Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 301 ความรุ่งโรจน์เยี่ยงวีรบุรุษที่สูญสิ้น
บทที่ 301 ความรุ่งโรจน์เยี่ยงวีรบุรุษที่สูญสิ้น
ทูตแห่งโลกันตร์ตายตกไปแล้ว สถานการณ์โดยรวมค่อยๆ คลี่คลาย
ศิษย์สํานักเครื่องนิลที่รอดชีวิตยอมก้มหัวศิโรราบ มีเพียงโท่วป่าเซียงที่ยังคงขัดขึ้นอย่างสิ้นหวัง เขาแผดเสียงคารามซ้ําแล้วซ้ําเล่าและพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่คํานึงถึงความปลอดภัยของตน แต่ทั้งหมดเป็นเพียงความพยายามที่ไร้ประโยชน์ เขาถูกปีศาจเขาโค้งและปีศาจเพลิงควบคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา หากเยี่ยฉวนไม่สั่งให้จับเป็นคงตายตกไปแล้วหลายหน
ปิดตํานานบุรุษผู้ทรงอํานาจและน่าเกรงขามในกาลก่อน…
โท่วป่าเซียงรู้ดีว่ากําลังดิ้นรนอย่างสูญเปล่า แต่เขายอมตายดีกว่าต้องกล้ํากลืนยอมจํานนด้วยความขมขื่น แม้จะไร้เหตุผลและบ้าอํานาจมากเพียงใด แต่เมื่อเทียบกับทูตแห่งโลกันตร์ที่หนีไปอย่างขลาดกลัวแล้ว โท่วป่าเซียงย่อมแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายหลายเท่าตัวนัก
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
น้ําเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานดังขึ้น โท่วป่าเซียงเพียวมาถึงสมรภูมิตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ นางประคองร่างบอบบางเข้าไปหาผู้เป็นบิดาด้วยใบหน้าซีดเซียว “ท่านพ่อ วางหม้อสัมฤทธิ์ลงและยอมจํานนเถิด ท่านพ่อ…”
โท่วป่าเซียงหยุดชะงักและหันหลังไปมองเชื่องช้า ความรู้สึกซับซ้อนฉายชัดในแววตาเมื่อสีหน้าทรมานใจของโท่วป่าเซียงเนียวทําให้เขานึกถึงภรรยาผู้ล่วงลับ โท่วป่าเซียงเพียวเมื่อเติบใหญ่ละม้ายคล้ายมารดาเหลือเกิน อีกทั้งลักษณะนิสัยยังคล้ายคลึงจนกระตุ้นความทรงจําในวัยเยาว์ของเขากลับคืนมา
“ท่านพ่อ ได้โปรดอย่าสู้อีกเลย ไปพํานักยังที่ไกลแสนไกลอย่างสงบสุขกับข้าไม่ดีกว่าหรือ?” หยาดน้ําใสจากนัยน์ตาแดงก่ําไหลรินอาบแก้ม
เยี่ยฉวนยอมไว้ชีวิตโท่วป่าเซียงเพราะเห็นแก่หญิงสาว เขาไม่ได้จัดการกับบิดาของนางเฉก เช่นที่เขาจัดการกับทูตแห่งโลกันตร์ แต่ถ้าหากบิดาของนางยังคงยืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ เยี่ยฉ วนคงไม่อาจผ่อนปรนและจําเป็นต้องลงมือปลิดชีพอย่างเด็ดขาด ความจริงแล้วผู้คิดการใหญ่ทุกคนล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือพวกเขาไม่มีวันใจอ่อนอย่างสตรีผู้บอบบางเป็นแน่
“เหตุใดเล่าเซียงเพียว? เจ้าอยากเห็นพ่อของเจ้าถูกเนรเทศหรือถูกจองจําตลอดชีวิตหรืออย่างไร?”
โท่วป่าเซียงยกยิ้มเศร้าสร้อย โลหิตและปราณในกายพลันเดือดพล่าน เขารวบรวมพละกําลังดิ้นรนครั้งสุดท้ายอย่างสิ้นหวัง หากไม่สามารถหลุดรอดออกไปได้คงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่
ฉับพลันเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น!
เขาเปิดฉากโจมตีปีศาจเพลิงตรงหน้าโดยไม่แยแสปีศาจเขาโค้งที่อยู่ข้างหลัง ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต… หากปีศาจเพลิงไม่หลบไปให้พ้นทางก็ต้องตายตกไปพร้อมกับเขา!
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่การประจันหน้ากับชายวิกลจริตผู้ไม่เกรงกลัวต่อความตายย่อมสุ่มเสี่ยงเกินไป ปีศาจเพลิงจึงตัดสินใจล่าถอยไปสองสามก้าวเพื่อหลบการโจมตีจากโท่วป่าเซียง ขณะที่หอกปลายแหลมแทงตรงเข้าไปที่หลังของเจ้าสํานักเครื่องนิล
ปีศาจเขาโค้งที่อยู่ข้างหลัง วงแทงออกไปอย่างโหดเหี้ยม โท่วป่าเซียงต้องหันหลังกลับ หรือหลบไปด้านข้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกกะซวกเข้ากลางหลังเป็นแน่!
“ฆ่ามัน!”
โท่วป่าเซียงเผยสีหน้าแข็งกร้าวดดัน เขาเพิกเฉยหอกเบื้องหลังและยังคงรุดหน้าเข้าหาปีศาจเพลิงอย่างไม่ลดละ ปีศาจเพลิงพ่นลมหายใจเย็นเยียบก่อนยื่นมือออกไปเพื่อสกัดกั้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน! หอกคมกริบพุ่งเข้าใกล้แผ่นหลังของโท่วป่าเซียงขึ้นทุกขณะ พลังจ้วงแทงอันน่าเกรงขามคงเจาะทะลุร่างเป็นรูกลวง!
“ไม่นะ… ท่านพ่อ…”
โท่วป่าเซียงเพียวกรีดร้อง นางคิดจะใช้กระบี่บินพุ่งเข้าไปช่วยผู้เป็นบิดาทว่าสายเกินไปเสียแล้ว
มือใหญ่พลันคว้าหอกไว้แน่นในวินาทีที่ส่วนปลายแหลมคมสัมผัสกับหลังของโท่วป่าเซียงพอดิบพอดี โลหิตไหลรินออกจากบาดแผลเล็กน้อยทว่าความลึกกลับเข้าไปไม่ถึงนิ้ว
เยี่ยฉวนปรากฏกายขึ้นกะทันหันเพื่อยับยั้งการโจมตีถึงตาย ปีศาจเขาโค้งและปีศาจเพลิงรีบถอยออกไปทันที
“เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้พวกเขาฆ่าข้า? เพราะเหตุใดกัน?!”
โท่วป่าเซียงหอบหายใจหนักหน่วง เขายังคงแบกหม้อสัมฤทธิ์หนักอึ้งไว้บนบ่าทั้งที่ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มเพราะพลังงานถูกใช้ไปจนหมดสิ้น ถึงกระนั้นชายชราก็ยังจับจ้องเยี่ยฉวนเขม็ง ประหนึ่งอสุรกายป่าเถื่อน “เหตุใดกันไอ้หนู? เจ้าต้องการทําให้ข้าอับอายขายหน้าก่อนตายหรือ ไร?!”
“ท่านเจ้าสํานักผู้ประเสริฐ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ท่านช่วยข้าขัดขวางการโจมตีจา กอาวุโสเฟิงเหรินในอาณาจักรสวรรค์ ข้าจึงช่วยเจ้าไว้บ้างเท่านั้นเอง บัดนี้เราไม่มีสิ่งใดติดค้างกันแล้ว เชิญท่านจากไปเสียเถิด” เยี่ยฉวนกล่าวออกเฉยเมย
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินดังนั้น
โท่วป่าเซียงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเองเช่นเดียวกับโท่วป่าเซียงเพียว นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเยี่ยฉวนจะไว้ชีวิตบิดาของนางเช่นนี้ ต่อให้จะไม่ลงมือปลิดชีพก็คงจองจําไว้เป็นอย่างน้อย แต่เยี่ยฉวนกลับตัดสินใจปล่อยเขาไปโดยไม่เกรงกลัวปัญหาที่จะตามมาในภายภาคหน้า
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
จูซือเจียตรงเข้ามาหมายจะห้ามปรามเยียฉวน
โท่วป่าเซียงเป็นใคร?
เขาคือบุรุษผู้ทะเยอทะยานที่พัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของสํานักเครื่องนิลมากับมือ การปล่อยเขาไปนั้นเปรียบเสมือนการปล่อยพยัคฆ์ร้ายกลับสู่พงไพร สํานักเครื่องนิลอาจล่มสลายลงแต่จะมีใครล่วงรู้ว่ายังหลงเหลือความชั่วร้ายใดอยู่อีกบ้าง หากโท่วป่าเซียงรวบรวมอํานาจขึ้นมาใหม่คงยากจะกําราบได้อีกครั้ง
“เจียเจีย อย่าได้เอ่ยคําใด ปล่อยเขาไปเถอะ”
เยี่ยฉวนยังคงไม่เคลื่อนไหว เหล่าศิษย์สํานักหมอกเมฆาจึงรีบเปิดทางให้รวมถึงปีศาจเพลิงและปีศาจเขาโค้ง
การได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กุมอํานาจสูงสุดของสํานักอีกทั้งยังสามารถทําลายสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ได้ในคราเดียว เพื่อควบรวมอานาจทั้งเทือกเขาหมอกเมฆา ทําให้เกียรติยศของเยี่ยฉวนรุ่งโรจน์สู่จุดสูงสุดอย่างหาที่เปรียบมิได้ อย่าว่าแต่จูซือเจีย… แม้แต่อาวุโสสูงสุดก็ไม่อาจขัดประกาศิตของเยี่ยฉวนได้
“พ่อหนุ่ม เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับมาสังหารเจ้าเพื่อล้างแค้นหรอกหรือ?” โท่วป่าเซียงมองดูเยี่ยฉวนด้วยแววตาสับสน
“ในเมื่อข้าไม่เกรงกลัวที่จะปล่อยท่านไปก็ย่อมไม่เกรงกลัวการชําระแค้นของท่านเช่นกัน ท่านเจ้าสํานักผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า และในอนาคตคงไม่อาจเทียบชั้นไปมากกว่านี้” เยี่ยฉวนเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นความหยิ่งผยอง แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าไม่สมควรเพราะเยี่ยฉวนได้พิสูจน์แล้วว่ามีคุณสมบัติและฝีมือมากพอจะเอ่ยวาจาเช่นนี้
“เยี่ยม… เยี่ยฉวน ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่ผ่านมาข้ามองเจ้าผิดไป แต่ข้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเช่นนี้แน่ สักวันหนึ่งโท่วป่าเซียงจะกลับมาอีกครั้ง”
โท่วป่าเซียงฝากคําพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนโยนหม้อสัมฤทธิ์ทิ้งและก้าวยาวๆ จากไป ชายชรา ไม่แม้แต่จะนําอาวุธสังหารมหึมากลับไปด้วย เขาเพียงต้องการไปจากเทือกเขาหมอกเมฆาเพื่อหาที่กบดานและรอการกลับมาอีกครั้ง แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และความทะเยอทะยานอันสูงส่ง หากแต่ทุกก้าวที่ปีนป่ายยังไม่มั่นคงและหนักหน่วงเกินไป ความคิดบ้าอ่านาจและจอง หองในกาลก่อนได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
การพูดนั้นง่ายกว่าการลงมือทํา การต้องจากเทือกเขาหมอกเมฆาที่คุ้นเคยไปกบดานโดยไร้เงาผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้ใจนับว่ายากเย็นแสนเข็ญยิ่ง
ความรุ่งโรจน์เยี่ยงวีรบุรุษได้ล่วงเลยไปแล้ว…
โท่วป่าเซียงยอมตายดีกว่ายอมสยบ เขาไม่สามารถกล้ํากลืนความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่ายได้ จึงหมายมั่นว่าจะกลับมาอีกครั้ง น่าเสียดายที่เขาแก่ตัวลงมากแล้ว ดินแดนรกร้างในยามนี้เป็นยุคของคนรุ่นเยาว์เช่นเยี่ยฉวนอย่างแท้จริง
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ…”
โท่วป่าเซียงเพียวร้องเรียกซ้ําแล้วซ้ําเล่า ทว่าโท่วป่าเซียงจากไปโดยไม่หันกลับมามอง แผ่นหลังของผู้เป็นบิดาห่างไกลออกไปเรื่อยๆ หญิงสาวหันกลับมามองเยี่ยฉวนอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจไล่ตามโท่วป่าเซียงไปอย่างเด็ดเดี่ยว นางจากเยี่ยฉวนไปพร้อมหยาดน้ําใสคลอคลองในดวงตา สายสัมพันธ์ในครอบครัวย่อมมีค่าเหนือความรักเสน่หา เยี่ยฉวนมีกองกําลังที่แข็งแกร่ง และหญิงงามอย่างจูซือเจียอยู่ข้างกาย แต่บิดาของนางไม่เหลือสิ่งใดนอกจากชื่อ ฉะนั้นเขาจะสูญเสียบุตรสาวคนเดียวไปอีกไม่ได้
“คุณชายเยีย ข้าขอโทษ หากภพชาติหน้ามีจริง เซียงเพียวจะไม่ร้องขอความเป็นอมตะหรือความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์กาล ข้าขอเพียงได้เกิดเป็นศิษย์น้องหญิงในสํานักหมอกเมฆาและได้ติดตามท่านไปจนแก่เฒ่า…”
โท่วป่าเซียงเพียวพึมพํากับตนเองขณะวิ่งไปหลังเนินเขาเล็ก นางหันกลับไปมองเยี่ยฉวนจากที่ไกลๆ ด้วยดวงตาพร่ามัวก่อนเหยียบกระบี่บินตามบิดาจากไป สองพ่อลูกค่อยๆหายลับไปตรงเส้นขอบฟ้า
“พี่ใหญ่เยี่ยฉวน เหตุใดจึงไม่พาพี่หญิงเซียงเนียวกลับมาเล่า?” หลงเอ๋อร์น้อยถาม
“ข้าไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้น นางจะกลับมาด้วยตนเองเมื่อใจปรารถนา”
เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปลูบศีรษะหลงเอ่อร์น้อยก่อนมุ่งหน้ากลับสู่สํานักหมอกเมฆา ทั้งเรื่องราวทั้งหมดไว้ให้จูซือเจีย ปีศาจเพลิง และคนอื่นๆสะสาง ทั้งสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์สูญสิ้นแล้ว บัดนี้เขาสามารถทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเตรียมตั้งรับจักรวรรดิต้าฉันและสํานักอสูรเมฆาที่กําลังจะมาถึง
คอมเม้นต์