อยู่ล้วนดํารงชีวิตอย่างไร้กังวล ทว่าเวลาล่วงเล ยมาจนถึงตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผันจากห น้ามือเป็นหลังมือ สํานักที่เคยรุ่งโรจน์ปกป้องคุ้ม ครองผู้ใดไม่ได้แม้แต่ตัวพวกเขาเอง ซ้ําร้ายยัง ต้องเผชิญแรงกดดันจากสํานักเครื่องนิลและสํา นักเบญจลักษณ์ที่ก่อตั้งสํานักฝึกตนขึ้นในภายหลัง
“ขอรับ!”
ปูซานรับคําสั่งก่อนเดินออกไปแจกจ่า ยอาวุธสังหาร ชุดเกราะรวมถึงแผ่นยันต์อักขระโบ ราณอย่างเงียบเชียบ เหล่านักรบของหมู่บ้านเผ่า มู่พักผ่อนอย่างสงบในห้วงนิทรารมณ์ หากปีศาจ เฒ่าแห่งเทือกเขาหยินกล้ํากรายเข้าใกล้พวกเขา จะไหวตัวตื่นขึ้นโดยทันที ส่วนมูซานผู้มีรูปกา ยกํายําสูงใหญ่กลับเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เขาย่องเบาเข้าไปวางแผ่นอักขระไว้ข้า งกายเยี่ยฉวนและหลงเอ๋อร์คนละแผ่นก่อนเดินก ลับออกไปเงียบๆ
ลานกว้างหน้าตัวเรือนเงียบสงัดลงอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ปูซานและผู้เป็นบิดาก็นอนหลับพัก ผ่อน
เยี่ยฉวนลืมตาตื่นขึ้นก่อนหยิบแผ่นอักขระโบ ราณขึ้นพินิจอย่างเบามือ ลายเส้นที่ชายชราขีด เขียนมีจังหวะจะโคนเป็นแบบแผนทั้งยังทรงพลัง ไม่น้อย ครั้นไล่ปลายนิ้วสัมผัสจึงรู้สึกถึงออร่า มหาศาลของปราณหยางบริสุทธิ์ ดังนั้นอักษรรูป ร่างพิลึกบนกระดาษก็คืออักขระหยางนั่นเอง! นิยมเขียนมันแทนยันต์เพื่อใช้ในการยับยั้งภูตผี และปีศาจร้ายโดยเฉพาะ หลายหมื่นปีที่แล้วอักข ระชนิดเดียวกันนี้มีลักษณะธรรมดา ยอดฝีมือห ลายรายที่พอมีทักษะสามารถทําการปรับแต่งได้ แต่ตอนนี้อักขระหยางกลับสูญหายไปจนไม่เป็นที่ รู้จักแพร่หลาย ไม่คาดคิดว่าชนกลุ่มน้อยที่อาศัย อยู่ในหุบเขาห่างไกลแห่งนี้กลับเข้าใจเคล็ดวิชา ดังกล่าวอย่างถ่องแท้
หมู่บ้านเผ่ามู่อาจมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลาย ชั่วอายุคน เพราะพวกเขาถูกแยกออกจากโลก ภายนอกทําให้ประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมยังคงสืบทอ ดมาอย่างเหนียวแน่น เช่นเดียวกับสวนหย่อมและ กระท่อมพักอาศัยเล็กๆ เหล่านี้ที่แม้มีพื้นที่น้อย นิดแต่กลับแสดงถึงอารยธรรมอันเป็นเสน่ห์เฉ พาะตัว ปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นการก่อสร้างในลัก ษณะดังกล่าว
สายลมยามค่ําคืนพัดกระโชกแรงทั้งยังหนา วเย็นลงเรื่อยๆ…
เยี่ยฉวนรู้สึกหนาวสั่นแต่ยังอยู่ในระดับที่พอทน ได้ สายลมที่พัดโชยเย็นเฉียบจนเจาะเข้ากระดู กดํา ทารกแรกเกิดหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ อาจเจ็บไข้จากบรรยากาศแปรปรวนเช่นนี้ ทันใด นั้นแผ่นอักขระหยางในมือกลับร้อนฉ่าขึ้นเรื่อยๆ กระแสน้ำอุ่นภายในร่างกายของเขาเริ่มไหลเวียน เพื่อบรรเทาความเย็นประหลาดนั้น
มันมาแล้ว!
ในที่สุดวิญญาณชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัวก็ กล้ํากรายมาเยือนหมู่บ้านของพวกเขา!
ดวงจิตของเยี่ยฉวนสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสถึงอันตรายที่คืบคลานเข้าใกล้ถึงกระนั้นเขายังนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นอย่างสงบเงียบพร้อมลอบโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์เตรียมพร้อมรับมือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
หลงเอ๋อร์สะดุ้งตื่นขึ้นจากห้วงนิทราทันทีแม้ร่างกายยังเยาว์แต่สัญชาตญาณมังกรปีศาจในสายเลือดกลับช่วยให้เขาตระหนักถึงอันตรายในเวลาไม่นานนักยังไม่ทันลุกขึ้นยืนเยี่ยฉวนจึงส่งสัญญาณเป็นเชิงให้รั้งรอก่อนเด็กชายจึงเอนตัวลงอย่างว่าง่ายแสร้งทําเป็นหลับต่อชายชราและมู่ ซานสะดุ้งตื่นขึ้นเช่นกันทว่าแสร้งทําเป็นไม่รู้เห็นทุกคนรอคอยอย่างเงียบเชียบเพื่อให้วิญญาณร้ายคืบเข้าใกล้
วูบ… สายลมพัดกระหน่ําราวพายุโหมลดอุณหภูมิลงจนเย็นเฉียบเสมือนจุดเยือกแข็ง
เหมียว! เสียงแมวร้องดังขึ้นจากระยะไกลจากนั้นกลับเงียบลงพร้อมเสียงกรอบแกรบคล้ายเสียงย่าเหยียบใบไม้แห้งดังแทนที่
กระแสลมพัดผ่านอย่างรุนแรงกระทั่งใบไม้ปลิดปลิวออกจากกิ่งขณะนั้นเอง…ร่างน่าสยดสยองหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นบริเวณชานเรือนด้านหน้า ลักษณะของมันคล้ายมัมมีที่คลานขึ้นมาจากสุสานโบราณอายุพันปี ร่างกายซูบซีดเหลือเพียงผิวหนังแห้งกรังติดกระดูกล่าตัวปราศจาก อาภรณ์ห่อหุ้มมีเพียงผ้าฝ้ายสีขาวเป็นแถบยาวที่พาดพันอยู่โดยรอบการแต่งกายผิดแปลกเช่นนั้นทําให้หลงเอ๋อร์น้อยซึ่งลอบหรี่ตามองถึงกับเผย ใบหน้าซีดเผือดลมหายใจกระชั้นถี่พร้อมร่างกายที่สั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา!
คอมเม้นต์